ตอนที่ 134

บทที่ 134 : เพลิงสวรรค์ลงมา พระมหาโพธิสัตว์แห่งเป่าหลิน

ปัง! ปัง! ปัง!

คนตัวเล็กขนาดเท่าฝ่ามือถือสร้อยคอหัวกะโหลกขนาดพกพาและชนเข้ากับม่านแสงโดยรอบอย่างบ้าคลั่ง มันปล่อยเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งและพยายามอย่างเต็มที่ที่จะหลบหนี

แต่กระนั้นมันก็ไร้ความหมาย ในกำแพงแสงที่เกิดจากพลังของแก่นแท้ทองคำของซุยเฮ็ง มันก็เป็นไปไม่ได้ที่มันจะหลบหนี

เมื่อเผชิญกับความแตกต่างนี้ ไม่ว่าเจตจำนงของพลังวิญญาณของใครจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่มันก็ไร้ประโยชน์

และไม่ต้องพูดถึงขอบเขตสกัดปราณขั้นเก้าเลย

“ เฉินตง ผู้ว่าการเหมิง ข้าขอฝากที่เหลือให้พวกเจ้าจัดการด้วย”

ซุยเฮ็งสั่งทั้งสองคนก่อนที่จะหยิบกระดาษสีขาวออกมาจากแขนเสื้อของเขาและส่งให้เฉินตง “ เจ้าสามารถเขียนคำว่า 'เพลิงสวรรค์' ลงบนนั้นเพื่อจัดการกับศพเหล่านั้นเพื่อป้องกันการระบาดของโรคได้”

จากนั้นเขาก็ออกจากกำแพงเมืองไป

เขาต้องรีบศึกษาสิ่งที่แปลกประหลาดนี้ให้รู้เรื่อง

“ ตามท่านบัญชา!”

ทั้งสองคนโค้งคำนับแล้วมองไปที่ร่างที่จากไปของซุยเฮ็งในความเงียบอยู่เป็นเวลานาน

ชายคนนี้เป็นเทพเซียนจริงๆ ด้วย!

แข็งแกร่ง!

ก่อนหน้านี้ ลูกเพลิงสีม่วงดำที่แปลกประหลาดก็ได้แปลงร่างเป็นชายชราที่มีเจตนาฆ่าอันยิ่งใหญ่ มันทำให้ท้องฟ้าภายในรัศมีหลายลี้เปลี่ยนสี และในชั่วพริบตา มันก็ได้สังหารคนเถื่อนไปแล้วหลายแสนคน มันเป็นเหมือนกับยมทูตที่ต้องการจะทำลายล้างโลก

อย่างไรก็ตาม สัตว์ประหลาดที่ทรงพลัง น่าสะพรึงกลัว และน่าสิ้นหวังเช่นนี้ก็ยังไม่สามารถต้านทานซุยเฮ็งได้!

ในตอนนี้ ผู้ว่าการก็ทำราวกับว่าเขาเพิ่งจะจัดการกับกระต่ายที่กระโดดไปมาเท่านั้น เขาบดขยี้สัตว์ประหลาดตัวนี้อย่างไม่ใส่ใจและจับมันไว้ในมือเพื่อกักขังมันเอาไว้

น่าเกรงขามเกินไปแล้ว!

อย่างไรก็ตาม เมื่อซุยเฮ็งทิ้งกระดาษขาวให้เฉินตงเพื่อจัดการกับศพ เหมิงจางก็รู้สึกงงงวยเล็กน้อย

ไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากจะบอกว่ามันมีซากศพกองเป็นเนินเขาและแม่น้ำโลหิตไหลรินอยู่นอกเมือง!

หากศพจำนวนมากไม่ได้รับการจัดการให้ทันเวลา มันก็มีโอกาสมากที่จะทำให้เกิดโรคระบาดขึ้น

แบบนั้นแล้วพวกเขาควรจะทำอย่างไรกับกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง?

ในความเป็นจริง เหมิงจางก็ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่งงงวย แต่ทหารที่ปกป้องเมืองเองก็รู้สึกสับสนด้วยเช่นกัน

พวกเขากังวลมากว่าจะทำอย่างไรกับศพที่อยู่ข้างนอกดี นี่เป็นโครงการขนาดใหญ่

มันจะสามารถแก้ไขได้ด้วยกระดาษแผ่นเดียวได้อย่างไร?

