บทที่ 189 : แก่นแท้เซียน เงื่อนงำของดวงดาว
“ เซียนทองคำ?”
ซุยเฮ็งอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อเห็นประโยคนี้ เขารีบพลิกดูและสังเกตคำอธิบาย
หากเทพลึกลับสามารถได้รับแก่นแท้เซียนและหลอมรวมมันเข้ากับอวตารของเขาได้ เขาก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตที่ห้าของโลกเซียนและกลายเป็นเซียนทองคำได้
ขอบเขตที่ห้าของโลกเซียนเป็นที่รู้จักกันในชื่อขอบเขตเซียนทองคำ ผู้ฝึกตนในขอบเขตนี้จะครอบครองแก่นแท้เซียนและร่างกายที่ไม่สามารถถูกทำลายได้
“ แต่วิธีการที่จะได้รับแก่นแท้เซียนนี้มันไม่เรียบง่ายและดิบเถื่อนเกินไปหรอ? เขาต้องการกลืนกินคนอื่นด้วยแก่นแท้เซียนจริงหรอ?”
สีหน้าของซุยเฮ็งดูแปลกใจเล็กน้อย “ ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ไม่จำเป็นต้องไปถึงขอบเขตเทพลึกลับไท่อี้ ตราบใดที่เขาสามารถได้รับแก่นแท้เซียนมาได้ พวกเขาก็จะสามารถกลายเป็นเซียนทองคำได้?”
ในขณะนี้ เขาก็เริ่มรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเส้นทางการฝึกตนในโลกนี้นั้นแปลกไปเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ขอบเขตที่สามของโลกเซียน
วิธีการฝึกฝนของพวกเขานั้นเรียบง่ายและหยาบกระด้าง และพวกเขาก็มักจะข้ามขั้น
ขอบเขตแรกของโลกเซียนคือขอบเขตต้นกำเนิด
การแปลงพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นแก่นแท้แห่งชีวิต และร่างกายของคนๆ หนึ่งก็จะเกิดใหม่และอายุขัยของคนๆ หนึ่งก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในเชิงคุณภาพและกลายเป็นเซียนมนุษย์
ขอบเขตที่สองของโลกเซียนคือขอบเขตเจตจำนง
หลังจากรวบรวมเจตจำนงของคนๆ หนึ่งให้อยู่ในรูปแบบทางกายภาพแล้ว คนๆ หนึ่งก็จะสามารถแสดงปรากฏการณ์และระดมพลังจากสวรรค์และปฐพีได้ พลังของพวกเขาเกินกว่าเซียนมนุษย์มาก และพวกเขาก็ถูกเรียกว่าเซียนปฐพี
ขอบเขตที่สามของโลกเซียนนั้นคือเทวรูปสวรรค์และโลกธรรม
ณ ขอบเขตแห่งนี้ เจตจำนงที่ควบแน่นเป็นรูปแบบกายภาพแล้วจะเชื่อมโยงกับกฎของโลกและควบแน่นเลือดของเซียนสวรรค์ให้กลายเป็น "เทวา"
หลังจากนั้น เมื่อใช้เลือดของเทวาเป็นรากฐาน พวกเขาก็จะสามารถกระตุ้นกฎแห่งสวรรค์และปฐพีให้ควบแน่นเทวรูปธรรมจนกลายเป็น “เซียนสวรรค์”
และในที่สุด เมื่อรวมเทวรูปธรรมของพวกเขาให้กลายเป็นรูปกาย พวกเขาก็จะกลายเป็นราชาสวรรค์
นั่นคือทั้งหมด
กระบวนการทั้งหมดนั้นเรียบง่ายและหยาบกระด้าง มันไม่มีคอขวดใดๆ เลย
และจากนั้นก็คือการกระโดดโดยตรงไปยังขอบเขตที่สี่ของโลกเซียน ขอบเขตเทพลึกลับ
ตามคำอธิบายในหนังสือเล่มนี้ ตราบใดที่คนๆ หนึ่งพึ่งพาการควบแน่นเทวรูปธรรมและสลักอักขระรูนเต๋าลงในร่างกายของพวกเขาเพื่อสร้างเป็นรอยประทับพลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเขาก็จะสามารถขัดเกลาเทวรูปธรรมได้
หากพวกเขาล้มเหลวในการแกะสลัก เทวรูปธรรมของพวกเขาก็จะระเบิด และจิตวิญญาณของพวกเขาก็จะสลายไป ณ จุดนั้น
