ตอนที่ 95

บทที่ 95 กองทัพกำลังมา สุขจนสั่นสะท้าน

หลิวจื่อเจินติดตามโจวหงอี้ไปที่มณฑลลู่

เขาต้องการจะเห็นว่าผู้ว่าการมณฑลลู่นั้นจะเป็นคนแบบไหน เขาถึงได้รับความเคารพอย่างสูงจากอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างโจวหงอี้

เขายังคิดว่าสิ่งนี้จะช่วยให้เจ้าสำนักทำบรรลุเต๋าได้

บุคคลเช่นนี้มีอยู่จริงบนโลกด้วยหรอ?

ในหัวใจของศิษย์ของตำหนักเต๋าอี้ เจ้าสำนักจางซูหมิงก็คือการดำรงอยู่ที่เป็นดั่งเซียน เขาปลีกตัวจากโลกและปราศจากมลทินจากเรื่องทางโลก เขายืนอยู่หน้าประตูสวรรค์แล้ว และก็อยู่ห่างจากการเป็นเซียนเพียงไม่กี่ก้าว

เป็นไปได้ไหมว่าผู้ว่าการมณฑลลู่จะเป็นเซียนด้วย?

“ ท่านอาจารย์ลุงโจว เราจะไม่ไปเยี่ยมผู้ว่าการมณฑลกันก่อนหรอ?” หลิวจื่อเจินมองไปที่โจวหงอี้ด้วยความสับสน ทำไมอีกฝ่ายถึงพาเขามาที่โรงเตี๊ยมแทน?

“ เจ้าและข้าเดินทางไกล เราจะไปเข้าเยี่ยมเลยได้อย่างไร” โจวหงอี้ส่ายหัวเล็กน้อยและยิ้ม “ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเจ้ากับข้าจะพร้อมแล้ว แต่เราก็ยังไม่สามารถเข้าไปได้ในทันที”

“ มันเป็นไปได้มากว่าผู้ว่าการซุยคนนี้จะเป็นยอดฝีมือที่เข้าใจหลักการของเต๋าอันยิ่งใหญ่อย่างลึกซึ้งแล้ว ดังนั้นถ้าเราต้องการจะเข้าพบเขา เราก็จะต้องให้เกียรติเขาพอสมควร เพราะฉะนั้นแล้วเราก็จะต้องอยู่ในโรงเตี๊ยมนี้ไปก่อน เราจะต้องเผาเครื่องหอม อาบน้ำ และอดอาหารสามวันก่อนเพื่อเป็นการทำความเคารพ”

“ ห้ะ?” หลิวจื่อเจินตกตะลึง

มารยาทดังกล่าวเป็นเหมือนกับการเตรียมต้อนรับเทพเซียน ผู้ว่าการมณฑลลู่มีอำนาจมากขนาดนั้นจริงๆ หรอ?

….

เช้าวันรุ่งขึ้น

ในห้องโถงด้านในของสำนักงานเทศมณฑล

ซุยเฮ็งกำลังดูแผนที่ของเฟิงโจว

เขากำลังคิดอยู่ว่าคำสั่งใดที่เขาควรใช้เพื่อเพิ่มผลกระทบของการรวบรวมอารมณ์หลังจากเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการรัฐ

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยังสังเกตเห็นว่ามณฑลหยุนชูซึ่งอยู่ทางเหนือของเฟิงโจวนั้นเป็นพรมแดนของต้าจิน

นี่อาจกล่าวได้ว่าเป็นด่านแรกของเฟิงโจวจากการรุกรานของอนารยชน

หากเขาเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการรัฐเฟิงโจว เขาก็จะต้องพิจารณาวิธีจัดการกับเหล่าอนารยชนเหล่านี้อย่างแน่นอน

แน่นอนว่ามันขึ้นอยู่กับการรวบรวมอารมณ์ทั้งเจ็ดด้วย

“ นายท่าน!” ในขณะนี้ เสียงของซูเฟิงอันก็ดังมาจากข้างนอก

หลายวันที่ผ่านมา เขากลับไปที่ศาลากระบี่ยู่หัวเพื่อช่วยฮุ่ยฉีดำเนินการตามคำสั่งของทางการ และเขาก็เพิ่งจะกลับมาเมื่อวานนี้

“ เข้ามา” ซุยเฮ็งเก็บแผนที่และยิ้ม “ รัฐมนตรีซู ทำไมเจ้าถึงกลับมาเร็วจัง?”

