ตอนที่ 412

บทที่ 412 : ระมัดระวังในทุกสิ่ง

สำหรับซุยเฮ็งแล้ว ทุกอย่างในดาวไท่หงก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตำหนักเทวะนภาหลวงไม่สามารถหลบเลี่ยงการรับรู้ของเขาไปได้ ทุกอย่างปรากฏขึ้นอย่างชัดแจ้งต่อหน้าเขา

ด้วยวิธีนี้ ซุยเฮ็งจึงสามารถตรวจสอบผู้คนที่เข้าข้างโลกภายนอกได้อย่างง่ายดาย

และตามทฤษฎีแล้ว เขาก็สามารถจับคนเหล่านี้และทำลายล้างพวกเขาทั้งหมดได้ในคราวเดียว แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนั้น

การจับกุ้งตัวเล็กเหล่านี้ไม่ได้เป็นประโยชน์กับเขามากนัก

แม้ว่าเขาจะสามารถสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์กับอาณาจักรสวรรค์ได้ แต่มันก็แค่นั้น เขายังไม่สามารถรับข้อมูลเกี่ยวกับโลกภายนอกได้มากนัก

ในความเห็นของซุยเฮ็ง เทพศักดิ์สิทธิ์หยูเทียนที่แอบสนับสนุนคนเหล่านี้ก็คือปลาตัวใหญ่ของจริง

ซุยเฮ็งมีความเข้าใจเล็กน้อยเกี่ยวกับเทพศักดิ์สิทธิ์หยูเทียน

ร่างอวตารของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้ติดตามซื่อฉิงหยูและหยูเล่ยไป และเขาก็เห็นประมุขเซียนขอบเขตประตูสวรรค์ที่ช่วยทั้งสองคนในการระงับระดับการฝึกตนของพวกเขา เขาอยู่ในขอบเขตประตูสวรรค์ขั้นหนึ่งเท่านั้น

ประมุขเซียนขอบเขตประตูสวรรค์ผู้นี้เป็นลูกน้องของเทพศักดิ์สิทธิ์หยูเทียน มันมีข่าวลือว่าเขาได้ก้าวข้ามขอบเขตบันไดสวรรค์ที่หนึ่งไปแล้วและเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูสวรรค์ขั้นสี่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาถูกเรียกว่าเทพศักดิ์สิทธิ์

ตำหนักเทวะนภาหลวงอาจได้รับการมอบมาโดยเทพศักดิ์สิทธิ์หยูเทียน

หากพวกเขาเปิดใช้งานพลังของตำหนักเทวะนภาหลวงที่นี่ มันก็อาจจะดึงดูดความสนใจของเทพศักดิ์สิทธิ์หยูเทียนได้ และมันก็จะทำให้เขาลงมาเป็นการส่วนตัว และแม้ว่าเทพศักดิ์สิทธิ์หยูเทียนจะไม่ได้มา แต่ตราบใดที่เขาสามารถจับผู้ฝึกตนจากนอกโลกสักคนได้ มันก็สามารถกล่าวได้ว่ามันเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่สำหรับเขาแล้ว

“ สำหรับการบูชายัญ ข้าจะช่วยพวกเจ้าเอง” ซุยเฮ็งคิดกับตัวเอง ในเวลาเดียวกัน เขาก็เขย่าเก้าอี้โยกและยกมือขวาขึ้นดีดนิ้วเบาๆ ในชั่วพริบตา ร่องรอยของพลังธรรมอันน้อยนิดของเขาก็ได้กระจายออกเป็นหลายพันล้านส่วนและลอยเข้าสู่ร่างกายของทุกชีวิตบนดาวไท่หงอย่างแม่นยำ

เมื่อพระซานตงและคนอื่นๆ ทำพิธีบูชายัญ พลังธรรมที่เขาฉีดเข้าไปในสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็จะรักษาพวกเขาเอาไว้และจะไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อชีวิตของพวกเขา

“ ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็จะไม่สามารถทำร้ายสิ่งมีชีวิตใดๆ บนดาวไท่หงได้” ซุยเฮ็งพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นเขาก็คำนวณในใจของเขา “ ฉันต้องเริ่มเตรียมการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนจากโลกภายนอกที่ฉันล่อเข้ามาทำอะไรแผลงๆ แล้ว”

ขอบเขตประตูสวรรค์ขั้นสองนั้นเทียบเท่ากับขอบเขตรวมวิญญาณขั้นสูง จากสิ่งนี้ มันก็อาจสรุปได้ว่าขอบเขตประตูสวรรค์ขั้นสามนั้นอาจจะเทียบเท่ากับขอบเขตรวมวิญญาณขั้นสูงสุด

อย่างไรก็ตาม ซุยเฮ็งก็ไม่สามารถอนุมานได้ว่าขอบเขตประตูสวรรค์ขั้นสี่นั้นจะเทียบเท่ากับขอบเขตก่อเกิดวิญญาณหรือไม่

ท้ายที่สุดแล้ว ความแตกต่างระหว่างขอบเขตรวมวิญญาณและขอบเขตก่อเกิดวิญญาณนั้นก็ยิ่งใหญ่เกินไป

