ตอนที่ 268

บทที่ 268 : 21 ปีแห่งความเจริญรุ่งเรือง ความสกปรกภายใต้สันติภาพ

ประเทศเซี่ยเป็นประเทศที่ก่อตั้งขึ้นบนซากปรักหักพังของประเทศฉี

ร้อยปีก่อน ประเทศฉีได้ถูกทำลายลงโดยสำนักเซียน ศิษย์จำนวนมากได้ฉวยโอกาสปล้นสะดมดินแดนและทำให้ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต้องสูญเสียครอบครัวและบ้านเมืองของพวกเขา

ย้อนกลับไปตอนนั้น มันก็มีเพียงคุณปู่และหลานชายของตระกูลหงเท่านั้นที่หลบหนีออกมาได้ พวกเขาถูกตามไล่ล่าโดยศิษย์ของสำนักเซียน และโชคดีที่พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากเซียนซึ่งส่งผลให้เกิดเป็นประเทศเซี่ยในปัจจุบัน

63 ปีแล้วนับตั้งแต่การก่อตั้งราชวงศ์ต้าเซี่ย มันถูกส่งต่อไปยังจักรพรรดิองค์ที่สองซึ่งเป็นหลานชายของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งหงคัง

ชื่อของยุคสมัยนี้คือ “หวานซิง”

นี่เป็นปีที่ 21 ของยุคหวานซิงแล้ว

บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง แผ่นดินสงบ แม่น้ำใส อากาศดี ธัญพืชทั้งห้าอุดมสมบูรณ์ มันเป็นโลกที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรืองมาก

…..

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโลกจะเจริญรุ่งเรืองเพียงใด มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีสถานที่สกปรก

มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เจ้าหน้าที่และเจ้าผู้ครองที่ดินจะฉ้อฉลและรังแกผู้อื่น ราชสำนักไม่ได้มีอำนาจมากพอที่จะจัดการกับพวกเขา และไม่สามารถจัดการกับพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์

คนส่วนหนึ่งสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างขมขื่นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม สามัญชนก็จะไม่ยอมทนทุกข์ที่จะถูกรังแก ดังนั้นผู้คนจำนวนมากจึงมักมาที่เมืองหลวงเพื่อไปร้องเรียน

โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของทุกปี

ผู้คนได้รับอนุญาตให้มาที่เมืองหลวงเพื่อรายงานต่อจักรพรรดิในช่วงเวลานี้ นี่เป็นกฎเหล็กที่ตั้งขึ้นตั้งแต่การก่อตั้งต้าเซี่ย

ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืน

แม้แต่จักรพรรดิเองก็ยังต้องยอมทำตาม

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเร็วๆ นี้ จักรพรรดิหวานซิงหงเสิ่นจึงทำงานยุ่งมาก เขายุ่งมากทุกวันจนไม่มีเวลานอน

หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาได้ฝึกตนจนมาถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว เขาก็คงจะตายไปนานแล้วเพราะความเหนื่อยล้า

เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว แต่หงเสิ่นก็ยังคงอ่านรายงานเกี่ยวกับการร้องเรียนของผู้คน

ไม่เพียงแต่จะมีสำเนาของข้อความต้นฉบับเท่านั้น แต่มันยังมีบันทึกย่อที่รัฐมนตรีได้แปะเอาไว้ รวมทั้งคำแนะนำในการจัดการกับมันด้วย อีกทั้งยังมีรายงานการร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่อีกนับไม่ถ้วน

ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเซียนมนุษยขึ้นไปเท่านั้นที่จะยังคงสามารถต้านทานต่อความเหนื่อยล้านี้ได้

“ เห้ออ!”

หงเสิ่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเพิ่งเสร็จสิ้นการตรวจสอบรายงานล่าสุดจากเมื่อวานนี้

แม้ว่ารายงานของวันนี้จะกองพะเนินราวกับภูเขาและเขาจะไม่มีเวลาพอตรวจสอบรายงานเหล่านั้น แต่รายงานบางส่วนก็ยังเสร็จสมบูรณ์แล้วตามขั้นตอน

เขาสามารถหยุดพักได้แล้ว

“ เจ้าหน้าที่ทุจริตพวกนี้สร้างปัญหาให้ข้าได้มากจริงๆ!”

