ตอนที่ 496 : บุตรแห่งดวงดาว—หลี่ซิงกวง

ณ ทางเดินของวิหารอัศวิน

เหล่าเบื้องบนของเผ่าพันธุ์มนุษย์เดินผ่านค่ายกลข้ามมิติไปทีละคน

ในฐานะเบื้องบนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกเขาก็มีเรื่องมากมายให้ต้องทำทุกวัน

ถ้าไม่ใช่เพราะยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์นั้นมีความสำคัญมากๆ วันนี้พวกเขาก็คงจะไม่ได้เจียดเวลามาที่นี่แล้ว

ในเวลานั้นเอง ผู้อาวุโสหลายสิบคนที่ตามหลังมาก็มองหน้ากันและลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายพวกเขาก็วิ่งไล่ตามซวนหยวนอี้ที่เดินอยู่ข้างหน้ามาจนทัน

“ท่านซวนหยวนอี้”

“ทำไม?”

ในขณะที่คนพวกนี้กำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พวกเขาก็เห็นว่าซวนหยวนอี้กำลังพูดไปด้วยในขณะที่เขาเดิน “พวกเจ้าคิดว่าอะไรสำคัญกว่ากันระหว่างยุทธภัณธ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์หรือตัวเจ้าตะวันสาดแสง”

เหล่าเบื้องบนอึ้งไป

พวกเขาลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะพูดออกมา

“เจ้าตะวันสาดแสง”

“ย่อมต้องเป็นเจ้าตะวันสาดแสง”

“มันอาจจะเป็นความจริงว่าเจ้าตะวันสาดแสงนั้นสำคัญที่สุด แต่ยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์ก็สำคัญมากเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นเรื่องยากมากที่เจ้าตะวันสาดแสงจะสามารถปกป้องยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์นี้เอาไว้ได้ในตอนนี้ ถ้ามันอยู่ในมือของพวกเรา อย่างน้อยพวกเราก็น่าจะสามารถปกป้องมันไว้ได้และไม่ปล่อยให้มันถูกช่วงชิงไปโดยคนอื่น”

เหล่าเบื้องบนของเผ่าพันธุ์มนุษย์พูดออกมา

พวกเขาย่อมรู้ดีว่าเจ้าตะวันสาดแสงนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์นั้นก็เป็นเจ้าตะวันสาดแสงที่หามาได้ด้วยความสามารถของตัวเอง มันไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาเพราะโชค

ถ้าเป็นคนอื่น พวกเขาต้องหาวิธีเก็บยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์นี้มาไว้กับตัวเองแล้ว แต่เจ้าตะวันสาดแสงก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเขามีคุณค่ายิ่งกว่ายุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์!

“นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าคิด ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจให้เจ้าตะวันสาดแสงเก็บยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์ไว้กับตัวเอง พวกเราเหล่าผู้อาวุโสของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ควรทำสิ่งที่จะทำให้จิตใจของรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นเช่นนี้ต้องผิดหวัง เพราะอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องเป็นของพวกเขาในสักวัน”

ซวนหยวนอี้พูดด้วยเสียงเบาๆ

“นอกจากนี้เจ้าตะวันสาดแสงยังเพิ่งมาถึงทวีปจื้อเกาได้ไม่นาน มันสั้นมากจนเขาไม่ได้มีความผูกพันทางอารมณ์กับเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่าไรนัก สำหรับเขา คนที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่สุดก็คือลูกน้องของเขาและมนุษย์จากดาวเคราะห์สีน้ำเงินเท่านั้น”

“ถ้าพวกเราใช้ความชอบธรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขาส่งมอบยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์มาให้ในตอนนี้ ข้าก็เกรงว่าแม้ว่าเขาจะส่งมอบมันมา แต่มันก็จะทำให้มิตรภาพที่วิหารอัศวินทุ่มเทสร้างขึ้นมาในช่วงเวลานี้ต้องสูญเปล่าไป นั่นไม่คุ้มค่าเลย”

ซวนหยวนอี้ถอนหายใจออกมา

เหล่าเบื้องบนเงียบไป

มันมีบางคนอยากจะพูดออกมาว่า ‘เจ้าตะวันสาดแสงคู่ควรให้ปฏิบัติด้วยอย่างจริงจังขนาดนี้เลยเหรอ?’