“ ผู้ว่าการเหมิงมีข้อสงสัยอะไรหรือ?” เฉินตงหันกลับมาและยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างมั่นใจ

“ ท่านเฉินรู้หรอว่าท่านผู้ว่าการหมายความว่าอย่างไร?” เหมิงจางถามอย่างเร่งรีบ

“ หลังจากฮุ่ยฉีขึ้นมา ผู้ว่าการเหมิงก็จะรู้เอง” เฉินตงยิ้ม

ในตอนที่เขาอยู่ในมณฑลลู่ เขาก็ได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่า “กระดาษ” ที่ซุยเฮ็งมอบให้เขานั้นทรงพลังเพียงใด

อย่างไรก็ตาม ฮุ่ยฉีก็ยังคงอยู่ข้างนอกนั่นและอาจจะได้รับผลกระทบได้

ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงจะต้องรอให้ฮุ่ยฉีกลับมาก่อนจึงจะใช้ "กระดาษ" แผ่นนี้

….

“ ท่านผู้ว่าการได้มอบยันต์เซียนให้อีกแล้วหรอ?” ฮุ่ยฉีมองไปที่กระดาษในมือของเฉินตงด้วยความประหลาดใจและอิจฉา “ ครั้งหน้าข้าต้องไปขอมาใช้บ้างให้ได้”

ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินโจวหงอี้บอกว่าเมื่อพวกเขาปล่อยพลังของยันต์เซียนออกมา คนๆ หนึ่งก็จะสัมผัสได้ว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับพลังของกฎแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่

เขาจะสัมผัสได้ว่าความจริงของโลกได้สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา

สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ฝึกตนทุกคน

หากมีใครยังไปไม่ถึงขอบเขตเซียนเทียน ด้วยการรับรู้กฎแห่งสวรรค์และปฐพีเพียงแค่นี้ เขาก็จะไม่มีปัญหาใดๆ ในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทียนเลย

อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นโอกาสที่ดีอย่างแน่นอน

“ ไม่ต้องเลย เจ้าได้รับเคล็ดวิชามหาอำนาจมาจากท่านผู้ว่าการแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจของเล่นชิ้นนี้เลย” เฉินตงดุด้วยรอยยิ้ม ในสายตาของเขา ฮุ่ยฉีต่างหากที่เป็นคนที่น่าอิจฉาอย่างแท้จริง

ด้วยการใช้พลังอันศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านผู้ว่าการมอบให้ พวกเขาก็สามารถทะลวงผ่านไปจนถึงขอบเขตสัมผัสโลกาได้ในพริบตา

“ ฮ่าฮ่าฮ่า” ฮุ่ยฉีหัวเราะเสียงดัง เขาหันไปมองเมืองเบื้องล่างแล้วพยักหน้า “ ได้เวลาเปิดใช้งานยันต์เซียนแล้ว”

“ ถูกต้อง” เฉินตงพยักหน้า

ในขณะนี้ ทหารก็ได้เตรียมพู่กันและหมึกเอาไว้แล้ว เขาหยิบพู่กันขึ้นมาและเขียนคำว่า “เพลิงสวรรค์” ลงบนกระดาษสีขาว

ในทางกลับกัน เหมิงจางก็ยืนอยู่ด้านข้างตลอดเวลา ขณะที่เขาฟังทั้งสองคนพูดคุยกัน ผู้ว่าการมณฑลหยุนซูก็ยิ่งงงงวยมากขึ้น

เฉินตงพยายามจะทำอะไร?

เป็นไปได้ไหมว่าการเขียนลงบนแผ่นกระดาษจะสามารถกระตุ้นเพลิงจากสวรรค์ให้ลงมาได้? แต่สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?