หงเสิ่นกุมขมับของเขาและคิดถึงมาตรการตอบโต้ของเขา “ เมื่อโลกสงบสุข การปรับโครงสร้างรัฐบาลก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าข้าฆ่าเจ้าหน้าที่ไประลอกหนึ่ง ระลอกต่อไปก็จะยังตามมาอยู่ดี”

ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ยังคงเป็นเพราะความสามารถของราชสำนักในการควบคุมดูแลเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นนั้นยังด้อยเกินไป หากไม่มีวิธีการควบคุมที่เหมาะสม พวกเขาก็จะไม่สามารถปกครองได้อย่างสงบ

“ ถ้ามีกองกำลังคอยสอดส่องการปกครองท้องถิ่นได้ตลอดเวลา...” หงเสิ่นคิดถึงแผนการที่น่าจะเป็นไปได้ แต่เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้

ท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็คือโลกที่มีผู้ฝึกตนและแม้กระทั่งเซียน เว้นซะแต่ว่าพวกเขาจะคัดเลือกยอดฝีมือระดับสูงมาเป็นหัวหน้างาน มันจึงจะเป็นเรื่องยากมากที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งพอนั้นก็มีค่าจ้างแพงเกินไป และแรงกดดันต่อราชสำนักก็จะทวีคูณขึ้นเช่นกัน

นี่เป็นปัญหาที่ยุ่งยาก

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หงเสิ่นก็ยิ่งเหนื่อยล้ามากขึ้น

เขาหลับตาหมายตั้งใจที่จะพักฟื้น

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาหลับตา เขาก็รู้สึกเหมือนกับเห็นแสงสีทอง

ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ และน่าเลื่อมใส

จากนั้นร่างกำยำก็เดินออกมาจากแสงสีทอง และรูปร่างหน้าตาของเขาก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น

นี่คือคนที่หงเสิ่นคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้คุ้นเคยเช่นกัน

“ ลูกเอ๋ย จงมาที่วิหารบรรพชนของจักรพรรดิเพื่อพบข้า”

จู่ๆ ชายคนนี้ก็พูดขึ้น เสียงของเขาสะท้อนอยู่ในใจของหงเสิ่น

“ ท่านพ่อ?!”

หงเสิ่นตื่นขึ้นทันทีด้วยท่าทางตกใจ เซียนมนุษย์ผู้สง่างามเหงื่อแตกและพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ ความฝันหรอ?! ข้าจะฝันได้อย่างไร แถมมันยังเป็นความฝันเกี่ยวกับพ่ออีก”

เซียนมนุษย์ได้เกิดใหม่แล้ว และภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกเขาก็จะไม่ฝัน พวกเขาจะฝันก็ต่อเมื่อไม่สบายใจหรือมีลางสังหรณ์พิเศษบางอย่างเท่านั้น

ความฝันนี้เป็นเรื่องผิดปกติ

“ วิหารบรรพชนของจักรพรรดิ ท่านปู่ก็อยู่ที่นั่นนี่ มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หงเสิ่นก็คว้ากระบี่ที่แขวนอยู่บนผนังและเดินออกจากห้องนอนไป

….

