หลิน ยู นั้นยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่ของต้นกำเนิดธรรมชาติ
เมื่อถามราชันระดับ 7 คนอื่นๆ พวกเขาก็บอกเพียงว่าใช้สำหรับอัพเกรดดินแดน
แต่ถึงอย่างนั้นแก่นแท้ดินแดนที่ใช้เมื่อตอนอัพเกรดดินแดนระดับต่ำก็ยังมีอยู่นิ
แต่ทำไมพอจะอัพเกรดดินแดนระดับสูงถึงต้องใช้เจ้านี้เพียงแค่อันเดียวมันดูเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยสำหรับชื่อระดับสูงอย่างต้นกำเนิดธรรมชาติ
และการเดินทางไปยังอาณาจักรเอลฟ์ในครั้งนี้ก็ได้เปลี่ยนแปลงต้นกำเนิดธรรมชาติของเขาไปอย่างแท้จริง
นี้เป็นสิ่งที่หลิน ยู ไม่คาดคิดมาก่อน
ด้วยความอยากรู้อยากเห้น เขาหยิบต้นกำเนิดธรรมชาติขึ้นมาตรวจสอบมัน
[ชื่อ : ต้นกำเนิดธรรมชาติ (เปิดใช้งานได้)]
[ระดับ : ระดับ 7]
[ความคืบหน้า : 100%]
[บทนำ : วัสดุสำหรับอัพเกรดดินแดน หลังจากที่รวบรวมพลังต้นกำเนิดได้เพียงพอ จึงสามารถเปิดใช้งานได้]
[หมายเหตุ : สามารถรวบรวมพลังงานต้นกำเนิดได้จากสังหารมอนสเตอร์ที่อยู่เหนือกว่าระดับบอส]
ความคืบหน้าของมันเต็ม?
หลิน ยู ถึงกับตกใจ
เขาจำได้ว่าก่อนที่จะไปยังอาณาจักรเอลฟ์ ความคืบหน้าของต้นกำเนิดธรรมชาติของเขานั้นมีอยู่เพียงแค่ 40% เท่านั้น
ทำไมจู่ๆ มันถึงได้เต็มกัน
หรือเป็นเพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้คิด จู่ๆ ก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นในหัวของเขา
[ต้นกำเนิดธรรมชาติสามารถเปิดใช้งานได้ ท่านต้องการเปิดการใช้งานหรือไม่]
สถานการณ์ตรงหน้านี้มันคืออะไรกัน?
เปิดใช้งานโดยทันทีงั้นเหรอ
หลิน ยู รู้สึกประหลาดใจไม่นอก เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อน จากนั้นจึงเลือก ใช้ ทันที
ในวินาทีต่อมา
ลูกบอลแสงต้นกำเนิดธรรมชาติในมือของเขาก็ระเบิดแสงพร่างพราวออก ค่อยๆ หลอมรวมกับร่างกายของเขา
ในเวลาเดียวกันนั้น
ต้นไม้โลกอยู่ที่อยู่ในดินแดนก็เปล่งแสงออกมาจำนวนมาก ทำให้ทั่วทั้งดินแดนสว่างไสวในทันที
หวู่บบ!