บนดินแดนรกร้างนอกเมือง

ชานหยูมองไปที่บนท้องฟ้าด้วยความงุนงงและมองไปที่ท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาวที่กลับคืนสู่สภาพเดิมด้วยความเหลือเชื่อ จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ ด้วยความสับสน

กลิ่นฉุนของเลือดตลบอบอวลอยู่ในอากาศ กองทหารนับแสนหายลับไปนานแล้ว มันเหลือเพียงกองพะเนินซากศพและสายธารโลหิตเท่านั้น

“ เป็นไปได้ยังไงกัน!” ชานหยูดูเหมือนกับจะบ้าไปแล้วในขณะที่เขาคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง ดวงตาของเขาว่างเปล่าและเต็มไปด้วยความสิ้นหวังในขณะที่เขาพึมพำ “ นายท่าน ทำไมท่านถึงทำให้ข้าผิดหวัง? ทำไมกัน?!”

“ นายท่าน' ที่เขาพูดถึงก็คือชายชราประหลาดที่โผล่ออกมาจากสร้อยคอหัวกะโหลก

เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ไม่เพียงแต่เขาจะได้รับสร้อยลูกปัดที่สวยงามนี้มาโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น แต่ “ลูกปัด” บนสร้อยเส้นนั้นยังถูกแกะสลักเป็นรูปหัวกะโหลกมนุษย์ที่ประณีตมากอีกด้วย ซึ่งเขาเองก็ชอบมันมาก

อย่างไรก็ตาม สร้อยเส้นนี้ก็เผยให้เห็นถึงความพิเศษของมันอย่างรวดเร็ว

ทุกคืน หัวกะโหลกบนสร้อยข้อมือจะเปล่งแสงสีดำและสีม่วงออกมา มันเพิ่มการรับรู้ทางวิญญาณของเขาเพื่อให้เขาสามารถได้ยินการสนทนาของคนอื่นจากระยะไกลได้

และเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ได้เข้าใจสถานการณ์รอบตัวเขาชัดเจนขึ้น

หลังจากที่เขาฆ่าชานหยูคนก่อนและกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามสิ้น เสียงที่มีแต่เขาเท่านั้นที่สามารถได้ยินได้ก็ดังมาจากสร้อยเส้นนี้เป็นครั้งคราว

มันเป็นเสียงของชายชรา

เสียงนี้สอนเขาถึงวิธีการเสริมกำลัง วิธีพักฟื้น วิธีจัดการกองทัพ และยังบอกเขาว่าที่ใดมีทุ่งปศุสัตว์ดีๆ สำหรับเลี้ยงม้า และที่ใดมีเหยื่ออ้วนพีให้ล่า

ด้วยเหตุนี้เอง ชานหยูจึงเรียกเสียงนี้ว่า “นายท่าน”

ภายใต้การแนะนำของชายชราคนนี้ กองกำลังของชานหยูก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และเขาก็ยังหล่อเลี้ยงทหารราบขึ้นมาได้หลายแสนนาย

ภายใต้สถานการณ์ปกติ นี่ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคนเถื่อนในทุ่งหญ้า

เดิมทีชานหยูคิดว่าด้วยความช่วยเหลือจาก “นายท่าน” เขาก็จะยังคงประสบความสำเร็จและจะสามารถเข้าสู่ที่ราบภาคกลางได้ในไม่ช้า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่การต่อสู้ครั้งนี้จะเริ่มต้นขึ้น “นายท่าน” ถึงกับสัญญาว่าถ้าเขาพบกับอันตรายถึงชีวิต เขาก็สามารถเรียกนายท่านให้ปรากฏตัวออกมาช่วยได้

สิ่งนี้ทำให้ความมั่นใจของซุยเฮ็งเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด

แต่แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ?

เหตุใดบุรุษที่ดูเหมือนกับจะมีอำนาจทุกอย่างจึงสังหารทหารนับแสนของเขาลง?

ทำไมนายท่านถึงดูบ้าคลั่งมากหลังจากปรากฏตัวขึ้น? เขาไม่ได้ดูฉลาดและสุขุมเหมือนกับเมื่อก่อนเลย

แล้วเหตุใดคนที่ทรงพลังเช่นนี้จึงถูกคนบนกำแพงบดขยี้

“ ทำไม... ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!”นหยูคุกเข่าลงกับพื้นและคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้นเขาก็เห็นแสงสีแดงพร่างพรายบนท้องฟ้า

ไม่สิ มันควรจะเป็นไฟมากกว่าแสง!