สิ่งนี้เองก็เรียบง่ายและหยาบมากเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือรอยประทับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นจากอักขระรูนเต๋านั้นก็มีลักษณะเหมือนกับอักขระรูนแก่นแท้ทองคำของซุยเฮ็ง แต่มันก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า
กล่าวอีกนัยหนึ่ง วิธีการฝึกตนนี้ก็ต้องการให้คนที่เทียบได้กับขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นปลายแกะสลักอักขระรูนที่คล้ายกับขอบเขตแก่นแท้ทองคำขั้นต้น หากพวกเขาทำสำเร็จ พวกเขาก็จะข้ามขอบเขตและทะลวงผ่าน แต่ถ้าพวกเขาล้มเหลว พวกเขาก็จะตายในทันที
วิธีนี้มันไร้สาระเป็นบ้า
หลังจากประสบความสำเร็จในการขัดเกลาเทวรูปธรรมแล้ว พวกเขาก็จะไปถึงขอบเขตเทพลึกลับ
เส้นทางต่อไปนี้ยังชัดเจนมาก ตราบใดที่ใครคนหนึ่งประสบความสำเร็จในการแกะสลักรอยประทับพลังศักดิ์สิทธิ์มากกว่า 12 แห่ง พวกเขาก็จะไปถึงขอบเขตเทพลึกลับไท่อี้
สำหรับจำนวนรอยประทับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถสลักได้มากที่สุด หนักสือก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนั้นเอาไว้
มันเน้นเพียงวิธีการทะลวงไปสู่ขอบเขตที่ห้าของอาณาจักรโลกเซียนและกลายเป็นเซียนทองคำ
มันเป็นเรื่องง่ายมาก
หลังจากค้นพบแก่นแท้เซียนที่สมบูรณ์แล้ว พวกเขาก็จะสามารถกลายเป็นเซียนทองคำได้หลังจากหลอมรวมมันเรียบร้อยแล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง ตามทฤษฎีแล้ว ตราบใดที่ใครมีเทวรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นเทพลึกลับหรือเทพลึกลับไท่อี้ แต่เมื่อพวกเขาสามารถหลอมรวมแก่นแท้เซียนได้สำเร็จ พวกเขาก็จะไปถึงยังขอบเขตที่ห้าของโลกเซียนได้
นี่มันเป็นการก้าวกระโดดที่บ้ามาก!
พวกเขาไม่กลัวว่ารากฐานของพวกเขาจะไม่มั่นคงเลยหรอ?
นอกจากนี้ วิธีการหลอมรวมแก่นแท้เซียนก็ยังดูไร้สาระเล็กน้อย
“ อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้น เทพลึกลับทั้งสิบแห่งโลกสูญสวรรค์ทั้งหมดก็ได้ครอบครองเนื้อแท้เซียนทอง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทะลวงผ่านได้ เป็นไปได้ไหมว่าเนื้อแท้เซียนทองของพวกเขาทั้งหมดนั้นจะมาจากแก่นแท้เซียนแหล่งเดียวกัน?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ซุยเฮ็งก็เข้าใจได้ว่าทำไมหน้าสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้จึงเกี่ยวกับการกลืนกินคนทั้งเก้าและกลายเป็นเซียนทองคำ
เป็นไปได้มากว่ามันเป็นเพราะพวกเขาทั้งสิบคนได้ค้นพบแก่นแท้เซียนร่วมกันในตอนนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงแบ่งมันออกเป็นสิบส่วน และด้วยเหตุนี้เอง มันจึงทำให้ไม่มีพวกเขาคนใดที่สามารถทะลวงขอบเขตต่อไปได้
ต่อมา เทพลึกลับแห่งตำหนักมหาราชันสวรรค์นี้ก็ได้ตั้งใจที่จะกลืนกินอีกเก้าคนและรับเอาแก่นแท้เซียนที่สมบูรณ์มาเพื่อทะลวงไปสู่ขอบเขตที่ห้า แต่หลังจากพ่ายแพ้ เขาก็ถูกปราบปรามอย่างน่าสังเวช?
“ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นก็หมายความว่ามันมีความแตกต่างมากมายในระหว่างการฝึกตนเซียนและการฝึกยุทธ์ของพวกเขา” ซุยเฮ็งรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างทั้งสองเส้นทาง
การฝึกยุทธ์นั้นเกี่ยวกับการเดินตามเส้นทางทีละขั้นตอน แต่การฝึกตนเซียนนั้นก็มีเกณฑ์ที่แปลกประหลาด ตราบใดที่พวกเขาไม่สามารถข้ามธรณีประตูได้ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทะลวงผ่าน
ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกว่าร่างของตัวอ่อนวิญญาณของเขาดูชัดเจนขึ้น และความแข็งแกร่งของพลังปราณของเขาก็เพิ่มขึ้น
เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับการตอบรับจากการสำรวจสิ่งที่ไม่รู้จัก
“ วิธีการฝึกตนนี้เหมาะกับฉันที่สุดแล้ว” ซุยเฮ็งรู้สึกว่าการฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้นและค่อนข้างมีความสุข “ ถ้าฉันสามารถรู้ได้ว่าแก่นแท้เซียนนั้นคืออะไร ฉันก็น่าจะได้รับการฝึกตนเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
จากนั้นเขาก็วางหนังสือลงในพื้นที่มิติของเขาและสำรวจตำหนักต่อไป เขาต้องการจะดูว่ามันมีร่องรอยใดๆ ที่เจียงฉีฉีทิ้งเอาไว้หรือไม่
ท้ายที่สุดแล้ว ข้อความลับของฉีฉีก็ได้เจาะจงมาที่ตำหนักมหาราชันสวรรค์
อย่างไรก็ตาม ซุยเฮ็งก็ออกค้นหาจนทั่วทั้งตำหนักแล้ว แต่เขาก็ยังไม่พบเบาะแสที่ชัดเจน
เขาพบค่ายกลที่เสียหายในห้องโถงด้านข้างเท่านั้น
มันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเงื่อนงำบางอย่าง
ค่ายกลนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน
หนึ่งในนั้นคือวงแหวนที่มีรัศมีประมาณ 30 ฟุต
อย่างที่สองคือดวงดาวที่แขวนลอยอยู่บนผนัง และอีกสามแห่งก็ถูกทำเครื่องหมายไว้เป็นพิเศษ
ซุยเฮ็งตรวจสอบค่ายกล และเขาก็ค้นพบว่ามันมีพลังในการเคลื่อนย้ายมิติและการเคลื่อนย้ายทางไกล
“ มันน่าจะเป็นค่ายกลเคลื่อนย้าย” เขาพยักหน้าเล็กน้อย สายตาของเขาหยุดลงที่วงแหวน มันมีรอยกระบี่อยู่ตรงกลางค่ายกล มันจะต้องถูกทำลายลงโดยเจตนาอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ร่องรอยที่ทิ้งไว้ก็ยังมีกลิ่นอายของศาสตร์กระบี่เซียนอรุณ
จากกลิ่นอายของพลังที่หลงเหลืออยู่ รอยกระบี่ก็น่าจะถูกทำขึ้นเมื่อกว่า 90 ปีที่แล้ว มันตรงกับเวลาที่ฉีฉีได้หายตัวไป “ ฉีฉีออกจากสถานที่แห่งนี้ผ่านทางค่ายกลเคลื่อนย้าย?”
ซุยเฮ็งขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปที่ดวงดาว หลังจากจ้องดูสักพัก เขาก็ส่ายหัว
เขาไม่เข้าใจอะไรเลย
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงทำได้เพียงทิ้งดวงดาวและจดจำจุดทั้งสามจุดที่ทำเครื่องหมายเอาไว้
หลังจากตรวจสอบตำหนักอีกครั้งเพื่อดูว่าเขาพลาดอะไรไปหรือไม่ ซุยเฮ็งก็ออกจากตำหนักไป
หลายวันต่อมา เขาก็สำรวจดวงจันทร์ทั้งหมดเสร็จ
หลังจากได้รับข้อมูลจากการสำรวจเพิ่มเติม ซุยเฮ็งก็ออกจากดวงจันทร์ในที่สุด
เขาบินไปยังดาวเคราะห์ที่ต้าจินอยู่
บนยอดเขาตงหัว
จางซูหมิงกำลังทำสมาธิโดยหลับตาอยู่ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหัวของเขา
“ ผู้สมบูรณ์แบบจาง ได้เวลาออกเดินทางแล้ว”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved