ตอนที่ 190

บทที่ 190 : 72 ปีแห่งราชวงศ์ต้าโจว

ปีที่ 72 ของราชวงศ์ต้าโจว

สำนักเซียนทั้งแปดกล่าวว่ามีปีศาจร้ายขึ้นมาจากโลกเบื้องล่าง ดังนั้นพวกเขาจึงส่งศิษย์ออกไปค้นหาทั่วทั้งโลก

ใครก็ตามที่เป็นผู้ต้องสงสัยจะถูกจับกุมโดยไม่มีคำถาม

ด้วยการเคลื่อนไหวเช่นนี้ ตระกูลนับไม่ถ้วนจึงถูกทำลาย และทุกคนในโลกก็รู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม

และโดยบังเอิญ บนท้องฟ้าก็มีปรากฏการณ์หนึ่งเกิดขึ้น แสงสีขาวปรากฏขึ้นทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และตำหนักสวรรค์ทมิฬกาลก็ถูกเทวาแทรกซึมโดยไม่คาดคิด พวกเขาถูกคมกระบี่ของจักรพรรดินีเล่นงาน

หกสำนักมารใช้ประโยชน์จากสถานการณ์และชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นนั้นยากจะระงับ

มณฑลหลินเจียง

ฮุ่ยฉีมีความสามารถมากและมีความคิดเป็นของตัวเอง หลังจากผ่านไปได้สองเดือน เขาก็ได้รับความไว้วางใจจากเป่ยเยว่จื่อแล้ว

ตอนนี้เขาใช้ตัวตนของเฉินซื่อฮุ่ยเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเป่ยเยว่จื่อและช่วยเขาแบ่งเบาภาระในการสรรหาผู้อาวุโสที่จะได้เป็นแขกรับเชิญ

อย่างไรก็ตาม ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงยุ่งมากในทุกๆ วัน

บรรดาผู้ฝึกตนเข้ามาขอลี้ภัยมากขึ้นเรื่อยๆ

ในอดีต ผู้ฝึกตนขอบเขตเทพก็ถือได้ว่าโดดเด่นมาก แต่ในตอนนี้ แม้แต่เซียนมนุษย์จากตระกูลที่ร่ำรวยก็ยังมาเพื่อขอลี้ภัย

เมื่อเวลาผ่านไป การกระทำของสำนักเซียนทั้งแปดก็เริ่มคลุ้มคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักเอกาสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์, สำนักเต๋าสูญและเมืองเมฆาขาว พวกเขาเริ่มสังหารหมู่ผู้คนโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ

แต่กระนั้นมันก็ไม่มีใครหยุดพวกเขาได้

สำนักเซียนเป็นผู้ปกครองขอโลกสูญสวรรค์

ณ ตอนนี้ ต้าโจวก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นสถานที่ที่มั่นคงและปลอดภัยที่สุดในโลกสูญสวรรค์

ท้ายที่สุดแล้ว มันก็มีจักรพรรดินี, เทวาเป่ยและตำหนักเต๋าอี้ที่นี่

แม้แต่สำนักเซียนก็ยังไม่กล้าบุกมาที่นี่โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เพราะถ้าพวกเขามา พวกเขาก็จะถูกทุบตี

อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีอาณาเขตที่กว้างใหญ่นอกต้าโจว มันมีประเทศมากมายและสำนักและตระกูลมากมายนับไม่ถ้วน คนเหล่านี้ย่อมได้รับความทุกข์ร้อน

แม้แต่ 24 ตระกูลขุนนางและ 9 ตระกูลที่โด่งดังก็ยังไม่สามารถปกป้องตัวเองได้

ในเวลาเพียงสองเดือน ตระกูลขุนนาง 10 ตระกูลก็ได้ถูกทำลายลงไปแล้ว และหลายประเทศก็ได้ล่มสลายลงไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ฝึกตนที่เหลือรอดจึงมักจะเดินทางไปที่ตระกูลเป่ยแห่งหลินเจียงซึ่งกำลังคัดเลือกแขกผู้อาวุโส

จำนวนผู้อาวุโสของพวกเขาเพิ่มขึ้นมาก และมันก็ทำให้เป่ยเยว่จื่อทั้งมีความสุขและเป็นกังวล

เขามีความสุขที่ยิ่งพวกเขาแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ตำแหน่งของเขาในตระกูลก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ เขาก็ยังมีโอกาสสูงที่จะได้รับคำชมจากบรรพบุรุษ บางทีอาจด้วยผลประโยชน์ เขาก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทพได้ก่อนอายุ 30 ปี

อย่างไรก็ดี ที่เขากังวลก็คือยิ่งมีคนเยอะ ภาระก็จะยิ่งเยอะตาม เขารู้สึกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตสัมผัสโลกาตัวเล็กๆ อย่างเขาไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว

ท้ายที่สุดแล้ว แม้แต่เซียนมนุษย์ก็ยังได้รับคัดเลือกเข้ามา

ในโลกยุทธ์ ผู้ฝึกตนขอบเขตสัมผัสโลกาเช่นเขาก็ไม่มีคุณสมบัติพอจะทำให้เซียนมนุษย์ให้ความสำคัญอย่างจริงจัง

แม้แต่ในตระกูลขุนนางต่างๆ เขาก็ยังต้องเรียกคนเหล่านั้นว่าลุงเซียน

ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน มันก็เกินความสามารถของเขาที่จะจัดการแล้ว

โชคดีที่ฮุ่ยฉีสามารถทำหน้าที่ได้ดีมาก แม้แต่เซียนมนุษย์ที่มาใหม่ก็ยังเชื่อฟังเขา

อย่างไรก็ตาม เป่ยเยว่จื่อก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงมาพบฮุ่ยฉีเป็นพิเศษเพื่อถามไถ่

“ ท่านเฉิน ท่านคิดว่าข้าควรทำอย่างไรดีในตอนนี้” เป่ยเยว่จื่อกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “ ในตอนนี้ ชื่อเสียงของโถงหนาเซียนก็ได้โด่งดังมากแล้ว ผู้ฝึกตนจากทั่วทุกมุมโลกต่างก็หลั่งไหลกันเข้ามา แม้แต่เซียนมนุษย์ก็ยังมาเข้าร่วมกับเรา ข้าเกรงว่าข้าจะทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”

“ นายน้อย ท่านหมายถึงการหยุดรับสมัครอย่างงั้นหรอ?” ฮุ่ยฉียิ้ม เขาสามารถมองความคิดของเป่ยเยว่จื่อออกได้

“ แน่นอนว่าเราไม่สามารถหยุดได้ นี่เป็นสถานการณ์ที่ท่านบรรพบุรุษต้องการ” เป่ยเยว่จื่อพูดต่อว่า “ ถ้าเราหยุดการรับสมัครลงในเวลานี้ ข้าก็เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าตระกูลเป่ยของเรากลัวสำนักเซียนทั้งแปดเหล่านั้น และบรรพบุรุษก็จะไม่มีความสุขอย่างแน่นอนหากเขารู้เข้า”

เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็หยุดชั่วครู่และถามด้วยเสียงต่ำ “ อันที่จริง ข้าก็อยากจะถามท่านเฉินมาก ท่านทำให้เซียนมนุษย์ทั้งสองคนนั้นเชื่อฟังท่านได้อย่างไร?”

“ แม้ว่านี่จะเป็นดินแดนของตระกูลเป่ย และพวกเขาจะมาเพื่อร้องขอการคุ้มครองของเรา แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าพวกเขาเป็นถึงเซียนมนุษย์”

“ คนอย่างพวกเราที่ยังไม่บรรลุเต๋าได้นั้นก็เป็นเหมือนกับมดในสายตาของพวกเขา แบบนั้นแล้วท่านควบคุมพวกเขาได้อย่างไร?”

“ เรื่องนั้นง่ายมาก” ฮุ่ยฉีพยักหน้าและยิ้ม “ ข้าเก่งกาจในการโน้มน้าวใจผู้คนด้วยตรรกะและเหตุผลเสมอมา ข้าได้อธิบายข้อเท็จจริงและสถานการณ์ต่างๆ ให้พวกเขาฟังอย่างชัดแจ้งก่อนที่จะให้เหตุผลกับพวกเขา ด้วยเหตุนี้เอง ตราบใดที่พวกเขายังต้องการการคุ้มครองจากที่นี่ พวกเขาก็จะไม่ควรทำอะไรผลีผลาม ดังนั้นแล้วนายน้อยจึงไม่ต้องกังวลเลย”

“ โน้มน้าวใจคนด้วยตรรกะและเหตุผล?” เป่ยเยว่จื่ออดไม่ได้ที่จะงงงวย “ มันง่ายขนาดนั้นเลยหรอ?”

เมื่อฮุ่ยฉีแยกตัวออกมาจากเป่ยเยว่จื่อ มันก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว

อย่างไรก็ตาม หลังจากกลับมาถึงที่บ้านของเขา ฮุ่ยฉีก็ไม่ได้กลับไปที่ห้องนอนของเขาเพื่อพักผ่อน เขาไปที่ห้องโถงรับแขกแทนราวกับว่าเขากำลังรอแขกบางคน

ไม่นาน มันก็มีชายชราสองคนมาเยี่ยมเขา

พวกเขาทั้งหมดอยู่ในวัยหกสิบถึงเจ็ดสิบ ผมและเคราของพวกเขาเป็นสีขาว และพวกเขาก็มีออร่าเซียนที่ไม่ธรรมดา

“ คารวะเทวาเฉิน!” ชายชราทั้งสองก้มหัวคำนับฮุ่ยฉีด้วยความเคารพ

“ ไม่ต้องสุภาพมากก็ได้” ฮุ่ยฉียืนขึ้นเพื่อต้อนรับพวกเขาและยิ้ม “ พวกเจ้าสองคนได้มาหาข้า ดังนั้นมันก็แสดงว่าพวกเจ้าได้ของมาแล้วสินะ”

เขาถือได้ว่าเป็นคนรู้จักเก่าของชายชราสองคนนี้

เขาเคยเห็นพวกเขามาก่อนในต้าจิน

ชายชราคนหนึ่งชื่อถังฮั่วอี้ และอีกคนชื่อซงจง พวกเขามาจากตระกูลถังแห่งมณฑลเหม่า และตระกูลซงแห่งกุ่ยฉวน พวกเขาทั้งคู่เป็นเซียนมนุษย์ที่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิด

ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ไปที่ต้าจินเพื่อรวบรวมผลึกน้ำค้างสวรรค์ แต่แล้วมันก็ลงเอยที่ฮุ่ยฉีได้จับกุมพวกเขาทั้งหมดเอาไว้

ในเวลานั้น พวกเขาก็อยู่ในหมู่เซียนมนุษย์จำนวนมากที่อยู่ข้างตระกูลขุนนาง

และเมื่อซุยเฮ็งอนุญาตให้เซียนมนุษย์จากตระกูลขุนนางกลับมาได้ ฮุ่ยฉีก็ยังเฝ้าดูพวกเขาอยู่จากด้านข้าง