นี่คือลูกไฟขนาดใหญ่ที่ควบแน่นมาจากเปลวเพลิงสีแดงเข้ม เส้นผ่านศูนย์กลางของมันกว้างอย่างน้อย 1,000 จั้ง!

ในเวลาเดียวกัน ท้องฟ้าภายในรัศมีหลายสิบลี้ก็ถูกย้อมเป็นสีแดง แม้แต่ในเมืองและหมู่บ้านที่ห่างไกลออกไปจากเมืองหยุนชูก็ยังได้รับผลกระทบ

ลูกไฟลุกโชนขึ้นบนท้องฟ้า และลูกไฟขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ ตกลงมา ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์ตกลงมาจากบนท้องฟ้า มันพยายามจะแผดเผาทุกสิ่งในโลกมนุษย์ให้กลายเป็นเถ้าธุลี

ก่อนที่ลูกไฟจะตกลงมา อากาศรอบๆ ก็ดูเหมือนจะถูกจุดขึ้น มันร้อนจัดและบิดเบี้ยวในทันที

ราวกับว่าวันสิ้นโลกได้มาถึงแล้ว!

“ อ้ากกก! นี่มันอะไรกันเนี่ย!”

ชานหยูมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความสยดสยอง นี่เป็นฉากที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

ในเวลาเดียวกัน บนกำแพงเมืองหยุนชู ผู้ว่าการเหมิงจางก็ตกตะลึงอย่างสมบูรณ์

เขาจ้องไปที่บนท้องฟ้าและลูกไฟขนาดใหญ่ เขาตกตะลึง “ นี่.. นี่.. นี่มันอะไรกัน? เพลิงสวรรค์ มันคือเพลิงสวรรค์จริงๆ หรอ!”

ในตอนนี้ เฉินตงก็ได้เผากระดาษสีขาวที่มีคำว่า “เพลิงสวรรค์” เสร็จเรียบร้อยแล้ว

จากนั้นลูกไฟขนาดใหญ่นี้ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า!

พลังของเทพเซียนคืออะไร?

นี่แหละคือพลังของเทพเซียน!

“ ไม่คิดเลยว่ามันจะทรงพลังขนาดนี้…”

แม้แต่เฉินตงเองก็ยังรู้สึกตกใจเช่นกัน แม้ว่าเขาจะยืนอยู่บนกำแพงเมืองและอยู่ห่างออกไป แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงลมร้อนที่พัดมาจากภายนอก

“ ไม่เลย นี่ยังไม่ใช่เปลวเพลิงที่แข็งแกร่งที่สุดของท่านผู้ว่าการ” ฮุ่ยฉียังคงท่าทีสงบเอาไว้ได้

นี่เป็นเพราะเขายังจำตอนที่เขาอยู่ในมณฑลจูเหอกับซุยเฮ็งได้ดี เขาได้บังเอิญเห็นเปลวเพลิงลูกเล็กๆ ที่ปลายนิ้วของซุยเฮ็ง

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเปลวเพลิงที่มีขนาดเล็กมาก แต่พลังที่บรรจุอยู่ในนั้นก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าลูกไฟนี้หลายเท่า

ลูกไฟที่อยู่ข้างหน้าเขาดูใหญ่มาก แต่สุดท้ายมันก็ยังเป็นได้แค่เปลวเพลิงอ่อนๆ

และเปลวเพลิงลูกเล็กนั้นก็เป็นเหมือนกับดวงอาทิตย์จริงๆ!

บู้มมมมม!

