ตอนที่ 141

บทที่ 141 : ได้เวลากินกระดูกไก่แล้ว!

“ ขอบเขตเทพ? ตระกูลหวังแห่งหลางหยา?!” เสิ่นหยูยืนขึ้นในทันทีเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เขามองไปที่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างหน้าเขาและถามด้วยเสียงต่ำ “ รองฟาง คนๆ นั้นพูดอย่างนั้นจริงๆ หรอ?”

ในขณะนี้ เว่ยเซียงก็ได้เสียชีวิตลงไปแล้วในหยูโจว และมันก็ยังไม่มีรองคนใหม่ ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่สำคัญที่สุดของเสิ่นหยูไปโดยปริยาย

“ ท่านผู้ว่าการ นั่นคือสิ่งที่บุคคลผู้นั้นพูดจริงๆ” ฟางเฉิงพยักหน้าและถามว่า “ เราควรจะต้อนรับคนผู้นี้เข้ามาในบ้านดีหรือไม่?”

“ แน่นอน! ต้องถามด้วยหรอ?!” เสิ่นหยูจ้องมองไปที่เขาในทันทีและก้าวไปข้างหน้า “ รีบไปต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติเข้ามาเร็ว ไม่สิ ข้าจะไปต้อนรับเขาเอง!”

ตอนนี้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

นั่นคือผู้ฝึกตนขอบเขตเทพจากตระกูลหวังแห่งหลางหยา เขาจะไม่ต้อนรับอีกฝ่ายได้อย่างไร!

ในฐานะผู้ว่าการรัฐ เขาก็รู้ดีว่าตัวตนทั้งสองนี้หมายถึงอะไร

หนึ่งในนั้นสามารถทำให้โลกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้

และไม่ต้องพูดถึงตระกูลหวังแห่งหลางหยาเลย

ตระกูลหวังแห่งหลางหยาเป็นยักษ์ใหญ่ที่คงอยู่มาเป็นเวลา 3,000 ปีแล้ว

ในช่วงต้นของราชวงศ์ต้าหยาน พวกเขาก็เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโ,ก และพวกเขาก็ยังได้ผลิตผู้ฝึกตนชั้นยอดออกมาอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน

นอกเหนือจากตอนที่ราชาสวรรค์หงหวู่ได้ปรากฏตัวขึ้นเมื่อ 300 ปีก่อนแล้ว ตระกูลหวังแห่งหลางหยาก็มีบทบาทในโลกนี้อย่างมาก

แม้ว่ามันจะไม่มีใครในตระกูลของพวกเขาที่เคยได้เป็นจักรพรรดิ แต่ขุนนางและแม่ทัพหลายคนก็มาจากตระกูลของพวกเขา

แม้ว่าเสิ่นหยูจะมาจากตระกูลใหญ่และเป็นหนึ่งใน 13 ตระกูลขุนนางของโลก และเขาก็ยังเป็นผู้ว่าการรัฐที่มีสถานะสูงส่ง แต่เขาก็รู้สถานะของเขาเป็นอย่างดี

เมื่อเทียบกับตระกูลชั้นนำอย่างตระกูลที่โด่งดังทั้งเจ็ดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาเองหรือตระกูลเสิ่นที่อยู่ข้างหลังเขา พวกเขาก็ล้วนไม่มีค่าอะไรเลย

ความแตกต่างนั้นมากเกินไป

ในขณะนี้ เขาก็เห็นชายวัยกลางคนซึ่งดูเหมือนจะอยู่ในวัยสามสิบ เขามีออร่าที่ดูสูงส่งและมั่นคง และใครๆ ก็สามารถบอกได้ทันทีว่าตัวตนของเขานั้นไม่ธรรมดา

“ ผู้ว่าการเสิ่นหยูแห่งโหยวโจวคารวะผู้สมบูรณ์แบบหวัง” เสิ่นหยูโค้งคำนับด้วยความเคารพและพูดด้วยท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน “ ก่อนหน้านี้ข้ายุ่งอยู่กับเรื่องทางการและไม่ได้คาดคิดว่าท่านจะมาที่นี่ โปรดยกโทษให้ข้าที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับท่านด้วย”

