ตอนที่ 157

บทที่ 157 : ศิษย์พี่ศิษย์น้อง การบวงสรวง

“ เข้าใจแล้ว วางมันลง”

เสียงของจักรพรรดินีเย็นชา ราวกับว่ามันลงมาจากสวรรค์ทั้งเก้าและมาถึงหูของหยูเว่ย

“ ตามท่านบัญชา” หยูเว่ยคุกเข่าลงบนพื้นและหมอบตัวลง เธอถือซองด้วยมือทั้งสองข้างและวางไว้บนแท่นหยกข้างๆ เธอ “ ฝ่าบาท เทวาเป่ยมีอีกประโยคหนึ่งที่ฝากมาบอก”

“ โอ้?” จักรพรรดินีดูประหลาดใจเล็กน้อยและหัวเราะเบาๆ “ มันคืออะไร? มันไม่ได้เขียนไว้ในจดหมาย เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าเพื่อเก็บเป็นความลับหรอ?”

“ ฝ่าบาท เจ้าก็รู้ว่าปากของข้านั้นแน่นหนาที่สุด” หยูเว่ยคุกเข่าลงบนพื้นและก้มศีรษะของเธอลง เธอพูดด้วยความเคารพ “ เทวาเป่ยบอกว่าลาหัวโล้นจากโถงพุทธมามกะเป่าหลินได้ทำตัวแปลกๆ เขาบอกให้ท่านทรงระวังเอาไว้”

“ อืม เข้าใจแล้ว” จักรพรรดินีพยักหน้าเล็กน้อยและโบกมือ “ เจ้าไปได้”

“ ข้าน้อยขอตัว” หยูเว่ยโค้งคำนับและจากไป

อย่างไรก็ตาม เธอก็รู้สึกงงงวยเล็กน้อย เรื่องโถงพุทธมามกะเป่าหลินเป็นเรื่องใหญ่อย่างเห็นได้ชัด แบบนั้นแล้วทำไมเขาถึงไม่เขียนไว้ในจดหมาย?

ในขณะนี้ ในห้องของจักรพรรดินี

ร่างเพรียวบางยกมือขึ้นอย่างแผ่วเบา ด้วยการบิดข้อมืออันเรียวยาวของเธอ ตัวอักษรบนแท่นหยกก็ลอยขึ้นไปในอากาศและตกลงบนฝ่ามือของเธอ

“ เจ้าคนพิการคนนี้คิดจะทำอะไรกัน?” น้ำเสียงของจักรพรรดินีดูสงสัยเล็กน้อย

จากนั้นเธอก็แกะขี้ผึ้งและหยิบจดหมายออกมาอ่าน

หลังจากอ่านจบ เธอก็ลุกขึ้นจากเตียง

เธอไม่ได้นอนอย่างเกียจคร้านอีกต่อไป

เห็นได้ชัดว่าเธอดูตื่นเต้นเล็กน้อย

เนื้อหาในจดหมายนั้นเรียบง่ายมาก

“ ถึงน้องหญิง คนจากตำหนักสวรรค์ทมิฬกาลได้มาหาข้าเมื่อสามวันก่อนและบอกว่าพวกเขามีข้อมูลเกี่ยวกับอาจารย์ของเราแล้ว และถ้าข้าอยากรู้ ข้าก็จะต้องสัญญากับพวกเขาอย่างหนึ่ง”

“ พวกเขาต้องการให้ข้าเชิญเจ้าออกมาจากวังหลวงเมื่อครบระยะเวลา 100 ปี นอกจากนี้ เราก็ยังต้องเดินทางไปที่โลกเบื้องล่างและทำการปล้นสะดม ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงปฏิเสธคำขอนี้ไป”

“ อย่างไรก็ตาม ข้าก็ยังสงสัยอยู่มากเกี่ยวกับข้อมูลที่พวกเขามีอยู่ มันเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์เซียนจริงหรือไม่? ข้าต้องคิดหาวิธีแงะปากพวกมันออกมาให้ได้”

“ ดูเหมือนว่าข้าน่าจะพบท่านปรมาจารย์เซียนเร็วกว่าเจ้าแล้ว น้องหญิง”

“ ฮึ่ม!” หลังจากที่จักรพรรดินีอ่านจดหมายจบ เธอก็เผามันทิ้ง เธอสงบลงและกล่าวเย้ยหยัน “ เหอะ! น้องหญิงอะไร? ข้าเป็นพี่สาวเจ้าต่างหาก! หยาบคาย!”

เมื่อเธอเห็นเนื้อหาในจดหมาย เธอก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมเป่ยฉิงซูถึงไม่เขียนเกี่ยวกับโถงพุทธมามกะเป่าหลิน

เนื่องจากจดหมายฉบับนี้กล่าวถึงท่านปรมาจารย์เซียน

ดังนั้นการใส่คำว่า “โถงพุทธมามกะเป่าหลิน” ลงไปในจดหมายฉบับนี้ด้วยจึงเป็นการดูหมิ่นท่านปรมาจารย์เซียน

ทั้งเธอและเป่ยฉิงซูต่างก็รู้สึกขอบคุณปรมาจารย์เซียนเป็นอย่างมากที่ได้สอนเคล็ดวิชายุทธ์ให้กับพวกเขา

และจนถึงวันนี้ เวลาก็ได้ผ่านมานานถึง 150 ปีแล้ว

ความรู้สึกขอบคุณได้รวมเข้ากับคำพูดและการกระทำของพวกเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว

ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร พวกเขาก็จะพิจารณาก่อนว่ามันจะเป็นการดูหมิ่นท่านปรมาจารย์เซียนหรือไม่

โดยธรรมชาติแล้ว สิ่งนี้ก็ยังรวมถึงการเขียนจดหมายด้วย

“ อย่างไรก็ตาม ตำหนักสวรรค์ทมิฬกาลจะไปมีข้อมูลเกี่ยวกับท่านปรมาจารย์เซียนจริงๆ หรอ? หรือพวกเขาแค่อยากจะจับเสือมือเปล่ากัน?”

จักรพรรดินีขมวดคิ้วเล็กน้อยและค่อยๆ ยืนขึ้น เธอหยิบชุดผ้าที่พื้นและสะบัดข้อมือเบาๆ เธอเปลี่ยนเจตนาฆ่าของเธอให้กลายเป็นกระบี่

“ ฮึ่ม ศิษย์น้องก็ยังคงเป็นศิษย์น้อง เจ้าคิดหรอว่าเจ้าจะหาท่านปรมาจารย์เซียนพบก่อนข้า? ฝันไปเถอะ!”

เมื่อพูดจบ เธอก็เดินออกมา

มือของเธอกำกระบี่ยาวเอาไว่

และเสื้อผ้าสีแดงของเธอก็ลุกโชนราวกับเปลวเพลิง!

….

ครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เมืองหลวงของรัฐต่างๆ เริ่มเตรียมการบวงสรวงครั้งใหญ่

สิ่งนี้ถูกจัดการโดยผู้ว่าการรัฐ

นอกจากนี้ มันก็ยังมีคนมากถึง 10,000 คนคอยช่วยงาน พวกเขาทุกคนแต่งกายด้วยชุดบวงสรวงอันงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ มันมีการจัดแสดงเครื่องมือพิธีกรรมและสิ่งของชั้นยอดทุกประเภท

นี่เป็นพิธีบวงสรวงครั้งหนึ่งในศตวรรษเพื่อต้อนรับเซียนและพระอรหันต์แห่งโลกเบื้องบน

อาจกล่าวได้ว่ามันทั้งเคร่งขรึมและยิ่งใหญ่

ภายใต้บรรยากาศนี้ ต้าจินก็ตกอยู่ในความตึงเครียด

มีภูเขาอยู่ในนครหลวงทวีปกลาง

ตามระบบมารยาทปกติ ในฐานะเมืองหลวงของประเทศ พิธีกรรมต้อนรับเซียนและพระอรหันต์แห่งโลกเบื้องบนก็ควรจะแตกต่างจากรัฐอื่นๆ และจักรพรรดิก็ควรจะเป็นเจ้าภาพในพิธีด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิเว่ยอี้ก็ยอมแพ้ในนาทีสุดท้าย

ชูหยวนเหลียงทำได้เพียงขึ้นไปเป็นประธานในพิธีแทนเท่านั้น โชคดีที่เขามีตำแหน่งเป็นผู้ว่าส่วนกลางด้วย ดังนั้นมันจึงพอถูไถไปได้

เมื่อชูหยวนเหลียงเสร็จสิ้นการจัดเตรียม

ในที่สุดจักรพรรดิเว่ยอี้ก็ออกมาพร้อมกับเสื้อคลุมของจักรพรรดิผู้สูงศักดิ์และมงกุฎ 12 แฉก เขามาถึงเชิงเนินดินและค่อยๆ ขึ้นบันไดไป

จากนั้นเขาก็ยืนอยู่บนเนินดินและคำนับขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับตะโกนว่า “ ยินดีต้อนรับสู่โลกมนุษย์ เหล่าเซียนและพระอรหันต์แห่งโลกเบื้องบน!”

อย่างไรก็ตาม เว่ยอี้ก็ไม่ได้เข้าใจขั้นตอนของพิธีกรรมอย่างชัดเจน

ในขณะที่เขากำลังยืนอยู่บนเนิน เขาก็ตระหนักได้ว่าทุกคนดูเหมือนจะกำลังมองมาที่เขา สายตาของพวกเขาดูเหมือนจะกำลังรอให้เขาพูดอะไรบางอย่าง

“ รัฐมนตรีชู ข้าต้องทำอะไรต่อ” เว่ยอี้ขยับเท้าอย่างเงียบๆ และเข้าไปใกล้ชูหยวนเหลียง เขาลดเสียงลงและบอกว่า “ ข้าจำไม่ได้”

“…” ชูหยวนเหลียงเกือบจะเป็นลมจากความโกรธ ณ จุดนี้ เขาก็ทำได้เพียงระงับเลือดที่พลุ่งพล่านอยู่ในอกของเขาและพูดด้วยเสียงที่ต่ำมาก “ ฝ่าบาท โปรดคำนับท้องฟ้าและต้อนรับเซียนและพระอรหันต์แห่งโลกเบื้องบนสู่โลกเบื้องล่าง”

“ มันแค่นั้นเองหรอ?” เว่ยอี้ยิ้มเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ แต่เขาก็ยังดูไร้กังวลและเกียจคร้าน เขาก้มโค้งคำนับขึ้นสู่สวรรค์ด้วยท่าทางสบายๆ และตะโกนว่า “ เหล่าเซียนและพระอรหันต์แห่งโลกเบื้องบน ขอต้อนรับสู่โลกเบื้องล่าง!”

ทันทีที่เขาพูดจบ

ฉวัดเฉวียน!

ราวกับว่าเสียงของเว่ยอี้ได้กระตุ้นกฎแปลกๆ ของสวรรค์และปฐพี มันทำให้ความว่างเปล่าสั่นสะท้าน ทันใดนั้นแสงสีทองก็ตกลงมาจากท้องฟ้าและค่อยๆ เปิดออกทั้งสองข้าง

มันเหมือนกับประตูสู่โลกเซียน!

….

ในเวลาเดียวกัน สถานการณ์ที่คล้ายกันก็ได้เกิดขึ้นในอีกเก้ารัฐของต้าจิน

ลำแสงส่องลงมาจากท้องฟ้าและเปิดประตูสู่โลกเซียน!

จากนั้นร่างต่างๆ ก็ค่อยๆ เดินออกมาจากด้านใน

เฟิงโจวเองก็ยังจัดพิธีบวงสรวงอย่างยิ่งใหญ่ด้วยอีกกัน

ซุยเฮ็งสวมเครื่องแบบอย่างเป็นทางการและยืนอยู่บนแท่นบูชายัญ ข้างหลังเขาคือฮุ่ยฉี, จางซูหมิงและกลุ่มผู้ฝึกตนขอบเขตเทพจากสำนักเซียนอรุณ

รอบตัวเขามีพลเมืองนับหมื่น แต่มันก็ไม่มีเครื่องพิธีกรรมหรือเครื่องบวงสรวง

ตราบใดที่ซุยเฮ็งตะโกนคำนั้น พิธีกรรมนี้ก็จะเสร็จสมบูรณ์...