จิตวิญญาณของ หลิน ยู คำรามออกมา
เขารู้สึกได้ถึงพลังที่มองไม่เห็นหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเขา ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างเขากับต้นไม้โลกชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ราวกับว่าต้นไม้โลกคือเขา และเขาคือต้นไม้โลก
ทันใดนั้นพลังโกลาหลในตัวเขาก็ระเบิดออก กลายเป็นพื้นที่โกลาหลที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบเมตร
ลำแสงสีเทาไหลออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับจุดเริ่มต้นของโลก
จากนั้นเหล่าต้นไม้ต้นเล็กๆ ก็มีออร่าแหละชีวิตแผ่ออกมา จากพื้นดินบริเวณใจกลางของดินแดน ทำให้พื้นที่ๆเต็มไปด้วยพลังโกลาหลก่อนหน้านี้มีชีวิตชีวาขึ้นมา
มันทำให้ หลิน ยู ถึงกับตัวสั่น
[ขอแสดงความยินดีด้วย มิติต้นกำเนิดเปิดใช้งานสำเร็จแล้ว]
[ปลดล๊อกสกิล "สนามวิญญาณ"]
[สนามวิญญาณ (ติดตัว) : พลังแห่งจิตวิญญาณนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างราชันกับแก่นกลางดินแดนดินแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ก่อตัวขึ้นเป็นสนามวิญญาณรอบๆ ทำให้พันธมิตรและราชันที่อยู่ในระยะได้รับบัพจากดินแดน ขนาดของมันเทียบกับขนาดของต้นกำเนิดธรรมชาติ]
[มิติต้นกำเนิด : โลกวิญญาณที่ถูกเปิดขึ้นด้วยพลังต้นกำเนิด มันถูกใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้จิตวิญญาณของราชัน ยิ่งพลังวิญญาณแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไร มิติก็ยังใหญ่มากขึ้นเท่านั้น และยังเพิ่มความสามารถในการปลดล๊อกมากขึ้นด้วย]
การแจ้งเตือนหลายชุดนี้ถึงกับทำให้ หลิน ยู ตาลาย
แต่เขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว
ความสามารถพิเศษนี้มันไม่คล้ายกับสกิลจุติวิญญาณของวิลโลว์ลวงตาของเขางั้นหรือ?
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือพลังของมันจะเปลี่ยนไปตามขนาดของพลังต้นกำเนิด ซึ่งมีผลต่อราชันด้วยเช่นกัน
มันแข็งแกร่งกว่าสกิลของวิลโลว์ลวงตามาก
วิลโลว์ลวงตาเป็นเพียงแค่ทหารหายากที่ทำอะไรไม่ค่อยได้มากนัก
ดูเหมือนว่าหลังจากระดับสูง แล้ว จิตวิญญาณของราชันจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆและค่อยๆเข้าไปแทนแกนกลางของดินแดน
นี้เป็นสิ่งที่ หลิน ยู คิดไม่ถึงมาก่อน
แต่เมื่อลองคิดดูแล้วมันก็สมเหตุสมผล
ก่อนที่จะถึงระดับ 7
จิตวิญญาณของราชันนั้นอ่อนแอเกินไป ทำให้พวกเขาต้องพึ่งแกนกลางของดินแดนเพื่อใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆภายในดินแดนได้เท่านั้น
แต่หลังจากระดับ 7 ไปแล้ว
เมื่อจิตวิญญาณของพวกเขาแข็งแกร่งได้ระดับหนึ่ง มันค่อยๆเป็นอิสระและแยกออกหลังจากอัพเกรดสูงขึ้นแต่ละขั้น
และเมื่อเขาไปถึงระดับ 10 เขาก็จะสามารถหลุดจากพันธนาการของแกนการของดินแดนได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้ตัวเขานี้แหละกลายเป็นแกนกลางที่แท้จริง
มันคงจะโง่เง่าเกินไปที่นำสิ่งสำคัญที่สุดเก็บไว้ที่ดินแดน
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่ามันเป็นเพราะระดับของเขานั้นยังไม่ถึง
แต่ด้วยวิธีนี้
ราชันคนอื่นพวกเขาก็ยังได้รับบัพจากดินแดนแม้จะอยู่ด้านนอก ดังนั้นข้อได้เปรียบที่สุดของวิลโลว์ลวงตาจะไม่หายไปงั้นหรอ
