ตอนที่ 408

บทที่ 408 : ดื้อรั้นและรนหาที่ตาย

มันน่าเหลือเชื่อมาก!

นี่เป็นเพียงพู่กัน แต่มันก็กลับทรงพลังยิ่งกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตผู้สร้างด้วยซ้ำ

“ สมแล้วที่เป็นจ้าวสวรรค์ในตำนาน แม้แต่จ้าวเต๋าก็ยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับพลังดังกล่าวได้” จ้าวเทียนอี้ถอนหายใจในใจของเขา

….

หลังจากตอบคำถามของซุยเฮ็งแล้ว จ้าวเทียนอี้ก็พาจ้าวหงซื่อและคนอื่นๆ กลับไปที่ตำหนักสวรรค์ลับแล เขาเตรียมทำตามความประสงค์ของซุยเฮ็งและส่งคำเชิญไปยังสถานที่ต่างๆ

สำหรับซุยเฮ็ง เขาก็ทำเพียงแค่รอให้คนกลุ่มนั้นมารวมตัวกัน

อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ต้องการจะรออย่างเบื่อหน่าย ดังนั้นเขาจึงโบกมือแล้วพูดว่า “ ฮุ่ยฉี มีบางอย่างที่เจ้าต้องจัดการ”

ฮุ่ยฉีเดินมาที่ด้านข้างของซุยเฮ็งและพูดด้วยความเคารพว่า “ นายท่านโปรดออกคำสั่ง”

“ มานี่สิ” ซุยเฮ็งกวักมือของเขาและเปิดเผยแผนที่ดวงดาวซึ่งระบุดาวเคราะห์ที่อยู่บนนั้นโดยเฉพาะ “ นี่คือทางข้ามมิติที่ฟู่กุ่ยกล่าวถึง ไปตรวจสอบสถานการณ์ของที่นั่นมา”

“ ครับท่าน!” ฮุ่ยฉีพยักหน้าทันที

จ้าวหงซื่อได้มอบแผนที่ดวงดาวนี้ให้กับซุยเฮ็ง เธอได้รับมันมาก่อนที่หงฟู่กุ่ยจะจากไป

หลังจากนั้น จ้าวหงซื่อก็ไปตรวจสอบเช่นกัน แต่เธอก็ไม่พบอะไรเลย ราวกับว่าทางข้ามมิตินั้นไม่มีอยู่จริง

ซุยเฮ็งเดาว่าทางข้ามมิติอวกาศนั้นอาจจะสามารถใช้งานได้เพียงครั้งเดียว และมันก็จะหายไปโดยอัตโนมัติหลังจากที่หงฟู่กุ่ยเดินทางผ่านเข้าไป หรือไม่มันก็อาจจะมีกลไกการเปิดใช้งานพิเศษ

หากเป็นอย่างแรก มันก็จะไม่มีประโยชน์อะไรในการสืบสวน

อย่างไรก็ตาม หากเป็นอย่างหลัง มันก็เป็นไปได้ที่ฮุ่ยฉีจะสามารถตรวจพบอะไรบางอย่างได้

ในกรณีนี้ ซุยเฮ็งจึงสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อยืนยันว่าหงฟู่กุ่ยไปที่โลกภายนอกจริงหรือไม่

ท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่ารูนเต๋าและพลังแห่งกฎของโลกภายนอกจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากพื้นที่ดวงดาวนี้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า “โลกภายนอก” ที่บุกรุกสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่เดียวกัน

จักรวาลนั้นกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์

ในความเห็นของซุยเฮ็ง ไม่ว่าจะอย่างไร มันก็ไม่มีใครสามารถสรุปสิ่งต่างๆ ได้จากการคาดเดาเพียงอย่างเดียว

มันเหมือนกันแม้แต่กับ "โลกภายนอก"

….

เนื่องจากสำนักเมฆขาวอยู่ใกล้กับตำหนักสวรรค์ลับแลมากที่สุด มันจึงเป็นที่แรกที่ได้รับคำเชิญ

การมาถึงของคำเชิญนี้ทำให้เจ้าสำนักเมฆขาวตกอยู่ในความเงียบ

ทุกคนที่อยู่ที่นั่นในปัจจุบันสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าสำนักเมฆขาวเย่โจวเป็นเหมือนกับภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุ เขาพยายามระงับความโกรธของเขา

ใบหน้าของเย่โจวมืดมน เขาถือจดหมายเชิญสีแดงไว้ในมือและจ้องไปที่เนื้อหา ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็คำรามออกมาเสียงดัง “ ให้ตายเถอะ! ให้ตายเถอะ!”

ในฐานะราชาปราชญ์และผู้ฝึกตนระดับสูงในหมู่ผู้นำของ 21 สำนักเซียน มันก็เป็นเวลานานแล้วที่เขาได้รับคำเชิญที่คุกคามเช่นนี้

“ ในอีกหนึ่งเดือน โปรดมาเข้าร่วมการประชุมที่ตำหนักสวรรค์ลับแล มีบางสิ่งที่สำคัญต้องพูดคุยกัน ถ้าไม่มา ก็เตรียมรับผลที่จะตามมาเอง”

เนื้อหานั้นเรียบง่ายและชัดเจนมาก แต่กระนั้นมันก็ตรงไปตรงมาเกินไปเล็กน้อย

เมื่อทุกอย่างเป็นไปเช่นนี้แล้ว จ้าวเทียนอี้จึงไม่สนใจความสุภาพของคำเชิญ เขาเขียนมันด้วยทัศนคติที่สูงส่งและยิ่งใหญ่

ไม่ว่าจะในกรณีใด ในสายตาของเขา คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงพวกขี้ขลาดที่ก้มหัวให้โลกภาย หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความคิดที่จะทำลายดาวไท่หง ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็นต้องสุภาพกับพวกเขา

ยิ่งไปกว่านั้น พู่กันที่ซุยเฮ็งมอบให้จ้าวเทียนอี้นั้นมีพลังที่วิเศษมาก

ตราบใดที่อีกฝ่ายได้รับคำเชิญ พวกเขาก็จะต้องมาเข้าร่วมการประชุม มิฉะนั้นพวกเขาก็จะได้รับเคราะห์ร้ายอย่างคาดไม่ถึง

นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เย่โจวกล้าที่จะโกรธ

ผลของการเชิญนี้แปลกประหลาดเกินไป ดังนั้นเมื่อเทียบกับความโกรธที่รู้สึกอับอายขายหน้าแล้ว เขาก็ยังแอบรู้สึกกลัวมากกว่า

“ เฮ้อ…” จู่ๆ เย่โจวก็ถอนหายใจและวางจดหมายเชิญลง

จากนั้นเขาก็โบกมือและเรียกใครซักคนมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ คำเชิญนี้เขียนขึ้นมาทันทีหลังจากที่จ้าวเทียนอี้นำจ้าวหงซื่อและเด็กเหลือขอสองคนจากตระกูลหงกลับไปที่ตำหนักสวรรค์ลับแลใช่ไหม”

“ มันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น” คนนี้พยักหน้า เขาเป็นปราชญ์ที่มาที่สำนักเมฆขาวเพื่อแจ้งเย่โจวเกี่ยวกับจ้าวเทียนอี้และการเคลื่อนไหวของคนอื่นๆ

“ เอาล่ะ ดูเหมือนว่ามันน่าจะเป็นอาจารย์ของหงหวู่!” เย่โจวตัดสินใจในทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ ในตอนนั้น ข้าก็แค่ส่งคนไปทำลายสำนักไม่กี่แห่งที่สร้างขึ้นมาโดยหงหวู่ แต่ตอนนี้เขาก็กลับหมายจะเอาชีวิตข้าเลยจริงๆ นี่มันช่างน่ารังเกียจ!”

“ ท่านเจ้าสำนัก คำเชิญนี้ไม่ได้ส่งมาให้เราเท่านั้น สำนักเซียน 21 แห่ง อารามพุทธ 4 แห่งและตำหนักลึกลับ 2 แห่งเองก็ได้รับเชิญด้วย” ปราชญ์รายงาน

“ จ้าวเทียนอี้คนนี้จะเหิมเกริมเกินไปแล้ว” เย่โจวมองไปในทิศทางของตำหนักสวรรค์ลับแล “ อาจารย์ของหงหวู่มาจากไหน และเขาอยู่ที่ขอบเขตใด? ทำไมเขาถึงสามารถทำให้จ้าวเทียนอี้มั่นใจได้มากขนาดนั้น”

จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบสายประคำพุทธออกมาจากแขนเสื้อของเขา เขายื่นมันให้กับปราชญ์ที่อยู่ข้างหน้าเขาและพูดด้วยเสียงจริงจังว่า “ ส่งสายประคำพุทธเส้นนี้ไปที่โถงพุทธอันศักดิ์สิทธิ์”

“ รับทราบ!” ปราชญ์ยอมรับคำสั่งทันทีและออกจากสำนักเมฆขาวไป

เย่โจวพยักหน้าเล็กน้อยและดวงตาของเขาก็เข้มราวกับเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง เขาหยุดพูดและคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าพูดเช่นกัน

หลังจากนั้นไม่นาน เย่โจวก็หัวเราะเยาะ “ จ้าวเทียนอี้ ไม่ว่าเจ้าจะมีผู้ช่วยแบบไหน มันก็ไร้ประโยชน์ เจ้ายังไม่เข้าใจว่าเราแข็งแกร่งแค่ไหน”

“ เดิมทีข้าก็อยากจะขังเจ้าไว้สักพักเพื่อดูว่าข้าจะเอาชนะเจ้าได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะดื้อรั้นและอยากจะรนหาที่ตายจริงๆ สินะ”

“ เจ้ามันสมควรตายแล้ว!”

โถงพุทธอันศักดิ์สิทธิ์เป็นอารามพุทธที่ใหญ่ที่สุดบนดาวไท่หง และยังเป็นมรดกของพุทธศาสนาที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย

นานมาแล้วก่อนที่ดาวไท่หงจะถูกกลืนเข้าไปในประตูสวรรค์ พระซานตงก็เป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนชั้นนำของดาวไท่หง เขายังเป็นผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งในสายพุทธและมีบารมีสูงมาก

หลังจากออกมาจากประตูสวรรค์ ขอบเขตของพระซานตงก็ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้า เขาก็กลายเป็นหนึ่งในห้าผู้สร้างของดาวไท่หง

หลังจากการพัฒนานานนับพันปี โถงพุทธอันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ครองตำแหน่งงนิกายพุทธอันดับหนึ่งในดาวไท่หงแล้ว

นอกจากกดินแดนแสงพุทธบริสุทธิ์ที่มีผู้สร้างแล้ว มันก็ไม่มีนิกายพุทธอื่นใดที่สามารถเปรียบเทียบได้อีก แม้แต่อารามพุทธอีกสองแห่งก็ยังไม่เพียงพอ

ตอนนี้พระชานตงได้ถอยกลับไปเบื้องหลังแล้ว เขาไม่ค่อยจัดการกับเรื่องทางโลก ว่ากันว่าเขามักจะเข้าสู่ความสันโดษและเตรียมพร้อมที่จะทะลวงไปสู่ขอบเขตที่แปดในตำนาน เขากำลังจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ควบคุมพลังของเต๋าสวรรค์

ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่คนนอกจะไปเยี่ยมเยียนพระชานตง

อย่างไรก็ตาม เมื่อปราชญ์จากสำนักเมฆขาวมาถึง เขาก็มอบสายประคำให้กับเหล่าพระที่อยู่ที่นั่น จากนั้นทุกคนก็ออกมารับเขาเป็นอย่างดี

จากนั้นพวกเขาก็พาเขาไปที่ลานกว้างที่ห่างไกล

นี่คือจุดที่พระซานตงกำลังฝึกตนอย่างสันโดษและทำความเข้าใจเต๋า

พระซานตงเป็นพระชราที่ดูอายุเจ็ดสิบหรือแปดสิบ

อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่มีร่องรอยของอายุบนร่างกายของเขา แม้ว่าเคราและคิ้วของเขาจะขาวราวกับหิมะ แต่ใบหน้าของเขาก็กลับมีเลือดเดินและผิวของเขาก็แวววาว เขาดูมีพลังมาก

“ อมิตาพุทธ” พระซานตงพนมฝ่ามือเข้าหากัน สายตาของเขาจับจ้องไปที่สายประคำในมือของปราชญ์ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบาๆ “ ข้าเข้าใจแล้ว”

“ ท่านซานตง ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย…” ปราชญ์ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“ อมิตาพุทธ!” พระซานตงมองไปที่เขา ในเวลาเดียวกัน วงแหวนแสงสีทองก็สว่างขึ้นที่ด้านหลังศีรษะของเขา

ในชั่วพริบตา ปราชญ์ผู้นี้ก็ได้รับการขัดเกลาด้วยแสงแห่งพุทธ

“ อมิตาพุทธ!” พระซานตงพนมฝ่ามือเข้าหากัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ เขาถอนหายใจและพูดว่า “ ดาวไท่หงที่น่าสงสาร มันไม่สามารถหลีกหนีชะตากรรมแห่งความทุกข์ทรมานได้”

“ จ้าวเทียนอี้ เจ้าเป็นคนบาป!”