บทที่ 234 : จุดประสงค์ของราชสำนักสวรค์เต๋าอี้ หยดเลือดของปราชญ์
ปราชญ์เต๋าอี้?
ซุยเฮ็งสามารถบอกได้ว่ายอดนักบุญสวรรค์ผู้นี้อาจจะกำลังพูดถึงเทพเต๋าผู้สร้างราชสำนักสวรรค์เต๋าอี้
และสิ่งนี้ก็ทำให้เขารู้สึกงงงวยเล็กน้อย
ตามบันทึกของตำหนักเต๋าอี้ ในตอนที่เทพเต๋าออกไปจากราชสำนักสวรรค์เต๋าอี้เมื่อ 7,000 ปีที่แล้ว เขาก็น่าจะเป็นเซียนอนันต์ทองและเทียบเท่ากับขอบเขตแก่นแท้ทองคำขั้นสมบูรณ์
แต่ตอนนี้ ยอดนักบุญสวรรค์ผู้นี้ก็กลับเรียกเขาว่าปราชญ์ผู้สูงส่ง
มันเป็นไปได้ไหมว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นเมื่อ 7,000 ปีที่แล้ว เขาจะได้พบสิ่งที่เรียกว่าโอกาสและได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์?
มันเป็นขอบเขตขั้นที่หกของโลกเซียน?
แต่ทำไมเทพลึกลับถึงถูกผนึกไว้ที่แกนกลางของดาวเคราะห์กัน
หรือเป็นไปได้ไหมว่ามันจะเป็นผลมาจากการทรยศ?
ความสงสัยเหล่านี้ทำให้ซุยเฮ็งมีความสุข
นี่เป็นเพราะสำหรับเขาแล้ว ทุกข้อสงสัยก็คือเส้นทางที่นำไปสู่การสำรวจสิ่งที่ไม่รู้จัก
ตราบใดที่ข้อสงสัยเหล่านี้ได้รับการแก้ไข การฝึกตนของเขาก็จะเพิ่มขึ้น
ในเวลาเดียวกัน มันก็ยังสามารถช่วยให้เขาเข้าใจใบหน้าที่แท้จริงของโลกนี้ได้มากขึ้น
ความจริงแล้ว ทิศทางของข้อสงสัยเหล่านี้ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับความลับหลักของโลกสูญสวรรค์
และแม้ว่าซุยเฮ็งจะพลิกดูหนังสือของตำหนักเต๋าอี้และเก้าสำนักเซียน แต่เขาก็อาจจะยังไม่สามารถหาคำตอบได้
แต่ตอนนี้มันก็แตกต่างออกไป
นักบุญสูงสุดของสวรรค์กำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเขา นี่คือผู้ปกครองสูงสุดคนปัจจุบันของโลกสูญสวรรค์ พ่อของเขาเป็นหนึ่งใน 35 เทพศักดิ์สิทธิ์ที่เคยติดตามปราชญ์เต๋าอี้
สิ่งเหล่านี้ไม่ควรจะเป็นความลับสำหรับนักบุญสูงสุดของสวรรค์
ด้วยเหตุนี้เอง ซุยเฮ็งจึงมองไปที่ “ค่าประสบการณ์” นี้และยิ้ม “ อันที่จริง ข้าก็ไม่รู้จักปราชญ์เต๋าอี้ ดังนั้นข้าจึงจะไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่โดยธรรมชาติ”
ใบหน้าของนักบุญสูงสุดของสวรรค์ซีดลงราวกับกระดาษเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เขาพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ ท่านปราชญ์ ข้า.. ข้ารู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับปราชญ์เต๋าอี้ ข้าสามารถบอกท่านเกี่ยวกับข้อมูลทั้งหมดของเขาได้”
“ ข้อมูลนี้อาจช่วยให้ท่านอนุมานได้ว่าปราชญ์เต๋าอี้อยู่ที่ไหน และตราบใดที่ท่านไว้ชีวิตข้า ข้าก็จะบอกทุกสิ่งที่ข้ารู้และจะช่วยท่านเพิ่มพูนการฝึกตนของท่านอย่างแน่นอน”
“ โอ้?” ซุยเฮ็งอุทานเบาๆ สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาก็ค่อนข้างประหลาดใจในใจ ปฏิกิริยาของยอดนักบุญสวรรค์นั้นทำให้เขาประหลาดใจจริงๆ
ก่อนหน้านี้ ในตอนที่ยอดนักบุญสวรรค์ประกาศว่าพ่อของตนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของปราชญ์เต๋าอี้ เขาก็ต้องการจะใช้วิธีนี้เพื่อร้องขอความเมตตา
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักปราชญ์เต๋าอี้ ดังนั้นมันจึงดูเหมือนกับว่าเขากำลังจะขายข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาเองออกไป ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ดูเหมือนว่าเขาจะมั่นใจมากว่าจะไปหาปราชญ์เต๋าอี้ได้ที่ไหน
“ เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นอาจเกี่ยวข้องกับวิธีการฝึกตนของขอบเขตขั้นที่หกของโลกเซียนรึเปล่านะ?”
ซุยเฮ็งครุ่นคิดอยู่ในใจ แต่โดยพื้นผิวแล้ว เขาก็กล่าวอย่างเฉยเมยกับยอดนักบุญสวรรค์ว่า “ พูดมา”
“ข้า ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านปราชญ์!” ยอดนักบุญสวรรค์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในความคิดของเขา ในเมื่อซุยเฮ็งถามเขา เขาจึงคิดว่าเขายังมีค่าและตราบใดที่เขายังมีค่า เขาก็จะยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ “ ข้าแต่ท่านผู้สูงส่ง ข้าได้ยินเรื่องนี้จากพ่อของข้า ปราชญ์เต๋าอี้คือ…”
ขณะที่เขาอธิบาย ภาพของปราชญ์เต๋าอี้ผู้นี้ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในใจของซุยเฮ็ง
ชื่อเดิมของปราชญ์เต๋าอี้คือหวังโจวหยวน เขาเป็นเจ้าสำนักแห่งสำนักเต๋าอี้แห่งอาณาจักรเก้าเมฆาสวรรค์ และยังเป็นหนึ่งใน 27 เซียนแห่งสวรรค์ทั้งเก้า เขาเป็นหนึ่งใน 27 เซียนอนันต์ทองที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเมฆาสวรรค์ทั้งหมด
เซียนทั้ง 27 คนเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นรองเพียงสามปราชญ์แห่งอาณาจักรเก้าเมฆาสวรรค์ พวกเขามีสถานะที่สูงและเป็นผู้มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ พวกเขาแต่ละคนปกครองดินแดนอันกว้างใหญ่ของตนเองและเพลิดเพลินไปกับทรัพยากรอันไร้ที่สิ้นสุด
แต่เมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว สถานการณ์ที่มั่นคงนี้ก็ได้เปลี่ยนไป
ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆ ปราชญ์ทั้งสามก็เริ่มโจมตีกันเองและสั่งให้เซียนอนันต์ทองที่อยู่ภายใต้พวกเขามาเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาก็จะถอดแก่นแท้เซียนของทุกคนออกและลดให้เหลือเพียงระดับเทพลึกลับไท่อี้
เซียนอนันต์ทองจำนวนมากสามารถทำได้เพียงเข้าร่วมการต่อสู้ภายใต้ความกดดันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เจ้าสำนักของสำนักเต๋าอี้ หวังโจวหยวนก็ได้ใช้ประโยชน์จากความโกลาหลนี้ขับเรือเหาะบินหลบหนีออกมาจากอาณาจักรเก้าเมฆาสวรรค์ นอกจากนี้ เขาก็ยังนำเซียนทองทั้ง 35 คนจากสำนักเต๋าอี้มาด้วย
เนื่องจากเรือเหาะสามารถบินข้ามอวกาศได้ โดยพื้นฐานแล้วมันจึงเป็นสมบัติขอบเขตที่หกของโลกเซียน และหวังโจวหยวนซึ่งเป็นเพียงจุดสูงสุดของขอบเขตที่ห้าจึงไม่สามารถปรับตำแหน่งของแผนที่ดาวบนนั้นได้
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงทำได้เพียงทำตามการตั้งค่าที่กำหนดขึ้นอยู่แล้วบนแผนที่ดวงดาวในเวลานั้น และจากนั้น เขาก็ได้มาถึงดาวแห่งชีวิตซึ่งถูกเรียกว่าดาวเต๋าโจว
ส่วนนี้แตกต่างจากในบันทึกของตำหนักเต๋าอี้
จากสิ่งนี้ ชื่อดาวเต๋าโจวก็ไม่ได้รับมาจากเทพเต๋า
แต่เดิมมันถูกทำเครื่องหมายเอาไว้อยู่บนแผนที่ดวงดาวมาก่อนแล้ว
นอกจากนี้ มันก็ยังมีคำอธิบายอย่างง่ายบนแผนที่ดวงดาว มันบอกว่าครั้งหนึ่งปราชญ์ได้ถูกสร้างขึ้นจากดาวดวงนี้ และมันก็ควรจะเป็นดาวมีชีวิตที่มีการพัฒนาค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามาถึงดาวเต๋าโจว พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้นั้นไม่มีแม้แต่ร่องรอยของอารยธรรม แล้วนับประสาอะไรกับการพัฒนา?
ถึงจะมีมนุษย์อยู่ แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในยุคโบราณที่กินเนื้อและเลือดแบบดิบๆ
โชคดีที่ที่นี่ถือเป็นที่พักและค่อนข้างปลอดภัย
ต่อไปคือการกระทำของหวังโจวหยวนบนดาวเต๋าโจว
สิ่งเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือของตำหนักเต๋าอี้
โดยรวมแล้ว มันก็คล้ายกัน แต่ยอดนักบุญสวรรค์ก็ได้อธิบายเหตุผลที่เทพเต๋าได้ก่อตั้งราชสำนักสวรรค์เต๋าอี้ขึ้น
นั่นก็เพื่อการหลบหนี
ตำหนักทั้ง 36 แห่งของราชสำนักสวรรค์เต๋าอี้นั้นเป็นอาวุธเซียนชั้นยอด พวกมันเชื่อมต่อกันด้วยอาวุธเซียนอนันต์ทอง 36 ชิ้นและดูดซับพลังแห่งแก่นแท้ของดาวเต๋าโจวทั้งหมดเป็นการหล่อเลี้ยง
และมันก็มีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น
เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาถูกฆ่าในทันทีเมื่อปราชญ์มาโจมตี สิ่งนี้จะทำให้พวกเขามีเวลาเปิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายและสุ่มเลือกจุดหมายปลายทางที่จะหลบหนี
สถานการณ์นี้กินเวลานานประมาณ 3,000 ปี อายุขัยของหวังโจวหยวนเหลือน้อยกว่า 500 ปี และเซียนทอง 35 คนโดยทั่วไปแล้วก็เหลือเวลาอีกเพียง 1,000 ปีเท่านั้น
พวกเขาเริ่มตื่นตระหนก
ในขณะนั้น แสงที่น่าสะพรึงกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ก็ได้ส่องลงมาจากส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว มันข้ามผ่านความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุดและส่องลงบนดาวเต๋าโจว
แค่แสงนี้เพียงอย่างเดียวก็ทำให้ราชสำนักสวรรค์เต๋าอี้แทบจะล่มสลายลงไปในทันที
แสงนี้ทำให้หวังโจวหยวนและคนอื่นๆ รู้ว่ามันเป็นแสงที่เกิดขึ้นจากการระเบิดของอาณาจักรเก้าเมฆาสวรรค์
ในเวลานั้นเองที่พวกเขาพบว่าหนึ่งพันปีหลังจากที่พวกเขาออกมาจากอาณาจักรเก้าเมฆาสวรรค์ โลกที่กว้างใหญ่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ซึ่งมีปราชญ์ผู้ทรงเกียรติสามคนอาศัยอยู่ก็ได้ระเบิดขึ้นแล้วจริงๆ
พร้อมกับแสงนั้น ชิ้นส่วนของโลกได้ชนเข้ากับความว่างเปล่าอื่นข้างดาวเต๋าโจว มันได้ก่อตัวเป็น “โลกสูญสวรรค์” จากนั้น หวังโจวหยวนก็ค้นพบบางอย่างและทิ้งดาวเต๋าโจวเอาไว้กับราชสำนักสวรรค์เต๋าอี้และเซียนทองอีก 35 คน หลังจากนั้น มันเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีใครรู้
เขารู้เพียงว่าเมื่อ 6,700 ปีที่แล้ว เทพศักดิ์สิทธิ์เทียนเหอได้กลับมายังดาวเต๋าโจวพร้อมกับเรือเหาะ
อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้น เขาก็ได้รับการปนเปื้อนจากเลือดของปราชญ์และตกอยู่ในสภาพปางตายแล้ว
โชคดีที่เทพดวงดาวในดาวเต๋าโจวได้ปรากฏขึ้นพอดี
ดังนั้นเทพศักดิ์สิทธิ์เทียนเหอจึงเปลี่ยนแก่นแท้เซียนที่ปนเปื้อนของตนกับแก่นแท้เซียนของเทพดวงดาวก่อนที่จะกลับสู่สภาวะปกติ
ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงทำให้เทพลึกลับของสำนักเซียนทั้งสิบแห่งของโลกสูญสวรรค์ประสบกับปัญหาการกัดกร่อนที่ร้ายแรงอย่างยิ่งหลังจากกลืนกินศพของเทพดวงดาว
“ เดี๋ยวก่อนนะ เจ้าจะบอกว่าเทพศักดิ์สิทธิ์เทียนเหอได้รับการปนเปื้อนมาจากเลือดของปราชญ์หนึ่งหยดในตอนนั้น และจากนั้นก็ได้รับการทดแทนด้วยแก่นแท้เซียนจากเทพดวงดาวอย่างงั้นหรอ?”
ซุยเฮ็งสังเกตเห็นสิ่งนี้และมองไปที่ผู้อาวุโสทั้งเก้าโดยไม่รู้ตัว เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “ นี่ไม่ได้หมายความว่าแก่นแท้เซียนในร่างกายของพวกเขาเองก็ปนเปื้อนด้วยเลือดของปราชญ์หรอ?”
“ ตามทฤษฎีแล้ว มันก็เป็นแบบนั้น” ยอดนักบุญสวรรค์พยักหน้า แต่เขาก็งงงวยเล็กน้อยโดยไม่รู้ว่าซุยเฮ็งต้องการจะทำอะไร
“ ข้าเข้าใจแล้ว” ซุยเฮ็งยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขายกมือขึ้นในทันทีและคว้าเอาเก้าผู้อาวุโสแห่งสำนักเซียนมาอยู่ต่อหน้าเขาในทันที
ก่อนที่ทั้งเก้าคนจะทันได้พูดอะรไ เขาก็ได้หมุนพลังปราณของเขาและระเบิดพวกมันเป็นผุยผงโดยตรง
แมลงสีม่วงดำจำนวนนับไม่ถ้วนคลานออกมาจากอากาศ
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกมันพบกับพลังปราณของซุยเฮ็ง แมลงเหล่านี้ก็พังทลายลงทีละตัว มันเผยให้เห็นแก่นแท้ที่ไม่มีวันตายของพวกมัน
แก่นแท้เหล่านี้บางส่วนควบแน่นเป็นรูปร่างของกะโหลกศีรษะ บางส่วนเป็นรูปร่างของกระดูกสันหลัง และบางส่วนเป็นรูปร่างของซี่โครง… เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของส่วนร่างกายของเทพดวงดาว
ซุยเฮ็งโยนแก่นแท้ที่ดูเหมือนกับหัวใจออกมาจากแขนเสื้อของเขา เขาได้รับมันมาจากตอนที่เขาสังหารเทพลึกลับจากตำหนักมหาราชันบนดาวเต๋าโจว
ในขณะนี้ แก่นแท้เซียนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเทพศักดิ์สิทธิ์เทียนเหอก็ได้รวมตัวกันอีกครั้ง พวกมันดึงดูดกันและกันและควบแน่นเป็นแก่นแท้เซียนอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน สิ่งปนเปื้อนบนนั้นซึ่งก็คือหยดเลือดของ “ปราชญ์” ก็สามารถเห็นได้ชัด
ซุยเฮ็งสะบัดนิ้วของเขาและหยดเลือดสีม่วงดำก็ไหลออกมาจากมันและลอยอยู่ในอากาศ มันมองเห็นแมลงสีม่วงดำจำนวนนับไม่ถ้วนดิ้นพล่านอยู่ข้างในอย่างคลุมเครือ
ก่อนหน้านี้ ในตอนที่มีเพียงแมลงสีม่วงดำ เขาก็ไม่สามารถถอดรหัสความลึกลับภายในนั้นได้ แต่ตอนนี้เมื่อพวกมันรวมตัวกันเป็นเลือดปราชญ์หยดหนึ่งแล้ว เขาก็ได้รับเงื่อนงำมา
“ นี่คือเลือดของปราชญ์? นี่คือพลังของปราชญ์?” การจ้องมองของซุยเฮ็งมุ่งเน้นไปที่หยดเลือดศักดิ์สิทธิ์ในขณะที่เขาเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ภายในและพลังแห่งกฎที่อยู่ในนั้น
ด้วยพลังปราณและพลังวิญญาณของเขา แม้ว่าเขาจะมีเลือดเพียงหยดเดียว แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของปราชญ์คนนี้แบบสมบูรณ์
ตามการประมาณการตามปกติ ขอบเขตปราชญ์นั้นก็สูงกว่าขอบเขตแก่นแท้ทองคำขั้นสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่งใหญ่ มันควรจะเทียบได้กับขอบเขตรวมวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม หลังจากวิเคราะห์หยดเลือดศักดิ์สิทธิ์นี้แล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่ามันดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
“ หยดเลือดศักดิ์สิทธิ์นี้เทียบได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ทองคำขั้นปลายเท่านั้น แต่มันก็มีลักษณะวิญญาณที่ชัดเจน…”
ซุยเฮ็งขมวดคิ้วและคิดกับตัวเองว่า “ ถ้าเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เรียกว่าขอบเขตปราชญ์ก็น่าจะยังห่างไกลจากขอบเขตรวมวิญญาณขั้นต้น มันเหมือนกับแก่นแท้ทองคำพิเศษที่มีคุณสมบัติของขอบเขตรวมวิญญาณบางอย่างและแข็งแกร่งกว่าปกติเหลายพันเท่า?”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved