ณ ทางเดินของวิหารอัศวิน
เหล่าเบื้องบนของเผ่าพันธุ์มนุษย์เดินผ่านค่ายกลข้ามมิติไปทีละคน
ในฐานะเบื้องบนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกเขาก็มีเรื่องมากมายให้ต้องทำทุกวัน
ถ้าไม่ใช่เพราะยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์นั้นมีความสำคัญมากๆ วันนี้พวกเขาก็คงจะไม่ได้เจียดเวลามาที่นี่แล้ว
ในเวลานั้นเอง ผู้อาวุโสหลายสิบคนที่ตามหลังมาก็มองหน้ากันและลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายพวกเขาก็วิ่งไล่ตามซวนหยวนอี้ที่เดินอยู่ข้างหน้ามาจนทัน
“ท่านซวนหยวนอี้”
“ทำไม?”
ในขณะที่คนพวกนี้กำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พวกเขาก็เห็นว่าซวนหยวนอี้กำลังพูดไปด้วยในขณะที่เขาเดิน “พวกเจ้าคิดว่าอะไรสำคัญกว่ากันระหว่างยุทธภัณธ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์หรือตัวเจ้าตะวันสาดแสง”
เหล่าเบื้องบนอึ้งไป
พวกเขาลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะพูดออกมา
“เจ้าตะวันสาดแสง”
“ย่อมต้องเป็นเจ้าตะวันสาดแสง”
“มันอาจจะเป็นความจริงว่าเจ้าตะวันสาดแสงนั้นสำคัญที่สุด แต่ยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์ก็สำคัญมากเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นเรื่องยากมากที่เจ้าตะวันสาดแสงจะสามารถปกป้องยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์นี้เอาไว้ได้ในตอนนี้ ถ้ามันอยู่ในมือของพวกเรา อย่างน้อยพวกเราก็น่าจะสามารถปกป้องมันไว้ได้และไม่ปล่อยให้มันถูกช่วงชิงไปโดยคนอื่น”
เหล่าเบื้องบนของเผ่าพันธุ์มนุษย์พูดออกมา
พวกเขาย่อมรู้ดีว่าเจ้าตะวันสาดแสงนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์นั้นก็เป็นเจ้าตะวันสาดแสงที่หามาได้ด้วยความสามารถของตัวเอง มันไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาเพราะโชค
ถ้าเป็นคนอื่น พวกเขาต้องหาวิธีเก็บยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์นี้มาไว้กับตัวเองแล้ว แต่เจ้าตะวันสาดแสงก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเขามีคุณค่ายิ่งกว่ายุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์!
“นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าคิด ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจให้เจ้าตะวันสาดแสงเก็บยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์ไว้กับตัวเอง พวกเราเหล่าผู้อาวุโสของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ควรทำสิ่งที่จะทำให้จิตใจของรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นเช่นนี้ต้องผิดหวัง เพราะอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องเป็นของพวกเขาในสักวัน”
ซวนหยวนอี้พูดด้วยเสียงเบาๆ
“นอกจากนี้เจ้าตะวันสาดแสงยังเพิ่งมาถึงทวีปจื้อเกาได้ไม่นาน มันสั้นมากจนเขาไม่ได้มีความผูกพันทางอารมณ์กับเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่าไรนัก สำหรับเขา คนที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่สุดก็คือลูกน้องของเขาและมนุษย์จากดาวเคราะห์สีน้ำเงินเท่านั้น”
“ถ้าพวกเราใช้ความชอบธรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขาส่งมอบยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์มาให้ในตอนนี้ ข้าก็เกรงว่าแม้ว่าเขาจะส่งมอบมันมา แต่มันก็จะทำให้มิตรภาพที่วิหารอัศวินทุ่มเทสร้างขึ้นมาในช่วงเวลานี้ต้องสูญเปล่าไป นั่นไม่คุ้มค่าเลย”
ซวนหยวนอี้ถอนหายใจออกมา
เหล่าเบื้องบนเงียบไป
มันมีบางคนอยากจะพูดออกมาว่า ‘เจ้าตะวันสาดแสงคู่ควรให้ปฏิบัติด้วยอย่างจริงจังขนาดนี้เลยเหรอ?’
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาคิดถึงความสำเร็จของเจ้าตะวันสาดแสงในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาก็สะกดความคิดนี้เอาไว้
เจ้าตะวันสาดแสงคนนี้ได้ทำในสิ่งที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่เคยทำได้มาก่อนในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา
เขาคู่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากซวนหยวนอี้และเบื้องบนคนอื่นๆ แล้วจากความสำเร็จ ศักยภาพ และอนาคตของเขา
มิฉะนั้น เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาและความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องจบลง มันก็คงจะไม่ใช่เล็กๆ แน่
พวกเขาเกรงว่าอีกฝ่ายจะไปเข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่นและโจมตีเผ่าพันธุ์มนุษย์แทน ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขาปวดใจที่สุดเป็นแน่
“แจ้งฝ่ายมนุษย์ทั้งหมด นับจากนี้เป็นต้นไปให้เริ่มเตรียมรับศึกเพื่อปกป้องยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ! เมื่อมีสงคราม โปรดจำไว้ว่าให้ส่งข่าวไปหาเด็กคนนี้และแจ้งให้เขาทราบว่าพวกเราจะทำอะไรเพื่อเขาบ้าง เพราะถ้าสงครามจบลงโดยเด็กคนนี้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไร ความพยายามของพวกเราก็คงจะสูญเปล่าไปเฉยๆ”
ซวนหยวนอี้กล่าว
“ขอรับท่านซวนหยวนอี้!”
“เข้าใจแล้ว”
“ข้าจะจัดการทันทีที่ข้ากลับไป”
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ได้ยินคำพูดของโจวโจวแล้ว ไป่เหอก็วางแผนที่จะพาโจวโจวไปยังโถงวิญญาณผู้กล้าทันที
“เจ้าจะรีบไปไหน?”
ในเวลานั้นเอง ราชาแพทย์แสงศักดิ์สิทธิ์หลิงรั่วเดินเข้ามาและถามด้วยรอยยิ้ม
เมื่อไป่เหอเห็นเธอ สายตาของเขาก็อ่อนโยนขึ้นมา
“เด็กคนนี้สามารถชุบชีวิตผู้กล้าได้อีกแล้ว ข้าจึงจะพาเขาไปชุบชีวิตใครบางคน” เขาพูดออกมา
“ข้าขอไปดูด้วยได้ไหม?” ราชาแพทย์แสงศักดิ์สิทธิ์สนใจขึ้นมาทันที
เธอได้ยินมาแล้วว่าเจ้าตะวันสาดแสงผู้นี้มีวิธีชุบชีวิตคนก่อนที่เธอจะมาถึง
ในฐานะหมอ เธอย่อมสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก
แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของเธอจะสูงล้ำ แต่มันก็ยังไม่ถึงขั้นที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้
ไป่เหอมองไปที่โจวโจว
“ได้สิ”
โจวโจวพยักหน้าและตกลง
ความจริงที่ว่าเขาสามารถชุบชีวิตคนได้ไม่ได้เป็นความลับในหมู่เบื้องบนของเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกต่อไปแล้ว ถ้าเธออยากดู เธอก็สามารถทำได้ เพราะมันไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง
จากนั้นทั้งสามคนก็ไม่เสียเวลาอีกและเดินไปยังโถงวิญญาณผู้กล้า
“คาราวะท่านเจ้าวิหาร คาราวะท่านราชาแพทย์ พวกเราพบกันอีกแล้วนะเจ้าตะวันสาดแสง”
ผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ไป่เหอและราชาแพทย์แสงศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าก่อนที่จะเดินเข้าไปในโถงวิญญาณผู้กล้า
“คาราวะท่านผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับ”
โจวโจวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินตามพวกเขาเข้าไป
ผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับเดาะลิ้นด้วยความประหลาดใจ
ในฐานะวิหารอัศวินและกระทั่งเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด มันจึงมีน้อยคนมากๆ ที่ได้มายังโถงวิญญาณผู้กล้า
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ที่เจ้าตะวันสาดแสงผู้นี้กลายเป็นเพื่อนบ้านของพวกเขา สหายผู้นี้ก็แทบจะกลายเป็นขาประจำของที่นี่
ในโถงวิญญาณผู้กล้า หลังจากไป่เหอพาโจวโจวและราชาแพทย์แสงศักดิ์สิทธิ์เข้ามาข้างใน เขาก็รีบเดินไปทางทิศตะวันออกทันที
ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงรูปปั้นวิญญาณผู้กล้าอันหนึ่ง
ไป่เหอมองไปยังรูปปั้นนั้นและไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน
ราชาแพทย์แสงศักดิ์สิทธิ์เองก็มีสีหน้าซับซ้อนเหมือนกัน
โจวโจวมองไปที่รูปปั้นนั้น
นี่คือเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงเจ็ดหรือแปดขวบเท่านั้น เขาสวมชุดสีขาว และมีดวงดาวที่เปล่งแสงขาวนวลลอยยู่ในมือ
เหนือหัวของเขา มันมีดวงดาวมากมายลอยอยู่ และแสงดาวเหล่านี้ก็สาดลงมาที่ร่างของเขา ทำให้เด็กน้อยคนนี้ดูน่าอัศจรรย์มาก
เขามองดูข้อมูลของผู้กล้าคนนี้ทันที
[ผู้กล้าบุตรแห่งดวงดาวระดับเทพชั้นต่ำ]
เดิมทีบุตรแห่งดวงดาวมีชื่อว่าหลี่ซิงกวง
เมื่อเด็กคนนี้ถือกำเนิดขึ้นมา มันก็มีปรากฏการณ์บังเกิดขึ้นมาด้วย
กล่าวกันว่าแต่เดิมคืนนั้นไม่มีดวงดาวบนท้องฟ้าและดูเหมือนจะเป็นค่ำคืนธรรมดาที่ไร้ซึ่งดวงดาว อย่างไรก็ตาม เมื่อหลี่ซิงกวงถือกำเนิดขึ้นมา ดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้าในทันทีบนท้องฟ้ายามราตรีอันมืดมิด
พวกมันเปล่งแสงอันพร่างพราวออกมาในขณะที่พวกมันร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าและผสานเข้ากับร่างกายของทารกหลี่ซิงกวง
หลี่ซิงกวงซึ่งเดิมทีถือกำเนิดขึ้นมาเป็นคนธรรมดาได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างทูตแห่งแสงดาวทันทีหลังจากผสานเข้ากับแสงดาวโดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบเปลี่ยนอาชีพ
ในเวลานั้น ทุกคนก็อึ้งไป
ไม่เพียงแค่หลี่ซิงกวงจะไม่ร้องไห้ออกมากับภาพตรงหน้าของเขาเหมือนกับเด็กทั่วๆ ไป แต่เขายังหัวเราะและยื่นมือออกมาเพื่อต้องการคว้าแสงดาวที่รายล้อมเขาเอาไว้
จากนั้นภายใต้สายตาแห่งความสับสนของทุกคน เขาก็คว้าเศษเสี้ยวของแสงดาวได้จริงๆ!
ในมือของเขา แสงดาวอันสูงส่งและทรงอำนาจเป็นเหมือนกับสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่โคจรอยู่รอบมือและร่างกายของเขา ดังนั้นพ่อแม่ของเขาจึงตั้งชื่อเขาว่าหลี่ซิงกวง (ซิงกวงหมายถึงแสงดาว) หลังจากเห็นภาพฉากนี้
เมื่อวันเวลาผ่านไป มันก็ยิ่งมีปาฏิหาริย์ปรากฏขึ้นบนร่างของหลี่ซิงกวงมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับความรู้ ความทรงจำอันแม่นยำ ความฉลาดเฉลียว ความฉลาดทางอารมณ์ และสามารถดูดซับแสงดาวเพื่อบ่มเพาะและเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาได้
ปาฏิหาริย์ทุกชนิดทำให้ตำนานของหลี่ซิงกวงแพร่ออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย มันก็ไปดึงดูดความสนใจของเบื้องบนของเผ่าพันธุ์มนุษย์เข้า