“ นายท่าน ข้าเห็นโจวหงอี้เมื่อกี้” ซูเฟิงอันกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ ข้าได้ยินมาจากฮุ่ยฉีว่าเขาส่งจดหมายมาบอกว่าเขาต้องการจะมาเยี่ยมท่านใช่ไหม?”

“ งั้นเขาก็มาถึงแล้วสินะ” ซุยเฮ็งพยักหน้าเบาๆ “ แต่ทำไมข้าถึงยังไม่พบเขาอีกล่ะ?”

“ ข้าถามคนทั่วไปและพบว่าเขาซื้อเครื่องหอมและแม้แต่ซื้อเครื่องครัวเพื่อทำอาหารมังสวิรัติกิน” ซูเฟิงอันถอนหายใจและพูดว่า “ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องการเผาเครื่องหอมและงดการรับประทานอาหารก่อนที่จะมาพบท่าน”

“ โอ้? นั่นฟังดูน่าสนใจไม่เบา” ซุยเฮ็งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ไม่ว่าโจวหงอี้จะคิดอย่างไร แต่สิ่งนี้ก็แสดงออกถึงมารยาทที่น่าเคารพ เขาหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ เขาดูไม่เหมือนกับผู้ฝึกเต๋าเลย เขาดูเหมือนพวกบัณฑิตมากกว่า”

“ นายท่าน ท่านมีสายตาที่เฉียบแหลมจริงๆ พูดตามความจริงแล้ว โจวหงอี้คนนี้ก็เป็นบัณฑิตจริงๆ” ซูเฟิงอันอธิบายว่า “ เขามาจากตระกูลโจวแห่งมณฑลหยูปิงในหยงโจว และแม้ว่าเขาจะไม่ได้มาจาก 16 ตระกูลใหญ่ของโลก แต่เขาก็ยังมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงในท้องถิ่น

“ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพ่อของโจวหงอี้จะเป็นผู้นำตระกูลโจว แต่มารดาผู้ให้กำเนิดเขาก็เป็นเพียงนางบำเรอเท่านั้น ว่ากันว่านางเป็นโสเภณีจากซ่องนางโลม และหลังจากที่นางแต่งงานเข้าตระกูลโจว นางก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีมากนัก และไม่นานหลังจากที่นางได้ให้กำเนิดเขา นางก็ได้เสียชีวิตลงเนื่องด้วยอาการซึมเศร้า แต่กระนั้นนางก็ไม่สามารถถูกฝังในหลุมฝังศพของบรรพบุรุษของนางได้”

“ ด้วยเหตุนี้เอง โจวหงอี้จึงเรียนหนักตั้งแต่ยังเด็กและต้องการจะใช้โอกาสนี้เพื่อล้างชื่อให้แม่ของเขา ต่อมาเขาได้สัมผัสกับวรยุทธ์เข้าโดยบังเอิญและได้ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด จากนั้นเขาก็มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับพ่อของเขาและเกือบจะต่อสู้กับอีกฝ่าย”

“ โชคดีที่เจ้าสำนักตำหนักเต๋าอี้ผ่านมาและรับเขาเป็นศิษย์ ดังนั้นสิ่งนี้จึงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมของพ่อลูกที่ฆ่ากันเอง”

“ นี่เป็นประวัติของบุคคลระดับตำนานเลยนี่” ซุยเฮ็งถอนหายใจและพยักหน้า “ ในเมื่อเขาทำหน้าที่ของเขาแล้ว งั้นเราก็อย่าละเลยเขาจะดีกว่า”

ขณะที่เขาพูด เขาก็หยิบกระดาษที่มีชื่อของโจวหงอี้ออกมา

จากนั้นด้วยการเขย่าเบาๆ กระดาษก็เผาไหม้ในทันที มันกลายเป็นยันต์เครื่องรางที่มีอักษรรูนซับซ้อนเขียนอยู่

“ เมื่อเขามาเยี่ยม เจ้าก็จงมอบยันต์นี้ให้เขาด้วย”

