ตอนที่ 35 - บทที่ 35 ไท่จี้ฉวนของตระกูลจาง!

บทที่ 35 ไท่จี้ฉวนของตระกูลจาง!

เมื่อได้ยินประโยคนี้ จางเหรินแทบจะอักโลหิตออกมาเต็มปาก

มีอะไรที่ต้องปรับปรุงหรือเปล่างั้นหรือ? เจ้าต้องปรับปรุงอะไรอีกล่ะ? เอิ่ม? การที่เจ้าสำเร็จท่าไท่จี้โดยต้องใช้เวลาหนึ่งวัน เจ้ายังคิดว่ามันนานเกินไปงั้นหรือ?

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกว่าเด็กตรงหน้าเขาพูดออกมาเช่นนี้โดยตั้งใจ แต่เขาไม่มีหลักฐาน

ไม่ไกลออกไปนั้น หวังปิงและคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่บนเสาก็มองดูเช่นกัน

"อืม"

จางเหรินขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูดออกมาช้าๆว่า “ไม่มีอะไรต้องปรับปรุงแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้น ข้าสามารถเรียนไท่จี้ฉวนตอนนี้ได้ไหม?”

เฉินฟานถามคำถามที่อยู่ในใจของเขามาเป็นเวลานานออกมา

และบรรยากาศก็เงียบลงอีกครั้ง

"ก็ประมาณนั้นแหล่ะ"

จางเหรินพยักหน้า

"อะไรนะ!"

ทันทีที่เขาพูดจบ หวังปิงและคนอื่นๆ ก็ตื่นเต้นมาก

“พี่ฟาน เขาสามารถเรียนไท่จี้ฉวนได้แล้วงั้นเหรอ? เร็วมาก!”

“ลุงจางไม่ได้บอกว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในการที่จะสามารถสำเร็วท่าไท่จี้พื้นฐานในระดับ 1 หรือ?”

“ใช่แล้ว เขาสามารถเรียนไท่จี๋ฉวนได้หลังจากสำเร็วท่าไท่จี้พื้นฐานในระดับ 1 ได้เท่านั้น กล่าวคือพี่ฟานได้ทำสำเร็จแล้ว…”

ผู้พูดอ้าปากกว้างจนยัดไข่เข้าไปได้หลายฟอง

"จริงหรือ?"

เฉินฟานยังแสดงความประหลาดใจบนใบหน้าของเขา “เยี่ยมมาก ลุงจาง ขอบคุณครับ”

"อืม"

จางเหรินตอบเบาๆ และรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยด้วยเหตุผลบางอย่าง

ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะไม่จักเฉินฟานเลยสักนิด เขาก็สงสัยจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายได้ปลุกพลังขึ้นมาแล้วหรือเปล่า?

เมื่อมองเผินๆ ศิลปะการต่อสู้และพลังเหนือธรรมชาติดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเภทของผู้อเวคนั้นก็มีมากมายหลากหลายประเภท มันสามารถมีพลังทุกประเภทที่เจ้าสามารถจินตนาการได้ ไม่มีพลังเหนือธรรมชาติใดที่พวกเขาไม่สามารถปลุกให้ตื่นได้

อย่างไรก็ตาม การปลุกพลังเหนือธรรมชาติก็เหมือนกับพรสวรรค์โดยกำเนิดของทุกคน ถ้าคุณมีมันๆก็จะเห็นชัดเจน แต่ในกรณีของเฉินฟานเขาไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน

เป็นไปได้ไหมว่าเด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะด้านศิลปะการต่อสู้หนึ่งในล้านจริงๆ?

“ให้ตายเถอะ พี่ฟานกำลังจะเริ่มต้นฝึกไท่จี้ฉวนจริงๆเหรอ? เยี่ยมมาก!”

“ข้าล่ะอิจฉาจริงๆ พี่ฟานเริ่มฝึกไท่จี้ฉวนแล้ว แต่เรายังคงฝึกท่าพื้นฐานอยู่เลย อนิจจา”

"หุบปาก!"

จางเหรินหันกลับมาอย่างเฉียบแหลม “เวลาการฝึกของท่าหวู่จี้จะขยายออกไปอีกสิบนาที และถ้าใครพูดมากเกินไปก็จะขยายออกไปอีกครึ่งชั่วโมง”

จู่ๆ บางคนก็ดูเหมือนนกกระทา ที่จิกแต่หัวแต่ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่มีโอกาสตามเขาทันจริงๆ” จ่าวเฟิงยิ้มอย่างขมขื่นในใจ “อย่างไรก็ตามเพื่อตัวข้าเอง ข้าจึงต้องอดทนฝึกฝนต่อไป”

