ตอนที่ 191

บทที่ 191 : ความโกลาหลของแปดสำนักเซียน

ชายชราทั้งสองรู้จักฮุ่ยฉี ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเชื่อฟังเขา เมื่อฮุ่ยฉีพูดอะไร พวกเขาก็จะไม่กล้าที่จะโต้แย้งเขา ทัศนคติของพวกเขามีความเคารพเป็นอย่างยิ่ง

นี่ไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขาตระหนักได้ว่าฮุ่ยฉีไม่ใช่แม้แต่เซียนปฐพี แต่เขาได้กลายเป็นเทวาไปแล้วจริงๆ พวกเขารู้ได้ทันทีว่านี่เป็นฝีมือของซุยเฮ็ง

ในความคิดของพวกเขา ซุยเฮ็งก็เป็นคนที่ทรงพลังมากซึ่งอาจเทียบได้กับราชาสวรรค์ เขาเพียงคนเดียวก็สามารถเทียบกับสำนักเซียนทั้งเก้าได้แล้ว

นี่อาจเป็นทางออกเดียวของพวกเขาในอนาคต

นี่เป็นเพราะตระกูลถังและตระกูลซงไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว

หนึ่งเดือนก่อน เซียนปฐพีของสำนักเต๋าสูญก็ได้บุกมาหาพวกเขาและสั่งให้พวกเขาอธิบายสิ่งที่พวกเขาประสบมาในโลกเบื้องล่าง

ทั้งสองคนไม่กล้าพูดอะไร นี่เป็นเพราะพวกเขารู้ว่าความแข็งแกร่งของซุยเฮ็งนั้นน่ากลัวเพียงใด

จากนั้น ทั้งตระกูลของพวกเขาก็ถูกเซียนปฐพีจากสำนักเต๋าสูญกวาดล้าง

ในท้ายที่สุด มันก็มีเซียนมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่ใช้ประโยชน์จากความโกลาหลเพื่อหลบหนีออกมาหรือไม่ก็ใช้เทคนิคลับในการแกล้งทำเป็นศพเพื่อหนีรอดความตาย

นี่คือวิธีที่ถังฮั่วอี้และซงจงสามารถรอดชีวิตมาได้

เดิมทีพวกเขามาที่ตระกูลเป่ยแห่งหลินเจียงเพื่อลองเสี่ยงโชคและแสวงหาโอกาสเอาชีวิตรอด

พวกเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าพวกเขาจะได้มาพบกับฮุ่ยฉี สิ่งนี้ทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงความหวังในอนาคตในทันที

ตราบใดที่พวกเขามีซุยเฮ็งอยู่ข้างเดียวกัน พวกเขาก็จะไม่ตายง่ายๆ อย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาทั้งสองจึงเข้าร่วมกับโถงหนาเซียนของตระกูลเป่ยและติดตามฮุ่ยฉี

นี่คือเหตุผลที่ฮุ่ยฉีกล่าวว่าเขาใช้เหตุผลเพื่อโน้มน้าวใจผู้อื่น

“ เทวาเฉิน สิ่งที่ท่านต้องการอยู่ที่นี่แล้ว เชิญรับมันไปได้เลย”

ถังฮั่วอี้และซงจงก้มหัวลงให้กับฮุ่ยฉีด้วยความเคารพและส่งหนังสือสองเล่มให้พร้อมกัน

หนึ่งในนั้นคือข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับตระกูลถังของมณฑลเหมาและตระกูลซงแห่งกุ่ยเฉิน นอกจากนี้ มันยังรวมถึงประวัติศาสตร์ สิ่งที่พวกเขาได้เห็นและได้ยินในที่ต่างๆ และเคล็ดวิชายุทธ์ที่พวกเขาสืบทอดต่อกันมา

ส่วนอีกเล่มคือผลการสืบสวน ข้อมูลที่ซงจงรับผิดชอบในการค้นหานั้นเกี่ยวกับราชวงศ์ต้าโจว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ของผู้ฝึกตนธรรมดาและสามัญชน

“ ขอบคุณ” ฮุ่ยฉีพยักหน้าและรับม้วนหนังสือทั้งสองมา เขายิ้มและพูดว่า “ เมื่อท่านประมุขเซียนมาถึงเมื่อไหร่ ข้าก็จะมอบหนังสือทั้งสองเล่มนี้ให้กับเขา และในเวลานั้น ข้าก็จะไม่ลืมบอกชื่อพวกเจ้าอย่างแน่นอน”

เขาไม่ได้แสดงความเย่อหยิ่งต่อหน้าทั้งสองคนนี้

นี่เป็นเพราะเขารู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นถังฮั่วอี้หรือซงจง พวกเขาต่างก็ต้องการพึ่งพาซุยเฮ็งจริงๆ

ดังนั้นหากพวกเขาทำงานให้กับซุยเฮ็งด้วยใจจริง เขาเองก็ย่อมไม่ปฎิเสธพวกเขาอย่างแน่นอน

“ ขอบคุณเทวาเฉิน ขอบคุณ!” ทั้งสองกล่าวขอบคุณพร้อมกัน พวกเขาตื่นเต้นมาก แต่ก็ยังกังวลเล็กน้อยเช่นกัน

“ เทวาเฉิน ข้าขอถามได้ไหม… เมื่อไหร่ท่านประมุขเซียนซุยจะมาถึงหรอ?” ถังฮั่วอี้อดไม่ได้ที่จะถาม

“ ใช่แล้ว เทวาเฉินพอจะมีข่าวอะไรบ้างไหม?” ซงจงยังถามอย่างระมัดระวัง

“ มันก็น่าจะในเร็วๆ นี้…” ฮุ่ยฉีพยักหน้าเล็กน้อย

ในขณะนี้ มันก็ดูเหมือนว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง จู่ๆ ไหล่ของเขาก็รู้สึกร้อน และมังกรเพลิงตัวเล็กก็บินออกมา

“ โฮกกก!”

มังกรเพลิงตัวน้อยคำรามออกมาด้วยความดีใจและมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออย่างตื่นเต้น

ฮุ่ยฉีดูมีความสุขมาก เขายิ้มและพูดว่า “ ท่านประมุขเซียนมาถึงโลกนี้แล้ว!”

….

ที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือของต้าโจว ในป่าทึบในคืนที่ฝนตก

คนทั้งสองกำลังรีบวิ่งหนีอย่างกระวนกระวายใจ พวกเขาเป็นปู่และหลานชาย

“ หลานปู่ อดทนอีกหน่อยนะ ต้าโจวอยู่ข้างหน้าแล้ว ตราบใดที่เราเข้าสู่ต้าโจวได้ เราก็จะปลอดภัยแล้ว” หงคังหายใจหอบขณะที่เขาปลอบโยนเด็กน้อยข้างๆ เขา

เขาอยู่ในวัยเก้าสิบแล้ว หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาได้รับการฝึกตนจนมาถึงขอบเขตเซียนเทียนแล้ว เขาก็คงจะตายไปนานแล้วเพราะความชรา

อย่างไรก็ดี แม้จะอยู่ในขอบเขตเซียนเทียน แต่เนื่องจากการวิ่งเป็นระยะทางหลายพันลี้โดยที่ไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันหลายคืน เขาจึงดูเหมือนกับคนกำลังจะตาย

“ ท่านปู่ ท่านหยุดพักก่อนเถอะ ท่านเหนื่อยมามากแล้ว” เด็กน้อยชื่อหงเสิ่น เขาอายุเพียงเก้าขวบเท่านั้น

“ ไม่ ปู่พักผ่อนไม่ได้ ถ้าปู่พักผ่อนแล้ว ปู่ก็อาจจะวิ่งไม่ได้อีกต่อไป” หงคังส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขากัดฟันและลากร่างชราไปข้างหน้า เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “ หลานปู่ จำไว้ให้ดี หลังจากที่เราผ่านชายแดนของต้าโจวไปได้แล้ว ให้นำสมบัติมุ่งหน้าตรงไปทางทิศตะวันออก เจ้าจะพบกับแม่น้ำสายใหญ่ ไปตามแม่น้ำนั้นแล้วเจ้าจะพบมณฑลหลินเจียง”

“ ท่านปู่ ข้าจะอยู่กับท่าน!” หงเสิ่นกำหมัดแน่น ดวงตาของเด็กน้อยแดงก่ำ “ ข้าจะสู้ด้วย ข้าจะสู้กับพวกคนเลวด้วย!”

“ พวกคนเลวมีพลังมากเกินไป หลานปู่ เจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน” เท้าของหงคังยังคงวิ่งอยู่ในขณะที่เขายิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ ไม่ต้องรีบร้อน มันยังไม่สายเกินไปที่จะไปสู้กับคนพวกนั้น แค่กๆ!!”

“ ท่านปู่!” หงเสิ่นตื่นตระหนกมาก

“ ปู่สบายดี เงียบเอาไว้ก่อน!” หงคังลดเสียงลง

“ ท่านปู่…” ใบหน้าของหงเสิ่นเต็มไปด้วยน้ำตา

ปู่และหลานชายไม่ได้มาจากต้าโจว

พวกเขามาจากตระกูลเล็กๆ ในประเทศเพื่อนบ้านต้าฉี

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผู้ฝึกตนขอบเขตสัมผัสโลกาจากสำนักเอกาสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ได้มาที่ตระกูลหงและกล่าวหาว่าตระกูลหงกำลังซ่อนคนที่น่าสงสัยเอาไว้ และเพื่อตามล่าปีศาจจากโลกเบื้องล่าง อีกฝ่ายก็ต้องการให้พวกเขาร่วมมือในการสืบสวน

แต่นี่ก็เป็นเพียงอุบายปลอมๆ เท่านั้น

ตระกูลหงมีคนไม่มากนัก พวกเขามีกันทั้งหมดประมาณ 20 คนเท่านั้น พวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาและไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลภายนอก แบบนั้นแล้วมันจะมีใครน่าสงสัยในหมู่พวกเขาได้?

ในเวลานั้นเอง หงคังก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าผู้ฝึกตนขอบเขตสัมผัสโลกาคนนี้จะต้องเคยได้ยินเรื่องที่ตระกูลหงได้ซ่อนสมบัติลับเอาไว้และต้องการจะใช้ข้ออ้างนี้เพื่อแย่งชิงมันไปอย่างแน่นอน

และก็เป็นไปตามที่คาดไว้ ผู้ฝึกตนขอบเขตสัมผัสโลกาได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขาเมื่อเขาเข้าค้นข้าวของของตระกูลหง

หลังจากตระหนักได้ว่าเขาไม่สามารถหาสมบัติลับเจอได้ เขาก็ได้บันดาลโทสะและเริ่มฆ่าพวกเขาราวกับผักปลา

ตระกูลหงเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเทียนอย่างหงคัง

ด้วยเหตุนี้เอง หงคังจึงทำได้เพียงใช้ประโยชน์จากความโกลาหลวุ่นวายและหลบหนีออกมาพร้อมกับหงเสิ่นหลานชายของเขา

หลังจากที่ผู้ฝึกตนขอบเขตสัมผัสโลกาพบว่าทั้งสองคนได้หนีไปแล้ว พวกเขาก็ได้คาดเดาเอาว่าพวกเขาทั้งสองได้นำสมบัติลับของตระกูลหงออกไปด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงยังไล่ตามพวกเขาทั้งสองมาต่อ

โชคดีที่ผู้ฝึกตนขอบเขตสัมผัสโลกายังไม่สามารถบินได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงใช้วิชาตัวเบาเพื่อไล่ตามพวกเขา

หงคังและหงเสิ่นใช้ความคุ้นเคยกับภูมิประเทศเพื่อหลบหนีเป็นระยะทางหลายพันลี้ มันมีหลายครั้งที่อีกฝ่ายตามมาทัน แต่พวกเขาก็โชคดีพอที่จะหลบเลี่ยงอันตรายและมาจนถึงชายแดนของต้าโจวได้ในที่สุด

ภายใต้ความบ้าคลั่งของสำนักเซียนทั้งแปด ราชวงศ์ต้าโจวก็ได้กลายมาเป็นดินแดนอันบริสุทธิ์เพียงแห่งเดียวบนโลก

โดยเฉพาะมณฑลหลินเจียงซึ่งเป็นที่ตั้งของตระกูลเป่ย มันเป็นสถานที่ที่ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันที่จะไปให้ถึง

“ เร็วเข้า เราจะต้องไปถึงที่นั่นให้เร็วกว่านี้!” หงคังพยายามให้กำลังใจตัวเอง

อันที่จริง เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนแล้วว่าการมองเห็นของเขานั้นเริ่มพร่ามัว หัวใจของเขาเต้นแรง และร่างทั้งร่างของเขาก็รู้สึกเจ็บไปหมด

แม้แต่ปราณเซียนเทียนก็ยังเกือบจะแห้งเหือดไปจนหมดแล้ว

นี่เป็นสัญญาณว่าร่างกายของเขากำลังจะพังทลายลง

ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงวิ่งต่อไปด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ เขาอุ้มหลานชายวิ่งผ่านท่ามกลางสายฝน

บู้มมมมม!

แต่ในขณะนั้นเอง เสียงระเบิดก็ได้ดังมาจากทางข้างหน้า และต้นไม้สูงตระหง่านก็ได้พังลงมาทับกัน มันกีดขวางเส้นทางหลบหนีของหงคัง หงคังหันไปทางอื่นโดยสัญชาตญาณ แต่แล้วเขาก็มีเสียงดังโครมคราม ต้นไม้ขนาดมหึมาได้ล้มขวางทางหนีของเขาอีกครั้ง

ในขณะนี้ หงคังก็ดูเหมือนจะตระหนักได้ถึงบางอย่างและในที่สุดเขาก็หยุดช้าลง เท้าของเขาก้าวเข้าไปในหลุมโคลนและดวงตาของเขาก็มองเข้าไปที่ป่าอันมืดมิดเบื้องหน้าเขา เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ เจ้าจะไม่ปล่อยพวกเราไปจริงๆ ใช่ไหม?”

“ เจ้าคงจะฝันไปแล้วล่ะ” ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะอายุประมาณสี่สิบเดินออกมาจากป่าทึบ เขาแสดงสีหน้าเย้ยหยันและยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ ส่งมอบสมบัติลับของตระกูลหงมาซะ แล้วข้าจะปล่อยศพของพวกเจ้าไป!”

“ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องมารับมันเองแล้ว!” หงคังกัดฟันและลากร่างชราของเขาก้าวออกไปข้างหน้า ขณะเดียวกัน เขาก็คำรามก้อง “ หลานหนีไป!”

บู้มมมมมมม!

ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวปรากฎขึ้น สายฟ้าที่หนาทึบราวกับมังกรทองศักดิ์สิทธิ์ได้พุ่งผ่านท้องฟ้า มันส่องแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วป่าทึบในค่ำคืนที่ฝนตกหนัก

ขณะเดียวกัน มันก็สามารถเห็นร่างสองร่างเดินออกมาได้อย่างช้าๆ

มันเป็นชายหนุ่มและนักพรตชรา

ทั้งสองคนเดินออกมาท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก อย่างไรก็ดี หยาดฝนก็กลับจงใจหลีกเลี่ยงร่างของพวกเขาและตกออกไปห่างจากร่างของพวกเขาสามฟุต