ซุยเฮ็งมอบยันต์ให้ซูเฟิงอัน “ ยันต์นี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรับรู้ของเขาได้ มันสามารถช่วยให้เขาเข้าใจพลังปราณและพลังแห่งสวรรค์และปฐพีได้เร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ มันก็ยังเพิ่มความเร็วในการเข้าสู่ขอบเขตเทพด้วย”

“ ตามท่านบัญชา!” ซูเฟิงอันรับยันต์มาและรู้สึกได้ทันทีว่าการรับรู้ของเขาแข็งแกร่งขึ้น พลังแห่งสวรรค์และปฐพีที่เขาสามารถสัมผัสได้เองก็ชัดเจนขึ้นเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังเริ่มแตะขอบเขตเทพ

แน่นอน เขารู้ว่านี่เป็นเพียงภาพลวงตา เขาไม่ได้มีวิชาที่สามารถทำให้เขาไปถึงขอบเขตเทพได้ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะมียันต์นี้อยู่ในมือ แต่มันก็ไม่มีประโยชน์

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่เข้าใจวิธีการที่จะทะลวงผ่านไปยังขอบเขตเทพ ยันต์นี้ก็นับเป็นสมบัติล้ำค่า อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นการเดินทางตรงไปยังขอบเขตเทพ!

“ นายท่านเป็นเพียงเซียนมนุษย์จากโลกเบื้องบนจริงๆ หรอ?”

หัวใจของซูเฟิงอันตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย วิธีการต่างๆ ที่ซุยเฮ็งแสดงออกมานั้นทรงพลังมากกว่าที่เขาเคยจินตนาการเอาไว้มาก

“ แล้วนี่ก็สำหรับเจ้า” ซุยเฮ็งหยิบหนังสืออีกเล่มออกมา

“ นี่คือ?” ซูเฟิงอันรับหนังสือเล่มเล็กมาด้วยความสับสน เขาพลิกมันเพียงสองครั้งก่อนที่ร่างกายของเขาจะสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขาคุกเข่าลงกับพื้นและกล่าวอย่างเคารพและขอบคุณ “ ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่าน!”

หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่อื่นใดนอกจากเคล็ดวิชาการฝึกตนขอบเขตเทพที่ซุยเฮ็งได้รวบรวมมาจากศาลากระบี่ยู่หัว หลังจากเรียนรู้มันเสร็จ เขาก็ได้วิชาขอบเขตเทพที่เชื่อมโยงกับวิชาของศาลากระบี่ยู่หัวขึ้นมา

เมื่อโจวหงอี้ได้รับยันต์ที่สามารถช่วยในการฝึกตนของเขาได้ เขาก็จะไม่ปฏิบัติต่อซูเฟิงอันอย่างเลวร้ายแน่นอน

นอกจากนี้ ซูเฟิงอันก็ยังได้รับเคล็ดวิชาเพื่อช่วนเขาในการไปให้ถึงขอบเขตเทพ

ซุยเฮ็งจะไม่ทำร้ายใครก็ตามที่ทำงานหนักเคียงข้างเขา

“ ต่อไปก็ตั้งใจทำงานต่อไปล่ะ” ซุยเฮ็งยิ้ม

“ ขอบคุณท่านเซียน!” ซูเฟิงอันขอบคุณเขาอีกครั้งและจากไปอย่างมีความสุข หลังจากนั้นไม่นาน ผู้บัญชาการเฉินตงก็มาอีกครั้ง

“ นายท่าน มีข่าวจากหลายมณฑลว่ากองทหารราบที่สงสัยว่ามาจากตระกูลหวังแห่งหลางหยานั้นกำลังเดินทัพมาที่นี่ และพวกเขาก็น่าจะมุ่งตรงมาหาเรา” เฉินตงอธิบายสถานการณ์สั้นๆ

“ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่นี่สักที” ซุยเฮ็งปรบมือและยิ้ม “ ไม่เสียแรงที่ข้ารอนาน ไปที่คุกใต้ดินและนำหวังจินเซิงกับหวังฉิงฉวนออกมา แขวนประจานพวกเขาไว้ที่เสาธงหน้าประตูเมือง”

“ ขะ.. แขวนประจานไว้ที่เสาธงหน้าประตูเมือง?” ดวงตาของเฉินตงเบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น นี่คือการเอาตีนลูบหน้าดีๆ นี่เอง! เมื่อคนจากตระกูลหวังแห่งหลางหยามาถึง พวกเขาก็จะต้องเป็นลมเนื่องจากความโกรธแน่นอน

อย่างไรก็ตาม การทำสิ่งนี้กับตระกูลชั้นนำของโลกก็ได้ปลุกความตื่นเต้นที่มิอาจพรรณนาได้ให้พลุ่งพล่านขึ้นมาในใจของเขา เขาแทบจะไม่สามารถรอช้าได้

เมื่อก่อนเขาคงจะไม่กล้าคิดเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำ!

….

ในคุกใต้ดินของมณฑลลู่

หวังจินเซิงและหวังฉิงฉวนยังมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขาก็ดูหมดกำลังใจและดูเหมือนกับคนกำลังจะตาย

และจริงๆ แล้วพวกเขาก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

ทั้งสองคนมีการฝึกตนและร่างกายที่แข็งแกร่งมาก และแม้ว่าพวกเขาจะถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินแห่งนี้โดยไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน แต่ร่างกายของพวกเขาก็ยังแข็งแรงดี

แต่เหตุผลหลักนั้นคือความเสียหายทางจิตใจที่เกิดจากการพิจารณาคดีในที่สาธารณะ มันได้ทำลายบุคลิกอันหยิ่งผยองของพวกเขาลง

หากเป็นคนที่ใจเสาะ พวกเขาก็คงจะฆ่าตัวตายไปนานแล้ว

ตัวอย่างเช่นซุนผานซื่อ

หลังจากพบว่าหวังจินเซิงและหวังฉิงฉวนถูกจับ เขาก็เอาหัวศีรษะกระแทกเข้ากับกำแพงจนเสียชีวิตคาที่ในทันที

อย่างไรก็ตาม ทั้งหวังจินเซิงและหวังฉิงฉวนก็ไม่มีความกล้าพอที่จะทำเช่นนั้น

บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขายังคงมีความหวังในใจว่าตระกูลหวังอาจจะมาช่วยพวกเขาในสักวันหนึ่ง

ในมุมของคุกใต้ดินที่หวังจินเซิงอยู่นั้น อากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นฉุน เขามองไปที่หวังฉิงฉวนที่อยู่ข้างๆ เขาและถามว่า “ ท่านลุง ท่านคิดว่าจะมีใครมาช่วยเราไหม?”

“ แน่นอน มันต้องมีแน่นอน!" สภาพจิตใจของหวังฉิงฉวนฟื้นตัวขึ้นมามากแล้ว แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถใช้วรยุทธ์ของเขาได้ แต่เขาก็สามารถสื่อสารได้ตามปกติแล้ว “ เมื่อเจ้าและข้าถูกคุมขังอยู่ที่นี่ มันก็เท่ากับว่าพวกเขาได้ตบหน้าตระกูลหวังแห่งหลางหยา และแม้ว่าจะเป็นเพียงเพื่อเห็นแก่หน้าของตระกูล แต่พวกเขาก็จะต้องมาช่วยเราอย่างแน่นอน”

“ แต่ แต่… มันจะสำเร็จไหม?” หวังจินเซิงถามอย่างลังเลใจ

“ นี่…” หวังฉิงฉวนเงียบลงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาพูดด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “ ก็น่าจะเป็นไปได้ แม้ว่าซุยเฮ็งจะทรงพลังอย่างมากและมีวิธีการที่เหนือจินตนาการ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะต่อกรกับตระกูลหวังของเราโดยซึ่งๆ หน้าหรอก”

“ ถูกต้อง ถูกต้อง ไม่ว่าเขาจะทรงพลังแค่ไหน แต่เขาก็คงจะไม่เลือกที่จะต่อสู้กับตระกูลหวังของเราอย่างแน่นอน!” หวังจินเซิงดูเหมือนจะพบความมั่นใจจากสิ่งนี้และยิ้มขึ้น “ ในเมื่อเขายังไม่ได้ฆ่าเรา ดังนั้นเขาก็คงจะกำลังกลัวตระกูลหวังของเราอยู่แน่ๆ”

แม้ว่าทั้งสองคนจะได้เห็นวิธีการแปลกๆ ของซุยเฮ็งมาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าคนที่ลงมือทำทั้งหมดนั้นเป็นฮุ่ยฉี ไม่ใช่ซุยเฮ็ง

ซุนผานซื่อได้ฆ่าตัวตายไปก่อนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นจริงๆ

เคล้ง!