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เฉินฟานทำท่าไท่จี้เสร็จ เขากระพริบไปที่หวังปิงและคนอื่นๆ จากนั้นมองไปที่จางเหรินด้วยรอยยิ้มขี้เล่น แล้วพูดว่า "ลุงจาง ข้าจะต้องทำอย่างไรต่อไป"

จางเหรินหลับตาก่อนราวกับจะปรับตัว จากนั้นค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วพูดว่า "เหตุผลที่ข้าให้เจ้าเริ่มฝึกจากท่าหวู่จี้ก็เพราะว่ามันเป็นรากฐานในไท่จี๋ และไท่จี้เน้นที่รากฐานที่มั่นคง ดังนั้นเจ้าต้องโคจรพลังไปทุกส่วนของร่างกาย จากนอกเข้าในและจากในออกนอกและหายใจ 1 ครั้ง ร่างกายส่วนล่างกำหนดร่างกายส่วนบนไว้ การวางเท้าจะต้องแม่นยำและมั่นคงเพื่อไม่ให้ร่างกายส่วนบนสั่นไหว "

เฉินฟานพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“การที่จะสามารถฝึกฝนไท่จี้ฉวนได้ดีหรือไม่ ก่อนอื่นเจ้าต้องกำหนดฝีเท้าที่เดิน และประการที่สองดูว่ากำหนดความแม่นยำของหมัด จากนั้นจึงผสานเข้ากับเทคนิคการหายใจขั้นพื้นฐาน นี่เป็นชุดวิธีการฝึกไท่จี้ฉวนที่สมบูรณ์”

“การใช้เท้า การชกมวย และเทคนิคการหายใจ?”

ดวงตาของเฉินฟานเป็นประกาย

เทคนิคการหายใจ?

เป็นไปได้ไหมที่เขาจะสามารถได้รับพลังปราณที่แท้จริงหลังจากฝึกฝนไท่จี้ฉวนจนถึงระดับหนึ่งแล้ว?

จางเหรินเหลือบมองเขา ดูเหมือนจะมองเห็นสิ่งที่เขาคิดและพูดว่า "เทคนิคการหายใจนี้ ไม่เหมือนเทคนิคการหายใจที่อยู่ในนวนิยายศิลปะการต่อสู้บางเรื่อง มันไม่ได้ทรงพลังเท่าที่เจ้าคิด มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดของไท่จี๋ฉวนเท่านั้นื”

เฉินฟานยิ้มอย่างเขินอาย

“ข้าจะแสดงท่าที่ถูกต้องให้เจ้าดูก่อน”

"อา?"

ไม่ไกลนั้นหวังปิงก็อุทานออกมา เขามัวแต่มองมาที่พวกเขาทั้งสองจนลืมโฟกัสตัวเองเลยล่วงลงมาจากเสา

“อัก ข้านี้มันโง่จริงๆ ดีที่ขาไม่หัก”

จากนั้นจางเหรินก็พูดด้วยความโกรธว่า "หลังจากที่พวกเขายืนเสร็จแล้ว เจ้าก็ยืนต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง"

หวังปิงดูหดหู่อย่างมาก

ในไม่ช้าจางเหรินก็เริ่มฝึกไท่จี๋ฉวนให้เฉินฟาน ในตอนแรกมันก็ไม่มีอะไร แต่แค่เขาดูมันเขาจะมึนเมาโดยไม่รู้ตัว

การเคลื่อนไหวของจางเหรินเคลื่อนตามกันขึ้นลงราวกับผสมผสานกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ การย่างก้าวของเขาเบาราวกับขนนก และบางก้าวของเขาหนักแน่นราวกับภูเขาไท่ซาน และเขาไม่สามารถดูออกเลยบุคคลนี้เป็นคนพิการ

ไม่กี่นาทีต่อมาจางเหรินก็ค่อยๆ ฟื้นตัว มีเหงื่อบางๆ ปรากฏบนหน้าผากของเขา และผิวของเขาก็แดงก่ำมากขึ้นจนสามารถเห็นด้วยตาเปล่า

ในเวลาเดียวกัน เฉินฟานมองไปที่แถยทักษะของแผงคุณสมบัติ และแน่นอนว่ามีตัวอักษรเล็กๆ ปรากฏขึ้นใหม่

【ไท่จี้ฉวนของตระกูลจาง: ไม่รู้อะไรเลย (0%) 】

นอกจากนี้ยังมีบรรทัดของตัวอักษรเล็กๆ ที่เป็นสีเทาด้านล่าง ซึ่งเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นของท่านี้ เช่น ท่าร่างพื้นฐานระดับ 1 ท่าเท้าพื้นฐานระดับ 1 เป็นต้น แต่โชคดีที่เขาทำสำเร็จทั้งหมดแล้ว

เขาหายใจออกยาวและใช้ความพยายามอย่างมากในการเรียนรู้ และในที่สุดเขาก็สามารถเรียนรู้ [ไท่จี้ฉวน] ได้เล็กน้อย แต่มันก็ไม่ง่ายเลย

ข้าไม่รู้ว่าคุณสมบัติประเภทไหนที่จะปลดล็อคจากทักษะนี้ แต่ควรจะยิ่งใหญ่กว่าทักษะ [ท่าไท่จี้พื้นฐาน] ใช่ไหม?

ไม่เพียงแค่นั้น แจาสิ่งที่แปลกก็คือ ความเชี่ยวชาญของไท่จี้ฉวนนี้ไม่ได้วัดกันที่ระดับ มันไม่เหมือนกับทักษะการยิงธนูขั้นพื้นฐาน ทักษะท่าเท้าขั้นพื้นฐาน ฯลฯ แต่ระบบกลับประเมินออกมาว่า ไม่รู้อะไรเลย งั้นหรือ?

“นี่คือไท่จี้ฉวนของตระกูลจาง” เสียงของจางเหรินเต็มไปด้วยความจริงจัง “ ไท่จี้ฉวนที่แท้จริงได้สูญหายไปนานแล้ว โรงเรียนไท่จี้ฉวนในปัจจุบันมีพื้นฐานมาจากกระบวนท่าบางอย่างที่ศึกษามาจากหนังสือโบราณ รวมกับศิลปะการต่อสู้ประเภทอื่นๆก็ไม่ต่างกัน…”

ผ่านไปได้ครึ่งทางก็มีเสียงฝีเท้าเล็กๆดังใกล้เข้ามา

“งั้นเราก็พอแค่นี้ก่อน โดยเฉพาะเจ้า ข้าจะสอนเจ้าหลังจากที่เจ้ากินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว”

"ตกลง"

เฉินฟานค่อนข้างแปลกใจนิดหน่อย

"พี่ชาย"

เสียงของเด็กดังขึ้น เฉินเฉินวิ่งมาอย่างรวดเร็วและพูดด้วยรอยยิ้มกับจางเหริน "ลุงจาง แม่ขอให้ข้ามาเรียกท่านไปทานอาหารเย็นที่บ้าน..."

เขาย่อคอลง ในสายตาของเขาจางเหรินดูเหมือนลุงแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคย

“ลุงจางข้ากลับก่อนนะ และทุกคนเจอกันตอนบ่าย”

หลังจากกล่าวคำอำลาพวกเขาด้วยรอยยิ้มแล้ว เฉินฟานก็เดินกลับบ้านพร้อมกับน้องชายของเขา

คนอื่นก็ยกเลิกการฝึกของตนและเดินออกมาหลังจากเห็นสิ่งนี้ เพราะตอนนี้พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกหิวมากแล้ว มีเพียงหวังปิงเท่านั้นที่ยืนอยู่คนเดียวในพื้นที่โล่งนั้น เขามองจางเหรินด้วยแววตาน่าสงสารอย่างมาก

“พี่ชาย วันนี้แม่ทำอาหารเยอะมาก ใช่ เยอะมากเลย” เขากอดมือของเขา

"เยอะมากงั้นเหรอ?"

เฉินฟานอดไม่ได้ที่จะลูบหัวเขา “แล้วเจ้ามีความสุขไหม?”

"ใช่ ข้ามีความสุขมาก!"

เฉินเฉินพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า และจากนั้นก็มีสีหน้ากังวลบนใบหน้าเล็ก ๆ ของเขา “แต่แม่บอกว่าทั้งหมดนี้ก็เพื่อพี่ชาย เพราะพี่ชายทำงานหนัก ดังนั้นท่านจึงต้องกินมากกว่านี้”

“ไม่เป็นไร เมื่อถึงเวลาทุกคนก็กินข้าวด้วยกัน แม้ว่าจะกินหมดเดี๋ยวพี่ก็จะหามาใหม่อีก”

"จริงเหรอ เยี่ยมมาก!"

แน่นอนว่าก่อนที่จะถึงประตู พวกเขาก็ได้กลิ่นเนื้อลอยมาเตะจมูก บนโต๊ะมีหม้อที่เต็มไปด้วยเนื้อตั้งอยู่

"กลับมางั้นเหรอ"

เฉินกัวตงแสดงรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา "ซุปเนื้อกำลังร้อนๆ รีบกินซะ วันนี้เจ้าสามารถกินได้ตามที่ต้องการ"

"จริงหรือ?"

เฉินฟานยังหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่สุภาพแล้ว”

เขาเต็มไปด้วยความคาดหวังในการรออาหารมื้อใหญ่เช่นนี้ เพื่อการได้รับแต้มศักยภาพมากมาย