ผู้ฝึกตนขอบเขตเทพนั้นสามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้สมบูรณ์แบบ

“ ไม่เป็นไร” หวังตงหลินยิ้มและโบกมือ “ ข้ามาหาเจ้าเพื่อขอความร่วมมือ ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทขนาดนั้นก็ได้”

“ ขอบคุณท่านผู้สมบูรณ์แบบหวัง กรุณาเข้ามาก่อนเถอะ” เสิ่นหยูรีบเชิญเขาเข้ามา

ในขณะนี้ เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

หลังจากมาถึงโถงต้อนรับแล้ว เสิ่นหยูก็ถามอย่างระมัดระวัง “ ข้าขอทราบได้ไหมว่าทำไมท่านถึงมาที่นี่?”

หวังตงหลินจิบชาอย่างใจเย็นและถามอย่างช้าๆ “ เจ้ารู้เกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกาของจักรพรรดิที่ประกาศออกมาเมื่อสองสามวันก่อนหรือไม่”

เสิ่นหยูตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาพยักหน้าและพูดว่า “ แน่นอนข้ารู้ องค์จักรพรรดิกล่าวว่าซุยเฮ็งผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวได้สังหารหมู่ผู้คนในทุ่งหญ้า เขากำลังบ้าอำนาจและได้สั่งให้ผู้ว่าการทั้งหมดบนโลกไปฆ่าเขา”

“ ถูกต้อง” หวังตงหลินพยักหน้าและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ ข้ามาที่นี่ก็เพราะเหตุนี้ เจ้ายินดีที่จะส่งกองกำลังไปที่เฟิงโจวหรือไม่?”

“ เอ่อ? นี่…” เสิ่นหยูขมวดคิ้ว

เขามีความคิดนี้อยู่แล้ว แต่เขาก็หวาดกลัวผลงานอันแปลกประหลาดของซุยเฮ็งและยังไม่สามารถตัดสินใจได้

แต่ตอนนี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตเทพก็ได้เข้ามาเกลี้ยกล่อมเขาอย่างกะทันหัน ดังนั้นปฏิกิริยาแรกของเขาคือการเห็นด้วยโดยธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่านี่เป็นเรื่องแปลกเล็กน้อย

เขาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับตระกูลหวังแห่งหลางหยา แบบนั้นแล้วทำไมพวกเขาถึงมาชักชวนเขากัน?

นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ

“ ผู้ว่าการเสิ่น เจ้ากำลังสงสัยใช่ไหมว่าทำไมข้าถึงมาชักชวนท่านเป็นพิเศษ” หวังตงหลินมองความคิดของเสิ่นหยูออก

เขามีความสามารถในการรับรู้ความผันผวนของอารมณ์ มันสะดวกมากที่จะใช้สิ่งนี้เป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่ออนุมานความคิดของอีกฝ่าย

“ ท่านผู้สมบูรณ์แบบ โปรดให้ความกระจ่างแก่ข้าด้วย” เสิ่นหยูพูดเข้าประเด็นในทันที

เนื่องจากหวังตงหลินได้เปิดเผยความคิดของเขาออกมาแล้ว ดังนั้นมันจึงจะดีกว่าถ้าเขาจะพูดมันออกมาตรงๆ

“ มันเป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะสงสัยเช่นนี้” หวังตงหลินไม่ได้โกรธ เขายังคงมีท่าทางใจดีและยิ้ม “ เจ้าน่าจะรู้เกี่ยวกับความเกลียดชังระหว่างตระกูลหวังและซุยเฮ็งแล้ว

“ หวังฉิงเหอ, หวังฉิงฉวน, หวังจินเซิงและผู้นำตระกูลเราหวังฮัวอี้ล้วนเสียชีวิตลงด้วยน้ำมือของซุยเฮ็ง”

“ อย่างไรก็ตาม ซุยเฮ็งนั้นก็ทรงพลังอย่างแท้จริง เขามีความลับที่น่าตกใจอยู่ในมือ และลำพังเพียงตระกูลหวังก็เทียบกับเขาไม่ติดเลย เราต้องรวมพลังกับกองกำลังอื่นๆ เพื่อหาโอกาสเอาชนะเขา”