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาคิดถึงความสำเร็จของเจ้าตะวันสาดแสงในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาก็สะกดความคิดนี้เอาไว้

เจ้าตะวันสาดแสงคนนี้ได้ทำในสิ่งที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่เคยทำได้มาก่อนในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา

เขาคู่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากซวนหยวนอี้และเบื้องบนคนอื่นๆ แล้วจากความสำเร็จ ศักยภาพ และอนาคตของเขา

มิฉะนั้น เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาและความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องจบลง มันก็คงจะไม่ใช่เล็กๆ แน่

พวกเขาเกรงว่าอีกฝ่ายจะไปเข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่นและโจมตีเผ่าพันธุ์มนุษย์แทน ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขาปวดใจที่สุดเป็นแน่

“แจ้งฝ่ายมนุษย์ทั้งหมด นับจากนี้เป็นต้นไปให้เริ่มเตรียมรับศึกเพื่อปกป้องยุทธภัณฑ์เทวะประจำเผ่าพันธุ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ! เมื่อมีสงคราม โปรดจำไว้ว่าให้ส่งข่าวไปหาเด็กคนนี้และแจ้งให้เขาทราบว่าพวกเราจะทำอะไรเพื่อเขาบ้าง เพราะถ้าสงครามจบลงโดยเด็กคนนี้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไร ความพยายามของพวกเราก็คงจะสูญเปล่าไปเฉยๆ”

ซวนหยวนอี้กล่าว

“ขอรับท่านซวนหยวนอี้!”

“เข้าใจแล้ว”

“ข้าจะจัดการทันทีที่ข้ากลับไป”

อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ได้ยินคำพูดของโจวโจวแล้ว ไป่เหอก็วางแผนที่จะพาโจวโจวไปยังโถงวิญญาณผู้กล้าทันที

“เจ้าจะรีบไปไหน?”

ในเวลานั้นเอง ราชาแพทย์แสงศักดิ์สิทธิ์หลิงรั่วเดินเข้ามาและถามด้วยรอยยิ้ม

เมื่อไป่เหอเห็นเธอ สายตาของเขาก็อ่อนโยนขึ้นมา

“เด็กคนนี้สามารถชุบชีวิตผู้กล้าได้อีกแล้ว ข้าจึงจะพาเขาไปชุบชีวิตใครบางคน” เขาพูดออกมา

“ข้าขอไปดูด้วยได้ไหม?” ราชาแพทย์แสงศักดิ์สิทธิ์สนใจขึ้นมาทันที

เธอได้ยินมาแล้วว่าเจ้าตะวันสาดแสงผู้นี้มีวิธีชุบชีวิตคนก่อนที่เธอจะมาถึง

ในฐานะหมอ เธอย่อมสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก

แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของเธอจะสูงล้ำ แต่มันก็ยังไม่ถึงขั้นที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้

ไป่เหอมองไปที่โจวโจว

“ได้สิ”

โจวโจวพยักหน้าและตกลง

ความจริงที่ว่าเขาสามารถชุบชีวิตคนได้ไม่ได้เป็นความลับในหมู่เบื้องบนของเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกต่อไปแล้ว ถ้าเธออยากดู เธอก็สามารถทำได้ เพราะมันไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง

จากนั้นทั้งสามคนก็ไม่เสียเวลาอีกและเดินไปยังโถงวิญญาณผู้กล้า

“คาราวะท่านเจ้าวิหาร คาราวะท่านราชาแพทย์ พวกเราพบกันอีกแล้วนะเจ้าตะวันสาดแสง”

ผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ไป่เหอและราชาแพทย์แสงศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าก่อนที่จะเดินเข้าไปในโถงวิญญาณผู้กล้า

“คาราวะท่านผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับ”

โจวโจวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินตามพวกเขาเข้าไป

ผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับเดาะลิ้นด้วยความประหลาดใจ

ในฐานะวิหารอัศวินและกระทั่งเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด มันจึงมีน้อยคนมากๆ ที่ได้มายังโถงวิญญาณผู้กล้า

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ที่เจ้าตะวันสาดแสงผู้นี้กลายเป็นเพื่อนบ้านของพวกเขา สหายผู้นี้ก็แทบจะกลายเป็นขาประจำของที่นี่

ในโถงวิญญาณผู้กล้า หลังจากไป่เหอพาโจวโจวและราชาแพทย์แสงศักดิ์สิทธิ์เข้ามาข้างใน เขาก็รีบเดินไปทางทิศตะวันออกทันที

ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงรูปปั้นวิญญาณผู้กล้าอันหนึ่ง

ไป่เหอมองไปยังรูปปั้นนั้นและไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน

ราชาแพทย์แสงศักดิ์สิทธิ์เองก็มีสีหน้าซับซ้อนเหมือนกัน

โจวโจวมองไปที่รูปปั้นนั้น

นี่คือเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงเจ็ดหรือแปดขวบเท่านั้น เขาสวมชุดสีขาว และมีดวงดาวที่เปล่งแสงขาวนวลลอยยู่ในมือ

เหนือหัวของเขา มันมีดวงดาวมากมายลอยอยู่ และแสงดาวเหล่านี้ก็สาดลงมาที่ร่างของเขา ทำให้เด็กน้อยคนนี้ดูน่าอัศจรรย์มาก

เขามองดูข้อมูลของผู้กล้าคนนี้ทันที

[ผู้กล้าบุตรแห่งดวงดาวระดับเทพชั้นต่ำ]

เดิมทีบุตรแห่งดวงดาวมีชื่อว่าหลี่ซิงกวง

เมื่อเด็กคนนี้ถือกำเนิดขึ้นมา มันก็มีปรากฏการณ์บังเกิดขึ้นมาด้วย

กล่าวกันว่าแต่เดิมคืนนั้นไม่มีดวงดาวบนท้องฟ้าและดูเหมือนจะเป็นค่ำคืนธรรมดาที่ไร้ซึ่งดวงดาว อย่างไรก็ตาม เมื่อหลี่ซิงกวงถือกำเนิดขึ้นมา ดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้าในทันทีบนท้องฟ้ายามราตรีอันมืดมิด

พวกมันเปล่งแสงอันพร่างพราวออกมาในขณะที่พวกมันร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าและผสานเข้ากับร่างกายของทารกหลี่ซิงกวง

หลี่ซิงกวงซึ่งเดิมทีถือกำเนิดขึ้นมาเป็นคนธรรมดาได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างทูตแห่งแสงดาวทันทีหลังจากผสานเข้ากับแสงดาวโดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบเปลี่ยนอาชีพ

ในเวลานั้น ทุกคนก็อึ้งไป

ไม่เพียงแค่หลี่ซิงกวงจะไม่ร้องไห้ออกมากับภาพตรงหน้าของเขาเหมือนกับเด็กทั่วๆ ไป แต่เขายังหัวเราะและยื่นมือออกมาเพื่อต้องการคว้าแสงดาวที่รายล้อมเขาเอาไว้

จากนั้นภายใต้สายตาแห่งความสับสนของทุกคน เขาก็คว้าเศษเสี้ยวของแสงดาวได้จริงๆ!

ในมือของเขา แสงดาวอันสูงส่งและทรงอำนาจเป็นเหมือนกับสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่โคจรอยู่รอบมือและร่างกายของเขา ดังนั้นพ่อแม่ของเขาจึงตั้งชื่อเขาว่าหลี่ซิงกวง (ซิงกวงหมายถึงแสงดาว) หลังจากเห็นภาพฉากนี้

เมื่อวันเวลาผ่านไป มันก็ยิ่งมีปาฏิหาริย์ปรากฏขึ้นบนร่างของหลี่ซิงกวงมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับความรู้ ความทรงจำอันแม่นยำ ความฉลาดเฉลียว ความฉลาดทางอารมณ์ และสามารถดูดซับแสงดาวเพื่อบ่มเพาะและเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาได้

ปาฏิหาริย์ทุกชนิดทำให้ตำนานของหลี่ซิงกวงแพร่ออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย มันก็ไปดึงดูดความสนใจของเบื้องบนของเผ่าพันธุ์มนุษย์เข้า