ทันใดนั้นก็มีเสียงโซ่กระทบกับประตูห้องขังดังขึ้น

หวังจินเซิงตัวสั่นทันทีและนอนขดตัว เขามองออกไปข้างนอกด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัว เขาเห็นผู้คุมสองสามคนกำลังปลดโซ่ตรวน “ พวกเจ้าจะทำอะไรน่ะ เราจะต้องไปทำการพิจารณาคดีต่อหน้าสาธารณะอีกแล้วหรอ?”

ใบหน้าของหวังฉิงฉวนเองก็ซีดลงเล็กน้อยเช่นกัน เขารู้ดีว่ามันรู้สึกอย่างไรที่ต้องถูกประจานความผิดต่อหน้าที่สาธารณะ มันเป็นทั้งการทรมานร่างกายและจิตใจแบบทวีคูณ

มันเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย!

และแม้ว่าหวังฉิงฉวนจะไม่เคยรังแกประชาชนของมณฑลลู่เป็นการส่วนตัว แต่เขาก็ยังเป็นผู้สนับสนุนของหวังจินเซิง ดังนั้นเมื่อหวังจินเซิงถูกสอบสวนในที่สาธารณะ เขาจึงติดร่างแหถูกลากไปรวมด้วย

“ มันไม่ใช่การพิจารณาคดีสาธารณะอีกต่อไปแล้ว” ผู้คุมพาตัวเขาออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก

หลังจากได้ยินเช่นนี้ หวังจินเซิงและหวังฉิงฉวนก็มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาจะรอดแล้ว?!

“ ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ” เฉินตงเดินเข้ามาอย่างช้าๆ และหัวเราะเยาะเบาๆ “ ตามข้ามา เจ้าจะไม่จำเป็นต้องกลับมาที่นี่อีกแล้ว”

สิ่งนี้ทำให้พวกเขาทั้งสองมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาตื่นเต้นจนร่างกายสั่นสะท้าน

ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับอิสระภาพจากสถานที่อันอัปมงคลนี้ได้ในที่สุด!

ในที่สุดพวกเขาก็รอดแล้ว!

อย่างไรก็ตาม เมื่อหวังจินเซิงและหวังฉิงฉวนติดตามเฉินตงไปจนถึงที่ประตูเมืองของมณฑลลู่ พวกเขาก็ต้องตกตะลึง

“ จะ.. เจ้าต้องการจะทำอะไรน่ะ!”

“ ไม่ ไม่นะ เจ้าทำแบบนี้ไม่ได้!”

หวังฉิงฉวนและหวังจินเซิงร้องอุทานออกมา แต่พวกเขาก็ไม่มีแรงพอจะต้านทานในขณะนี้ พวกเขาทำได้เพียงเฝ้าดูอย่างสิ้นหวังในขณะที่ทหารจับพวกเขาประสานมือไว้ด้านหลังและมัดไว้กับเชือกที่ใช้ยกธง

“ อย่างอแงสิ ลุกขึ้นได้แล้วสาวๆ!” เฉินตงหัวเราะเยาะ

พวกทหารหมุนกว้านขึ้นในทันที จากนั้นเชือกที่มัดหวังฉิงฉวนและหวังจินเซิงเอาไว้ก็เริ่มยกสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและแขวนทั้งสองไว้ที่บนยอดเสาธง

ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนกำลังถูกมัดมือห้อยอยู่กลางอากาศ!

มันเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดบนกำแพงเมืองของมณฑลลู่

“ อ้ากกก!” หวังจินเซิงยังคงส่งเสียงคำราม ความอัปยศอดสูเช่นนี้ทำให้เขาแทบบ้า “ รอก่อนเถอะ! เมื่อพ่อข้ามา พวกเจ้าทุกคนก็จะต้องตาย!”