ในขณะนี้ ลูกไฟยักษ์ก็ได้ตกลงมาบนพื้นแล้ว

แสงและความร้อนที่ไร้เทียมทานถูกปลดปล่อยออกมาในทันที ร่างกายที่ไร้ชีวิตหลายแสนร่างถูกเปลี่ยนกลายเป็นเถ้าถ่านในทันทีท่ามกลางความร้อนที่แผดเผา

คลื่นลมที่พัดโหมพัดพาทรายและฝุ่นละอองจำนวนมหาศาลพุ่งเข้าหามณฑลหยุนชูราวกับคลื่นสึนามิ อย่างไรก็ตาม มันก็ถูกกั้นเอาไว้ด้วยชั้นของเกราะป้องกันแสงสีทอง

นี่เป็นพลังปราณที่ซุยเฮ็งวางทิ้งไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พลังของเพลิงสวรรค์ทำร้ายเมืองหยุนชู

แต่ถึงอย่างนั้น พลเมืองในเมืองก็ยังได้ยินเสียงอึกทึก และในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็สัมผัสได้ว่าพื้นใต้ฝ่าเท้าของพวกเขากำลังสั่นอย่างรุนแรง

หากไม่ใช่เพราะพลังปราณของซุยเฮ็งที่คอยปกป้องพวกเขา บ้านส่วนใหญ่ในเมืองก็คงจะถูกถล่มราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว

….

ภายในสำนักงานว่าการ

ซุยเฮ็งมองขึ้นไปที่แสงสีแดงข้างนอกและพึมพำ “ 10% ของพลังของฉันดูเหมือนจะยังมากเกินไปสินะ”

จากจุดนี้ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นถิ่นทุรกันดารข้างนอกนั่น เขาต้องการจะทดสอบความแข็งแกร่งของพลังปราณของเขา ดังนั้นเขาจึงทิ้งพลังปราณของเขา 10% ไว้ที่ยันต์เพื่อกวาดล้างภูเขาซากศพและแม่น้ำเลือดในถิ่นทุรกันดารนอกเมือง

“ แม้ว่ามันจะมากเกินไปหน่อย แต่มันก็ยังถือได้ว่าเป็นของขวัญขอบคุณสำหรับพวกคนเถื่อนเหล่านั้น” ซุยเฮ็งเงียบลงและไว้อาลัยให้กับเหล่าคนเถื่อนเป็นครั้งที่สอง

ในตอนนี้ เขาก็ได้รวบรวมแสงสีเทาจำนวนมากที่เป็นสัญลักษณ์ของความเศร้าโศกและแสงสีเขียวที่เป็นสัญลักษณ์ของความกลัวจากเหล่าคนเถื่อนนอกเมือง เมื่อรวมเข้ากับแสงสีแดงและสีขาวที่ปะทุออกมาจากพลเมืองในเมืองแล้ว ครั้งนี้เขาก็สามารถกล่าวได้ว่าได้รับชัยชนะมากมาย

“ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการค้นหาความจริงของเจ้าสิ่งนี้ให้ได้ก่อน” ซุยเฮ็งเปิดฝ่ามือของเขา หลังจากการปะทะกันอย่างรุนแรงหลายครั้ง ชายชราก็ไม่ได้บ้าเหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไป

แต่เขากลับตื่นขึ้นจากสภาวะโกลาหลวุ่นวายแทน

บัดนี้ เขาก็เป็นเหมือนพระผู้ตรัสรู้แล้ว เขาประสานมือเข้าไว้ด้วยกันและนั่งไขว่ห้าง เขาสวมสร้อยหัวกะโหลกคล้องคอราวกับเป็นลูกประคำพุทธ

อย่างไรก็ตาม ชายชราก็ยังมองไปที่ซุยเฮ็งด้วยความเกลียดชังในดวงตาของเขา เขาดูไม่เหมือนกับพระสงฆ์เลย

โชคดีที่เขาฟื้นคืนสติและสามารถสื่อสารได้แล้ว

“ เจ้าเป็นพระหรอ?” ซุยเฮ็งถามด้วยเสียงต่ำ “ แล้วเจ้าไปเอาพลังสีม่วงดำนั่นมาจากไหนกัน?”

“ อมิตาพุทธ!” เมื่อชายชราเห็นซุยเฮ็งมองมาที่เขา เขาก็ท่องชื่อพระพุทธเจ้าและตะโกนอย่างโหดเหี้ยมว่า “ เจ้าผู้ฝึกตนมาร ข้าคือพระมหาโพธิสัตว์จากโถงพุทธมามกะเป่าหลิน เจ้ากล้าดียังไงมาขังข้าเอาไว้แบบนี้!”