“ ตอนนี้ราชสำนักได้ออกคำสั่งให้เราฆ่าเขาได้แล้ว และนี่ก็เป็นโอกาสดีที่สวรรค์ประทานมาให้ มันเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการฆ่าซุยเฮ็ง เราไม่สามารถปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไปได้”

“ ข้าจะไม่ปิดบังมันจากเจ้า นอกจากเจ้าแล้ว มันยก็ยังมีผู้ว่าการรัฐหยานโจว ผู้ว่าการรัฐหยูโจว และผู้ว่าการรัฐเยว่โจว นอกจากนี้ เรายังเชิญผู้ฝึกตนขอบเขตเทพสองคนจากโถงพุทธมามกะเป่าหลินมาร่วมด้วย!”

“ นี่ นี่ นี่…” ดวงตาของเสิ่นหยูเบิกกว้างเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เขามองไปที่หวังตงหลินด้วยความเหลือเชื่อและพูดด้วยความตกใจว่า “ ท่านผู้สมบูรณ์แบบ ซุยเฮ็งทรงพลังมากขนาดนั้นเลยหรอ?”

“ แน่นอน ซุยเฮ็งนั้นทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้” หวังตงหลินพยักหน้าและพูดต่อว่า “ ตัวเขาเองเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเทพ และเขาก็มีเจ้าสำนักของตำหนักเต๋าอี้อยู่เคียงข้างเขา นอกจากนี้ เขาก็ยังมีผู้ฝึกตนขอบเขตสัมผัสโลกาหลายคนภายใต้เขา เราไม่สามารถประเมินเขาต่ำเกินไปได้”

“ อย่างไรก็ดี สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่ใช่จุดแข็งที่แท้จริงของซุยเฮ็ง ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาคือความน่ากลัวที่แท้จริงเช่นกัน เขามีมรดกของราชาสวรรค์หงหวู่!”

“ อะไรนะ?!” เสิ่นหยูตกใจมาก “ ข่าวลือเป็นเรื่องจริงอย่างงั้นหรอ? ซุยเฮ็งเป็นผู้สืบทอดของราชาสวรรค์หงหวู่จริงๆ หรอ!”

“ ถูกต้อง!” หวังตงหลินพูดด้วยเสียงต่ำ “ ข้าคิดว่าข้าคงจะไม่ต้องพูดอะไรมากเกี่ยวกับชื่อราชาสวรรค์หงหวู่หรอกจริงไหม?”

“ อย่างไรก็ดี ตอนนี้ซุยเฮ็งก็โตเต็มที่แล้ว หากเราไม่ฆ่าเขาให้ทันเวลา ข้าก็เกรงว่าภัยพิบัติหงหวู่เมื่อ 300 ปีที่แล้วก็จะวนกลับมาซ้ำรอยได้ และในเวลานั้น เจ้าและข้าก็จะมีปัญหาใหญ่แน่”

“ นั่นก็จริง แต่…” เสิ่นหยูยังคงลังเลและกังวลเล็กน้อย “ แต่ซุยเฮ็งนั้นทรงพลังมาก เขาสามารถทำลายกองทัพนับหมื่นหรือแสนได้อย่างง่ายดาย แบบนั้นแล้วข้าจะไปทำอะไรได้?”

“ เหตุใดเจ้าถึงดูแคลนตัวเองแบบนั้นล่ะ” หวังตงหลินส่ายหัวและพูดต่อว่า “ หยูโจวทั้งหมดล้อมรอบไปด้วยทุ่งหญ้า มีทหารอยู่ที่ชายแดนทั้งกลางวันและกลางคืน ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขานั้นทรงพลังมาก หากพวกเขาสามารถเดินทัพเข้าสู่เฟิงโจวได้ มันก็จะไม่มีใครหยุดยั้งพวกวเขาได้อย่างแน่นอน”

“ สำหรับวิธีการแปลกๆ ของซุยเฮ็ง เจ้าก็ไม่ต้องกังวล ข้าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเทพและยังมีผู้ฝึกตนขอบเขตเทพคนอื่นๆ อีก”

“ เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็อาจจะยังไม่ทันได้เห็นหน้าซุยเฮ็งเลยด้วยซ้ำ”

“ และหลังจากเสร็จสิ้น ตระกูลหวังก็จะแจกจ่ายกำไรที่ได้มาให้กับพวกเจ้าอย่างแน่นอน”

“ นี่ นี่…” หลังจากที่เสิ่นหยูได้ยินสิ่งนี้ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะกลั้นหายใจและตั้งสมาธิ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ “ ตกลง ข้าจะทำ!”