แม้แต่ระหว่างขอบเขตแก่นแท้ทองคำและขอบเขตรวมวิญญาณก็ยังมีขอบเขตใหญ่สองขอบเขตกั้นอยู่ ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงใม่น่าจะเป็นไปได้ที่ใครจะไปถึงขอบเขตก่อเกิดวิญญาณขั้นต้นได้จากการข้ามบันไดสวรรค์เพียงขั้นเดียว

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นยังไง ซุยเฮ็งก็ยังสามารถเตรียมการเผื่อเอาไว้ได้

สมมติว่าขอบเขตประตูสวรรค์ขั้นสี่เทียบเท่ากับขอบเขตก่อเกิดวิญญาณและเทพศักดิ์สิทธิ์หยูเทียนจะลงมาเองเป็นการส่วนตัว

เขาก็วางแผนที่จะจัดเตรียมคาถาบางอย่างเอาไว้ล่วงหน้า เช่นกฎและระเบียบ, ธาตุโกลาหลหยินหยางพลิกกลับ, ศาสตร์มหามารสวรรค์เพลิงหยิน, อัสนีสวรรค์ดึงดูดแสงเทวะ, อาณัติเมฆมงคลและอื่นๆ

ตราบใดที่เทพศักดิ์สิทธิ์หยูเทียนมาถึง เขาก็จะเรียกใช้คาถาเหล่านี้ในทันที

หากเทพศักดิ์สิทธิ์หยูเทียนไม่แข็งแกร่งพอและถูกทำร้ายจนตายในจุดนั้น มันก็ยังไม่เป็นไร ซุยเฮ็งจะใช้เคล็ดวิชาฟื้นคืนชีพเพื่อชุบชีวิตเขาขึ้นมาและซักถามเขาเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกภายนอก

แน่นอน ถ้าแม้แต่คาถาของเขาก็ยังไม่สามารถฆ่าเทพศักดิ์สิทธิ์หยูเทียนได้ นั่นก็หมายความว่าขอบเขตประตูสวรรค์ขั้นสี่นั้นเทียบเท่ากับขอบเขตก่อเกิดวิญญาณจริงๆ

ในเวลานั้น ซุยเฮ็งก็จะใช้คาถาเซียนเคลื่อนย้ายหมื่นสวรรค์เพื่อส่งเทพศักดิ์สิทธิ์หยูเทียนกลับไปสู่โลกภายนอกและทำให้เขารู้สึกราวกับว่าเขาไม่เคยอยู่ที่นี่

ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ยังสามารถปิดผนึกสถานที่แห่งนี้เอาไว้ได้ด้วยความแข็งแกร่งของพื้นที่มิติ สิ่งนี้จะช่วยเขาป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนจากโลกภายนอกหลุดเข้ามาได้

มันไม่เคยผิดที่จะระมัดระวังเอาไว้ก่อน

เวลาที่กำหนดไว้ในคำเชิญมาถึงเร็วมาก

สำนักเซียนและตำหนักลึกลับส่วนใหญ่ไม่พอใจเล็กน้อยกับคำเชิญในการประชุมครั้งนี้ ไม่เพียงเพราะกลุ่มเหล่านี้ส่วนใหญ่เข้าข้างโลกภายนอกแล้วเท่านั้น แต่มันยังเป็นเพราะลักษณะการบังคับของคำเชิญนี้ด้วย

แม้แต่กองกำลังบางส่วนที่มักจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตำหนักสวรรค์ลับแลก็ยังรู้สึกไม่พอใจในครั้งนี้

ตัวอย่างเช่นพระซวนเป่ย ผู้สร้างจากดินแดนแสงพุทธบริสุทธิ์

อุดมการณ์ของพระสงฆ์องค์นี้ลึกซึ้งและมีเมตตาอยู่เสมอ เขาเป็นที่นิยมอย่างมากและอาจกล่าวได้ว่ามีมิตรสหายอยู่ทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เป็นคนเดียวที่มีมิตรภาพอันลึกซึ้งกับจ้าวเทียนอี้

มิตรภาพนี้ก่อตัวขึ้นเมื่อพวกเขายังเด็ก

นับเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากที่พระซวนเป่ยมาถึง เขาจึงไม่ได้ยืนทำพิธีและรีบไปที่ห้องโถงที่จ้าวเทียนอี้อยู่ในทันที

แน่นอนว่าเขาเข้าไปตามมารยาทปกติ มันไม่ใช่การบีบบังคับใคร

ศิษย์ส่วนมากรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขา ดังนั้นการเดินทางของเขาจึงราบรื่นโดยธรรมชาติ

“ จ้าวเทียนอี้ บอกข้ามาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” พระซวนเป่ยรีบเค้นเสียงดัง เขาดูแข็งแกร่งและเสียงของเขาก็ดังก้อง

อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังตั้งใจควบคุมเสียงของเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้มันกระจายตัวออกไป

นี่เป็นการป้องกันศักดิ์ศรีของจ้าวเทียนอี้ด้วยในฐานะของเจ้าตำหนัก...