วิหารบรรพชนของจักรพรรดิไม่ใช่วัด แต่เป็นพระราชวัง

ห้องโถงด้านหน้าตรงกลางนั้นงดงามเป็นที่สุด ภายในมีแผ่นจารึกอนุสรณ์ของบรรพบุรุษตระกูลหง เจ้าหน้าที่พลเรือนและแม่ทัพผู้ล่วงลับที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในการก่อตั้งประเทศ

หลังจากที่จักรพรรดิผู้ก่อตั้งหงคังสละราชสมบัติ เขาก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสันโดษอยู่ในวิหารบรรพชนของจักรพรรดิ เขาปัดฝุ่น เผาเครื่องหอมและจุดเทียนเพื่อพักฟื้นจิตใจ

โดยปกติแล้ว มันก็จะไม่มีเสียงใดดังออกมาจากที่นี่ตลอดทั้งปี

อย่างไรก็ตาม ในคืนนี้ ห้องโถงด้านหน้าก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที จริงๆ แล้วมันมีร่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่หลายร่าง และบางครั้งก็ได้ยินเสียงต่างๆ

หากไม่ใช่เพราะมันไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่รอบๆ คนทั้งวังก็คงจะหวาดกลัวจนหัวหดกันหมดแล้ว

“ ท่านประมุขเซียน ข้าได้ส่งความฝันให้เสิ่นเอ๋อแล้ว เขาน่าจะมาที่นี่ในเร็วๆ นี้” ชายร่างกำยำในชุดแสงสีทองคำนับชายหนุ่มด้วยความเคารพ

นี่คือซุยเฮ็งและหงเต๋าซึ่งเพิ่งจะได้กลายเป็นเทพ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาก็คือพ่อของหงเสิ่น “ พลังศักดิ์สิทธิ์ของท่านประมุขเซียนนั้นไร้ขอบเขต” หงคังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าคนทั้งสามชั่วอายุคนของเราจะสามารถมารวมตัวกันได้อีกครั้ง”

ในขณะนี้ เขาก็ยืนอยู่ด้านข้างและจ้องมองไปที่ลูกชายของเขาที่กลับมาจากความตายอย่างแน่วแน่ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสุข

ลูกชายของเขาซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อร้อยปีที่แล้วได้กลับมาอยู่ร่วมกันกับเขาอีกครั้งแล้วในวันนี้

นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝันถึง

“ ไม่ใช่แค่สามชั่วอายุเท่านั้นนะ” ซุยเฮ็งส่ายหัวเบาๆ และยิ้ม “ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น. มาพูดคุยกันจริงๆ เมื่อหงเสิ่นมาถึงเถอะ”

ไม่ใช่แค่สามชั่วอายุคน?

หงคังและหงเต๋าตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นการคาดเดาก็ปรากฏขึ้นในใจของพวกเขา พวกเขามองไปที่แผ่นจารึกบนแท่นบูชาโดยไม่รู้ตัว

บ้าน่า! มันไม่น่าจะเป็นไปได้!

ขณะที่พวกเขาทั้งสองกำลังรู้สึกประหลาดใจ พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมาจากข้างนอก

หงเสิ่นมาถึงที่นี่แล้ว

อย่างไรก็ตาม วิหารบรรพชนของจักรพรรดิก็เป็นสถานที่สำคัญในการแสดงความเคารพบูชาบรรพบุรุษ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเป็นจักรพรรดิ แต่เขาก็ยังไม่สามารถผลักประตูเปิดและเข้าไปได้โดยตรง

หงเสิ่นหยุดอยู่หน้าประตูและคำนับด้วยความเคารพ “ ท่านปู่ ข้ามีเรื่องจะถามท่าน”

“ เข้ามา” เสียงของหงคังดังมาจากด้านใน

“ ขอบคุณท่านปู่ ขอบคุณบรรพบุรุษ” หงเสิ่นผลักประตูเปิดและเดินเข้าไป จากนั้นเขาก็กราบไหว้แผ่นจารึกบรรพบุรุษบนศาลเจ้าตามมารยาทปกติ

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะทันได้คุกเข่าลง เขาก็ต้องตกตะลึง เขายืนแข็งอยู่ตรงนั้นและมองดูชายร่างกำยำที่ปกคลุมด้วยแสงสีทองด้วยความเหลือเชื่อ

“ ท่านพ่อ?!”

ในเวลาเดียวกัน เขาก็เห็นซุยเฮ็งและอุทานออกมาในทันที

“ ท่านประมุขเซียน?!”

อะไรกัน? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!