“ ฮ่าฮ่า ดีมาก!” หวังตงหลินหัวเราะและพูดว่า “ พูดตามตรง ข้าก็ไม่ได้มาจากตระกูลหวังแห่งหลางหยา”

“ เอ่อ?!” เสิ่นหยูตกตะลึง สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร

“ แต่ข้ามาจากโลกเบื้องบน” หวังตงหลินมีท่าทางภาคภูมิใจในขณะที่เขาหัวเราะเบาๆ “ ข้าคือผู้ฝึกตนขอบเขตเทพของโลกเบื้องบน และในฐานะทูตสวรรค์ ข้าก็ได้ลงมาเพื่อประหารชีวิตซุยเฮ็ง”

“ ท่านคือทูตสวรรค์จากโลกเบื้องบน?!” ดวงตาของเสิ่นหยูเบิกกว้างและเขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น

เมื่อหวังตงหลินเปิดเผยตัวตนนี้ ร่องรอยความสงสัยในใจของเสิ่นหยูก็ได้หายไปอย่างสมบูรณ์

พวกเขาจะต้องชนะการต่อสู้ในครั้งนี้อย่างแน่นอน!

หวังตงหลินรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

นี่เป็นเส้นทางสู่ความตายของซุยเฮ็ง

...

ไม่กี่วันต่อมา

หวังตงหลินเคลื่อนไหวไปมาระหว่างกลุ่มต่างๆ

เขาชักชวนให้พวกเขาเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรเพื่อสังหารซุยเฮ็ง

กองกำลังพันธมิตรขนาดใหญ่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นรอบตัวเขา

และมันก็มีเพียงหนึ่งเป้าหมายเท่านั้นสำหรับกองกำลังพันธมิตรนี้

ฆ่าซุยเฮ็ง!

จากนั้นพวกเขาก็จะแบ่งเฟิงโจว แบ่งโอกาสเซียนและแบ่งทุกสิ่งให้กันและกัน!

….

ความปั่นป่วนที่เกิดจากหวังตงหลินนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

และซุยเฮ็งก็ได้รับข่าวนี้เช่นกัน

แม้ว่าเขาจะสั่งให้หวังตงหลินทำเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าชายคนนี้จะทำงานหนักถึงขนาดนี้

กองกำลังที่หวังตงหลินก่อตั้งขึ้นนั้นเกินความคาดหมายของซุยเฮ็งไปมาก

“ เขาพยายามหลอกให้พวกเขาให้มาตาย” ซุยเฮ็งมองไปที่จดหมายบนโต๊ะและยิ้ม “ ในเมื่อเขาคุยกับโถงพุทธมามกะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็จะทำให้พวกเขารู้สึกมั่นใจมากขึ้นสักหน่อยก็แล้วกัน”

“ ได้เวลากินกระดูกไก่แล้ว”

หยูโจวยังคงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย

ผู้ฝึกตนขอบเขตเทพจำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่และไม่มีทูตสวรรค์แม้แต่คนเดียว

เป้าหมายของพวกเขาคือการต่อสู้เพื่อแย่งชิงพระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์

พระธาตุหยกพระโพธิสัตว์นั้นเก่งมากในการหลบหนี แม้จะผ่านไปนานแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีใครจับมันได้

อย่างไรก็ดี พระธาตุหยกพระโพธิสัตว์ในวันนี้ก็แตกต่างออกไปเล็กน้อย

ดูเหมือนว่ามันจะได้ตัดสินใจเลือกทิศทางหนึ่งและมุ่งหน้าไปทาง

นั้น ไม่นานนัก มันก็มาถึงเชิงเขาสูงที่มีแสงพุทธอันหนาแน่น

นี่คือภูเขาแสงทอง!

โถงพุทธมามกะเป่าหลิน!