เขาเจ็บปวดไม่น้อยเมื่อคิดเกี่ยวกับมัน
ไม่แปลกใจเลยที่ หยาน ลี่ และกองกำลังของเขาจะแข็งแกร่งขนาดนั้น กับกลายว่ามันเป็นเพราะบัพจากดินแดนนี้เอง
นี้เป็นเรื่องปกติของระดับ 7
เพราะราชาส่วนใหญ่ไม่ได้รวบรวมพลังต้นกำเนิดจนเต็ม
แต่หลังจากไปถึงระดับ 8 นั้นหมายความว่า ราชันทุกคนจะมีสนามวิญญาณและได้รับบัพจากดินแดน
กล่าวอีกอย่างก็คือ ข้อได้เปรียบของเขาในตอนนี้เหลือเพียงแค่ ชิ้นส่วนเทวะและ กองทัพทหารพืชขยายพันธุ์ และการใช้มอสชีวภาพ
แม้จะยังแข็งแกร่งอยู่แต่ความได้เปรียบก้ลดน้อยลง
แต่ข่าวดีคือตัวเขาก็ได้รับบัพจากดินแดนเหมือนกัน
ค่าสถานะทั้งหมดเพิ่มขึ้น 16% ความเร็วในการฟื้นฟูเพิ่มขึ้น 20%
ความเร็วในการฟื้นฟูเพิ่มขึ้น 20% นี้มีประโยชน์ต่อเข้าอย่างมาก
เขานั้นไม่รู้ว่าจะวัตถุศักดิ์สิทธิ์ดินแดนระดับสูงกว่านี้หรือไม่เมื่อก้าวขึ้นไปสู่ระดับ 8 ถ้าหากมีก็คงจะบอกไม่ได้หรอกว่าจะดีกว่าอันนี้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม วัตถุศักดิ์สิทธิ์ดินแดนของเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าราชันคนอื่นมากนัก
เมื่อลองคิดดู
หลิน ยู จมอยู่ในความคิด เขามองไปยังมิติต้นกำเนิดที่อยู่ในร่างของเขา มันเป็นเงาของ ต้นไม้ต้นเล็กๆ
[มิติต้นกำเนิด : ต้นไม้โลก (ต้นอ่อน)]
[เผ่าพันธ์ : เผ่าพฤกษา]
[ระยะ : 10 เมตร]
[สกิล : สนามวิญญาณ]
[หมายเหตุ : จิตวิญญาณที่ได้ถูกพัฒนาเติบโตขึ้นในระดับ 1 มันสามารถพัฒนากลายเป็นโลกได้ มันต้องการพลังต้นกำเนิดเพื่อใช้ในการชำระล้าง]
ระยะแสดงผลของมิติต้นกำเนิดคือ 10 เพียงเท่านั้น
มันเป็นเพียงแค่ข้อมูลที่เรียบง่ายเพียงไม่กี่บรรทัดเท่านั้น
เมื่อเทียบกับแกนกลางดินแดน แล้วมันดูอ่อนแอกว่ามาก
แต่จากที่เขาคิดเอาไว้มันต้องสังหารมอนสเตอร์เพื่อนำพลังต้นกำเนิด มาเติบเต็มให้กับต้นไม้โลกที่อยู่ในตัวเขาอย่างช้าๆ เพื่อให้มันพัฒนาและปลดล๊อกฟังช์ต่างเพิ่มเติม
สิ่งที่ ทำให้ หลิน ยู มึนงงคือ
พลังความศรัทธาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายภาย
ส่วนพลังต้นกำเนิดนั้นสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของเขาได้
หนึ่งในสองพลังนี้ หนึ่งมาจากผู้คนภายในดินแดน และอีกหนึ่งจากมาเหล่ามอนสเตอร์ ซึ่งไม่รู้ว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์อย่างไรกัน
นอกจากนี้มิติต้นกำเนิดที่ปรากฏขึ้นอย่างกระทันหันนี้ยังสามารถพัฒนาขึ้นไปได้อีก
ดูเหมือนว่าถ้ามีโอกาส เขาคงต้องสอบถามเหล่าราชันระดับสูง เพื่อที่จะได้ไม่ออกนอกลู่นอกทาง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลิน ยู ก็ปิดหน้าต่าง ขึ้นขี่ มังกรราชาปิศาจออกจากไปดินแดนมุ่งไปยังด้านนอกเพื่อไปตรวจสอบสถานการณ์ของอู่เรือเหาะ
หลังจากใช้เวลาอยู่หลายวันในการลงทุนและปรับปรุงครั้งใหญ่
ในเวลานี้ ด้านนอกของอู่เรือเหาะก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว มันได้มีการสร้างศูนย์การค้าขนาดใหญ่
ณ จัตุรัสด้านนอกอู่เรือเหาะ ได้มีเหล่าพ่อค้า ผู้ฝึกตน ไปจนกระทั่งผู้คนมากมายที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
"มาแล้ว! เรือเหาะเวทย์มนต์ได้กลับมาแล้ว!!
ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงตะโกนออกมาจากฝูงชน
บนท้องฟ้าอันไกลโพ้น เงาดำขนาดใหญ่ได้ทะลวงผ่านกลุ่มเมฆเข้ามา
ท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกึกก้อง มันค่อยๆบินไปทางเมืองหวงซา
มันคือเรือเหาะเวทย์มนต์ที่บินกลับไปจากเมืองอื่น
เมื่อเห็นว่าเรือเหาะเวทย์มนต์กำลังลงจอด เหล่าผู้โดยสารทั้ง 200 คนก็วิ่งออกไปด้านข้างเพื่อมองผืนป่าที่กว้างใหญ่เบื้องล่าง
"นี้คือเมืองหวงซา งั้นหรอ"
"ช่างเป็นเมืองแห่งป่าที่งดงามจริงๆ"
"ข้าคิดว่ามันเป็นเมืองชายแดนขนาดเล็กซะอีก ไม่คิดว่ามันจะเจริญขนาดนี้"
"ข้าได้เคยได้ยินมาว่าที่นี้มีอาหารวิเศษขายมากมาย ครั้งนี้ข้าคงต้องซื้อกลับไปบ้างแล้ว"
"ดูเหมือนพวกเราจะมาถูกทางแล้วซินะ"
ผู้โดยสารที่มากับเรือต่างตกตะลึงกับความใหญ่โตของเมืองหวงซา
ซึ่งมันดูเจริญมากกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้
หากนับพื้นที่อู่เรือเหาะที่อยู่ด้านนอกของป่า มันก็ใกล้เคียงกับเมืองระดับกลางที่มีประชากรหลายแสนคนเลยทีเดียว
คงไม่เกินจริงที่จะเรียกที่นี้ เมืองหลวงแห่งป่า ที่อยู่ ณ ชายแดนของอาณจักร
ด้วยความประหลาดใจของพวกเขา ความเร็วเรือเหาะเวทย์มนต์ค่อยๆร่อนลงอย่างช้าๆ ลงจอดอย่างราบรื่นเข้าเทียบท่าอู่เรือเหาะ
จากนั้นก็เหล่าผู้คนก็ต่างพากันเร่งรีบตะโกนออกไปทันที
ฝูนชนขึ้นและลงเรือกันอย่างตื่นเต้น ซึ่งทำให้อู่เรือเหาะมีชีวิตชีวาอย่างมาก และกองรักษาความปลอดภัยบนเรือได้พักผ่อนชั่วขณะหนึ่ง
ชายหนุ่มผู้รับผิดชอบในการเดินเรือครั้งนี้คือ ชายคนแรกในเมืองหวงซาที่อาสาช่วยหลิน ยู ขุดคลอง ชื่อของเขาคือหวงเหริน
เนื่องจากความสามารถพิเศษทางด้านอุปกรณ์ของเขา ซู จง จึงมอบตำแหน่งกับตันเรือเหาะเวทย์มนต์ให้กับเขา
อาจจะกล่าวได้เขานั้นได้ทะยานขึ้นสู่เบื้องบนอย่างแท้จริง ขึ้นเป็นบุคคลชั้นนำของเมืองหวงซา
หลังจากเรือเหาะเทียบท่า
หวงเหริน เดินออกจากห้องควบคุมภายในสายตาอิจฉาจากผู้คน
ข้าได้ยินกองรักษาการณ์ของเมืองหวงซานั้นแข็งแกร่งอย่างมาก โดยเฉพาะทีมที่คอยรักษาความปลอดภัยบนเส้นทางการบินเพิ่งสร้างมาใหม่นั้น แข็งแกร่งสุดๆ มันยอดเยี่ยมซะจนทุกคนต่างก็อิจฉา
ตราบใดที่เข้าร่วมกับทีมรักษาความปลอดภัยสายการบิน เจ้าจะได้รับชุดเซ็ตอุปกรณ์ระดับ 8 ทันที
นอกจากนี้ยังมีค่าจ้างรายเดือนและโบนัสต่างๆจากเมืองหวงซาอีกด้วย
พวกเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ฝึกตนที่อยู่ในเมืองตั้งไม่รู้กี่เท่า
นี้ไม่ต้องพูดถึงกัปตันที่รับผิดชอบควบคุมเรือเหาะเวทย์มนต์
พวกเขาแต่ละคนกลายเป็นเป้าหมายในการเทิดทูนของผู้คน อาจกล่าวได้พวกเขาทรงอำนาจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เวลาเดินยังรู้สึกได้ถึงลมที่พัดออกจากฝ่าเท้า ซึ่งมันยอดเยี่ยมอย่างมาก
สิ่งนี้ทำให้หวงเหริน เปี่ยมไปด้วยความสุข
เขานั้นดีใจที่เขาเลือกที่อยู่ในเมืองหวงซาตั้งแต่แรก การร่วมสร้างเมืองกับนายท่าน ทำให้ตัวเขามีวันนี้
และตอนนี้เขาได้เป็นกัปตันเรือแล้ว เขาเป็นผู้นำของเหล่าผู้ฝึกตนที่ทรงพลัง มันคงไม่เกินจริงถ้าจะบอกว่าเขานั้นได้มาถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว
ทุกครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ หวงเหริน ก็อดไม่ได้ที่จะเอามือไปประทับที่หน้าอกของตัวด้วย มันเป็นร่องรอยแห่งความภาคภูมิใจ
และในเวลานั้นเอง
จากมุมหางตาของเขา ทันใดนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นร่างๆหนึ่งบนมาจากระยะไกล ฝีเท้าของเขาก็หยุดลงอย่างกระทันหัน
"มีอะไรงั้นหรือ กัปตัน?"
ผู้ฝึกตนในทีมถามเขาด้วยความสงสัย
แต่สิ่งที่เขาได้รับกับเป็นเสียงร้องของ หวงเหริน
"นายท่าน! นายท่านมาแล้วว! รีบไปหานายท่านกันเถอะ"
ก่อนที่เสียงของเขาจะสิ้นสุด เหล่าผู้คนก็ต่างรีบวิ่งไปยังเงานั้น
เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ก็ตกใจเช่นกัน รีบตามไป
ผ่านไปไม่นาน
กองกำลังที่มีอุปกรณ์ครบครันก็ได้ยังถึงพื้นที่โลกบริเวณอู่เรือเหาะพวกเขาเข้าแถวรออย่างเป็นระเบียบ มันได้ดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้โดยสารทันที
ฟริ้ววว
เกิดสายลมกรรโชกแรงขึ้น หลิน ยู ซึ่งขี่ มังกรราชาปิศาจ มาก็ค่อยๆร่อนบริเวณพื้นที่โล่ง
ทันทีที่เขาได้ลงจอด หวงเหริน ก็ได้นำกลุ่มผู้ฝึกตนเข้ามาหาเขา
"ยินดีต้อนรับขอรับ นายท่าน!"
เสียงตะโกนเกือบที่จะพร้อมเพรียงกันดังออกมาจากปากของพวกเขา
หลิน ยู พลิกตัวกระโดดลงจากหลังของมังกรราชาปิศาจ เมื่อมองไปยังการจัดขบวนที่เป็นระเบียบของพวกเขา เขาก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ "ตามสบาย ข้ามาที่นี้เพื่อสังเกตุการณ์เฉยๆ ใครคือผู้รับผิดชอบเรือเหาะเวทย์มนต์ลำนี้"
"นายท่าน เป็นข้าน้อยเองขอรับ" หวงเหริน รีบเดินออกมาจากแถว
"โอ้ เจ้านั้นเอง ข้าจำเจ้าได้เจ้าน่าจะเป็น ... หวงเหรินซินะ"
หลิน ยู ยังจำชาวเมืองกลุ่มแรกของเมืองหวงซา ได้เป็นอย่างดี นี้จึงทำให้เขาจำหวงเหรินได้อย่างรวดเร็ว
หวงเหริน ไม่คิดว่านายท่านจะจำเข้าได้ ใบหน้าของเขาเป็นสีแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น "ใช่แล้วขอรับ ข้าน้อยหวงเหรินเอง!"
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved