ตอนที่ 132 - บทที่ 132 ระดับของผู้อเวค!

บทที่ 132 ระดับของผู้อเวค!

เฉินฟานไม่แปลกใจมากนัก เพราะจากสิ่งที่ลุงจางได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ เขาสามารถเดาได้ว่าเกณฑ์สำหรับนักรบขอบเขตการปรับแต่งกล้ามเนื้อขั้นปลายที่จะทะลุผ่านไปสู่ระดับหมิงจินนั้นค่าสถานะน่าจะอยู่ที่ประมาณ 200 คะแนน

นั้นหมายความว่าขั้นกลางของขอบเขตการปรับแต่งเนื้อไปจนถึงขั้นปลายนั้นจะใช้ค่าสถานะ 150 แต้ม

“แต่ยังไม่ต้องรีบร้อน ยังไม่สายเกินไปที่จะบุกทะลวงในเช้าวันพรุ่งนี้”

เขาเดินออกจากบ้าน และหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินไปตามไปที่บ้านหลังหนึ่งเคาะประตูและพูดเบาๆว่า "เหมิงหยู เจ้าหลับแล้วหรือยัง?"

“เฉินฟานงั้นหรือ?”

เสียงที่น่าตกใจดังขึ้นในห้อง ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ และประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างของเหมิงหยู

“ขอโทษที่รบกวนเจ้าในเวลากลางคืน”

เฉินฟานหัวเราะ

“ไม่เป็นไร ข้ายังไม่ได้นอน”

ใบหน้าของเหมิงหยูแดงเล็กน้อย พร้อมถอยห่างจากประตู

เฉินฟานพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง

“ข้าจะเทน้ำให้ท่าน”

เหมิงหยูดูประหม่าเล็กน้อย

"ไม่ต้องหรอก"

เฉินฟานไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีและพูดว่า "เจ้ายังจำครั้งสุดท้ายที่เจ้าสอนข้าเกี่ยวกับเทคนิคการสังเกตดวงจันทร์ได้ไหม?"

“หืม? เทคนิคการสังเกตดวงจันทร์งั้นหรือ?”

เหมิงหยูสะดุ้งจากนั้นพยักหน้าทันที และเมื่อเธอก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่าง จึงเบิกตากว้างแล้วพูดว่า "ท่านเข้าถึงขั้นเริ่มต้นแล้วงั้นหรือ?"

เฉินฟานยิ้มและพูดว่า "ใช่ ข้าโชคดี ข้าพึ่งเข้าถึงขั้นเริ่มต้นเมื่อกี้นี้"

เหมิงหยูอ้าปากกว้างและพูดไม่ออก

แน่นอนว่าเธอไม่สงสัยเลยว่าเฉินฟานกำลังโกหกเธอ

แต่นานแค่ไหนแล้วที่เธอบอกเฉินฟานถึงเทคนิคการสังเกตดวงจันทร์?

หนึ่งวันหรือสองวัน?

แต่เขาสามารถเข้าถึงขั้นเริ่มต้นได้แล้วงั้นเหรอ?

“ตอนนั้นข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าถ้าเจ้าบอกข้าๆก็สามารถช่วยเจ้าได้ และข้ามาที่นี่เพื่อเล่าประสบการณ์ของข้าให้ฟัง หากเจ้ามีคำถามใดๆในระหว่างนี้อย่าลังเลที่จะพูดมันออกมา”

เฉินฟานกล่าวขึ้น

แม้ว่าปัจจุบันเขาจะอยู่ในขั้นความสำเร็จเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แต่ก็มากเกินพอที่จะสอนเหมิงหยูที่ยังไม่ได้เริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ

"จริงหรือ?"

ดวงตาของเหมิงหยูเปล่งประกาย แต่ดวงตาของเธอก็หรี่ลงอย่างรวดเร็วและพูดว่า: "แต่ข้าโง่นิดหน่อย ข้าเกรงว่ามันจะยากที่จะเรียนรู้"

“อย่าดูถูกตัวเอง บางทีเจ้าอาจจะได้แนวความคิดจากประสบการณ์ของข้าก็ได้?”

"เอิ่ม!"

เมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินฟานพูด ความมั่นใจของเหมิงหยูก็พองขึ้นอย่างมากทันที

จากนั้นเฉินฟานก็เล่าให้เหมิงหยูฟังเกี่ยวกับขั้นตอนการฝึกฝนของเขา พร้อมบอกให้เธอหาอะไรมาจดไว้

ในระหว่างนั้น เธอก็ถามคำถามสองสามข้อเป็นครั้งคราว และเฉินฟานก็ตอบคำถามเหล่านั้นอย่างอดทน

เพียงแต่จากการแสดงออกของเหมิงหยูก็เห็นได้ว่าเธอไม่เข้าใจความหมายหรือคำอธิบายเลยจริงๆ

เฉินฟานทำได้เพียงแต่อธิบายให้เธอฟังหลายๆครั้ง

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเขาก็ลุกขึ้นและออกไป

“ตอนนี้ก็พอแค่นี้ก่อน หากเจ้าประสบปัญหาใด ๆ ในระหว่างการฝึกฝน เจ้าสามารถมาที่บ้านของข้าหรือมาหาข้าที่โกดังได้ตลอดเวลา” เฉินฟานยิ้มให้เธอแล้วพูดขึ้น

"เอ่อ…ฮะ!"

เหมิงหยูถือปากกาและกระดาษและรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก

“เฉินฟาน ขอบคุณที่สอนข้าอย่างอดทน”

"ไม่เป็นไร มันเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำให้เจ้า"

เฉินฟานโบกมือให้เธอแล้วหันหลังเดินไปที่โกดัง

นอกจากนี้เขายังวางแผนที่จะแบ่งปันเทคนิคการสังเกตดวงจันทร์นี้กับลุงจางและกู่เซ่อ

ส่วนแหล่งที่มาก็แค่บอกว่าเขาซื้อมันมาจากร้านข้างทางของซ่งเจียเป่าเมื่อสองวันก่อนและขอให้พวกเขาเก็บเป็นความลับ

“เฉินฟาน ขอบคุณท่านมาก”

เหมิงหยูจ้องมองตรอกที่เฉินฟานหายตัวไป ดวงตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดง

จากนั้นเธอก็ก้มลงมองดูบันทึกย่อในมือของเธอ

บางทีความหวังในการช่วยพี่สาวของเธออาจจะอยู่ในนี้

“ลุงจาง เป็นยังไงบ้าง?”

ในห้องเมื่อเห็นจางเหรินลืมตาขึ้นมา เฉินฟานก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

จางเหรินส่ายหัวด้วยรอยยิ้มเบี้ยว

ตามสิ่งที่เฉินฟานพูดเมื่อกี้ เขาพยายามนึกภาพพระจันทร์ในจิตใจของเขา แม้ว่าเขาจะทำงานหนักมาเป็นเวลานาน แต่เขาก็ประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย

ในทางกลับกันกู่เซ่อยู่ข้างๆ ตาของเขายังคงปิดอยู่ เหงื่อหยดลงมาจากหน้าผาก และร่างกายของเขาตั้งตรงอย่างมาก

ฉากนี้ตกไปอยู่ในสายตาของทั้งสองคน

จางเหรินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนอารมณ์ “กู่เซ่อดูเหมือนจะมีพรสวรรค์ในการฝึกฝนพลังจิตวิญญาณอย่างมากอยู่”

"ใช่"

เฉินฟานก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน เมื่อพิจารณาจากการแสดงของกู่เซ่อน่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เรียนรู้เทคนิคการสังเกตดวงจันทร์

แต่เขาสามารถเฝึกฝนจนเข้าถึงสภาวะแรกอย่างไม่คาดคิด

อาจเป็นเพราะเป็นคนผู้อเวคแล้วใช่ไหม?

ทันใดนั้นกู่เซ่อก็ลืมตาขึ้นมาและหอบหายใจอย่างหนัก

หลังจากลมหายใจสงบแล้ว เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น "เกือบ..เกือบแล้ว ข้าเกือบนึกภาพออกแล้ว"

“ใกล้จะเห็นภาพชัดเจนแล้วงั้นหรือ?”

"เอิ่ม!"

กู่เซ่อพยักหน้าอย่างหนัก จากนั้นหลับตาแล้วพยายามต่อไป

เฉินฟานตบไหล่เขา “หยุดพักก่อนก็ได้ ใบหน้าของเจ้าซีดเซียวอย่างมาก”

“ถูกต้อง แม้ว่าการฝึกฝันพลังจิตวิญญาณประเภทนี้จะแตกต่างจากการฝึกศิลปะการต่อสู้ แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป และความเร่งรีบทำให้เสียเปล่า” จางเหรินก็ชักชวนเช่นกัน

"ตกลงๆ"

กู่เซ่อพยักหน้าและมองเฉินฟานอีกครั้งด้วยความขอบคุณ

เฉินฟานไม่เพียงแต่สอนวิธีการฝึกฝนจิตวิญญาณนี้เท่านั้น แต่ยังอธิบายอย่างละเอียดด้วย ดังนั้นเขาจึงสามารถเข้าสู่สภาวะแรกได้อย่างรวดเร็ว

“ใจเย็นๆ อย่า รีบกินเต้าหู้ตอนร้อนมากเกินไป” จางเหรินกล่าวด้วยความคาดหวังในใจ

“ใช่แล้ว.. ลุงจาง” เฉินฟานหันกลับมา “หลังจากฝึกฝนเทคนิคการดูดวงจันทร์แบบนี้แล้ว ข้าก็เกิดคำถามในใจ”

"ลองพูดออกมา" จางเหรินยิ้มอย่างแห้งๆเล็กน้อย หากเขาถามศิลปะการต่อสู้เช่นเทคนิคการชกมวยและหอก เขาก็สามารถตอบได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่สามารถตามเฉินฟานทัน ในแง่ของการฝึกฝนพลังจิตวิญญาณนี้ได้

“คือเทคนิคการสังเกตดวงจันทร์นี้ดูเหมือนว่าจะสามารถปรับปรุงพลังจิตวิญญาณของผู้ใช้เท่านั้น แม้แต่กับผู้อเวคด้วยใช่ไหม? แม้ว่าความเร็วในการฝึกฝนพลังจิตวิญญาณของพวกเขาจะเร็วกว่านักรบของเรา แต่มันก็สามารถทำได้เพียงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับจิตใจได้ใช่ไหม?"

“ถูกต้อง ยิ่งความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณสูงขึ้นเท่าไหร่ พลังของความสามารถของผู้อเวคก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าสมรรถภาพทางกายของพวกเขาเอง เช่น ความเร็วหรือปฏิกิริยา ไม่สามารถตามทันสัตว์อสูรเหล่านั้นได้ ไม่ว่าพวกมันจะทรงพลังแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์หากพวกเขาไม่สามารถโจมตีโดนพวกมันได้ ?”

หลังจากที่เฉินฟานพูดจบ เขาก็เหลือบมองกู่เซ่อ

และกู่เซ่อก็ดูสับสนเล็กน้อย

“เจ้าอยากรู้ไหมว่าผู้ที่อเวคแล้วเหล่านั้นพัฒนาความแข็งแกร่งทางกายภาพ ความแข็งแรง และความคลองตัวได้อย่างไร?” จางเหรินเข้าใจว่าเฉินฟานหมายถึงอะไร

"ใช่..พวกเขาพัฒนามันได้"

เฉินฟานอดไม่ได้ที่จะถามว่า "เป็นไปได้ไหมที่พวกเขาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เช่นเดียวกับพวกเรา?"

จางเหรินยิ้มและพูดว่า "เจ้ารู้ไหมว่าทำไมพวกเขาถึงถูกเรียกว่าผู้อเวค แต่ไม่ใช่นักรบ"

"ทำไม?" เฉินฟานถาม

“เพราะว่าพวกเขาจะถือว่าเป็นผู้อเวคหลังจากที่พวกเขาสามารถควบคุมความสามารถของตัวเองได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น และหลังจากการตื่นขึ้น คุณภาพทางกายภาพทั้งหมดของพวกเขาก็จะดีขึ้นอย่างมากเช่นกัน ผู้อเวคที่เพิ่งปลุกความสามารถของตนอาจมีสมรรถภาพทางกายที่ไม่ต่างกับคนทั่วไป

แต่เมื่อพวกเขาพัฒนาความสามารถที่ปลุกขึ้นให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นร่างกายของพวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ยิ่งพวกเขาปลุกความสามารถได้มากเท่าไร ความแข็งแกร่งทางกายภาพโดยรวมของพวกเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น

พูดง่ายๆ เจ้าสามารถเข้าใจได้ว่าผู้อเวคทุกคนนั้นเป็นนักรบที่มีศักยภาพอย่างมาก แต่พวกเขาคุ้นเคยกับการใช้ความสามารถของตนเองมากกว่าใช้ความแข็งแกร่งทางกายภาพต่อสู้"

"อย่างนั้นหรือ?!"

เฉินฟานตระหนักได้ทันที

ด้วยวิธีนี้ พวกเขาเพียงต้องเพิ่มพลังจิตและปลุกความสามารถเหนือธรรมชาติขึ้นหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง และความแข็งแกร่งทางกายภาพของพวกเขาจะเติบโตไปด้วยใช่ไหม?

“แน่นอนว่าตามทฤษฎีแล้ว หากผู้อเวคบางคนที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ไปด้วย ความแข็งแกร่งทางกายภาพของพวกเขาหลังจากการตื่นขึ้นจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเช่นกัน”

จางเหรินเพิ่มประโยคนี้เข้าไป

จริงๆ แล้วเขาไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับข้อมูลเฉพาะเจาะจงมากนัก เพราะอย่างไรก็ตามผู้อเวคในเมืองอันชานไม่มีใครฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ไปด้วย

เพราะยากอย่างมาก ลำพังแค่ฝึกพลังจิตและทำการปลุกความสามารถเหนือธรรมชาติของตัวเองขึ้นเรื่อยๆมันก็ยากมากพออยู่แล้ว ใครมันจะไปฝึกสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ใช้กัน

หัวใจของกู่เซ่อรู้สึกร้อนรุ่มอย่างมาก

ผู้อเวคนั้น ปรากฎว่าไม่เพียงแต่สามารถใช้ความสามารถที่ปลุกขึ้นได้เท่านั้น แต่ยังสามารถปรับปรุงความพลังหรือความสามารถเหนือธรรมชาตินั้นผ่านการปลุกอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

นอกจากนี้ ความสามารถเหนือธรรมชาติของเขายังเข้ากันได้กับการเป็นนักรบอีกด้วย หากเป็นกรณีนี้ดูเหมือนว่าเป็นไปได้มากที่เขาจะตามทันเฉินฟานในอนาคต

“แล้วลุงจาง การจัดระดับคลาสของผู้อเวคนั้นยังแสดงถึงจำนวนครั้งที่พวกเขาสามารถปลุกความสามารถเหนือธรรมชาติได้ด้วยหรือเปล่า?”

เฉินฟานคิดอะไรบางอย่างอีกครั้งและถามขึ้น

"ไม่จำเป็น" จางเหรินส่ายหัว “ตอนนี้ระดับของผู้อเวคมีตั้งแต่ต่ำไปสูง ตามด้วยระดับ F, ระดับ E, ระดับ D, ระดับ C, ระดับ B, ระดับ A ระดับ S และระดับหลังจากนี้จริงๆ แล้วระดับนี้มันขึ้นอยู่กับมาตรฐานพลังทำลายล้าง”

“ผู้อเวคระดับ F มักจะเป็นผู้ที่เพิ่งปลุกความสามารถของตนขึ้นและไม่สามารถควบคุมความสามารถที่ปลุกขึ้นได้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาไม่แตกต่างจากคนทั่วไป หากพวกเขาไปถึงระดับ E หมายความว่าพวกเขาสามารถฝึกฝนทักษะของตนเองและสังหารสัตว์อสูรระดับต่ำได้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่”

“ผู้อเวคระดับ D ได้เข้าถึงระดับสามารถควบคุมความสามารถเหนือธรรมชาติของตนเองได้แล้ว พวกเขาสามารถใช้ท่าง่ายๆ เพื่อต่อสู้กับทหารที่มีปืนเป็นอาวุธได้ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้กู่เซ่อ ก็รู้สึกว่าเขาควรจะอยู่ระหว่างระดับ F และ D?

“ระดับ C เรียกได้ว่าผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ผู้อเวคในระดับนี้โดยทั่วไปแล้วสามารถใช้ความสามารถของตัวเองได้อย่างเชี่ยวชาญ พวกเขาสามารถฆ่าสัตว์ร้ายระดับสูงได้อย่างง่ายดายและต่อสู้กับสัตว์ร้ายระดับหัวหน้าได้อย่างสูสีและล่าถอยได้”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉินฟานก็มีแรงบันดาลใจขึ้นมาทันที "ดังนั้น พวกผู้อเวคที่ปกครองเมืองอันชานคือระดับ C ใช่ไหม?"

"อืม"

จางเหรินพยักหน้า "แต่นั่นก็หลายปีผ่านมาแล้ว ตอนนี้ความแข็งแกร่งของพวกเขาน่าจะเพิ่มขึ้นแล้ว ข้าไม่ค่อยสันทัดรเกี่ยวกับระดับที่สูงกว่าระดับ C พวกระดับสูงคือระดับ B, ระดับ A  และระดับ S นั้นโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาสามารถแข่งขันกับสัตว์อสูรระดับผู้บังคับบัญชา ระดับราชาสัตว์อสูร และระดับจักรพรรดิ์อสูรตามลำดับ

นี่เป็นเพียงการแบ่งระดับตามความสามารถทำลายล้างเท่านั้น ความสามารถที่ปลุกขึ้นของผู้อเวคบางคนอาจไม่เหมือนที่จะใช้สำหรับการต่อสู้ และผู้อเวคบางคนสามารถเข้าถึงพลังทำลายล้างระดับ B หรือระดับ A ได้หลังจากตื่นขึ้นมาหลายครั้ง ดังนั้นระดับและความสามารถของพวกเขาไม่อาจสรุปได้อย่างแน่ชัดได้

แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ ยิ่งผู้อเวคตื่นมากขึ้นเท่าใด สมรรถภาพทางกายของเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น สำหรับความแข็งแกร่งที่เขาสามารถแสดงออกมาในการต่อสู้ได้นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล "

เฉินฟานพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