ตอนที่ 131

บทที่ 131 : กระบี่เทวะหงหวู่ (2)

ทั้งหมดนี้ต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ

อย่างไรก็ตาม เมื่อจ้าวอู๋ซูนำทัพไปที่ด้านหน้าของมณฑลหยุนชู เขาก็ต้องตกตะลึง ณ จุดนั้น

นั่นเป็นเพราะประตูเมืองกำลังเปิดอ้ารอพวกเขาอยู่!

ทหารราว 7,000 ถึง 8,000 นายกำลังยืนอยู่โดยปราศจากอาวุธ คนที่นำพวกเขาอยู่ก็เป็นคนไม่มีอาวุธเช่นกัน

“ เกิดอะไรขึ้น? นี่เป็นกับดักรึเปล่า?” จ้าวอู๋ซูขมวดคิ้ว เขางุนงงและสับสนเล็กน้อย

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้ผลีผลามใดๆ

อย่างไรก็ตาม ฮุ่ยฉีซึ่งยืนอยู่หน้าประตูเมืองก็ได้ชี้ไปที่อีกด้านหนึ่งแล้วและเริ่มตะโกนเสียงดังก้อง “ เจ้าคือจ้าวอู๋ซูใช่ไหม? จงรีบคุกเข่าก้มหัวลงกับพื้นเพื่อสวดมนต์อ้อนวอนร้องขอความเมตตาซะ ถ้าเจ้าฆ่าตัวตายเสียตอนนี้เพื่อเป็นการไถ่โทษ ข้าก็จะยอมปล่อยให้ศพของเจ้าถูกนำกลับไปฝังได้!”

ตอนนี้เขากำลังตื่นเต้นมาก

นี่เป็นเพราะเขาได้นำปรมาจารย์ 8,000 คนออกมาจากเมืองเพื่อต่อสู้!

ตั้งแต่สมัยโบราณ ใครบ้างที่เป็นผู้นำทัพปรมาจารย์ 8,000 คน?

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

ฮุ่ยฉีแทบจะทนรอไม่ไหวที่จะได้ยกทัพไปฆ่ากองทหารนับแสน

“ ชายจากที่ราบภาคกลางคนนี้กล้าดียังไงมาพูดจาสามหาวเช่นนี้!” จ้าวอู๋ซูรู้สึกงุนงงมากยิ่งขึ้น

ในเวลาเดียวกัน เขาก็มั่นใจมากขึ้นว่าข้างหน้าจะต้องมีกับดักที่เขามองไม่เห็นแน่นอน มิฉะนั้นแล้ว มันก็เป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มชายไร้อาวุธจะกล้าออกมาจากเมืองเช่นนี้

ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาดูแลทหารของพวกเขาและไม่ทำอะไรพล่อยๆ

ชายคนนี้ระมัดระวังมาก

อย่างไรก็ตาม คำเตือนของเขาก็ทำให้ฮุ่ยฉีหมดความอดทน

“ หนุ่มๆ! ศัตรูอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว ตามข้ามาและไปฆ่าพวกมันกัน!” ฮุ่ยฉีตะโกนลั่น

ในเวลาเดียวกัน เขาก็พุ่งเข้าหากองทัพอนารยชนด้วยความเร็วที่เร็วมาก

ปรมาจารย์ 8,000 คนที่อยู่เบื้องหลังเขาต่างก็หมุนเวียนพลังปราณของพวกเขาและใช้เคล็ดวิชาการเคลื่อนไหวของพวกเขาเพื่อตามหลังฮุ่ยฉีไป พวกเขาพุ่งเข้าไปหากองทัพอนารยชน

“ นะ.. นี่มันอะไรกัน!” จ้าวอู๋ซูตกตะลึงอย่างสมบูรณ์

เขาไม่ได้คาดคิดว่ากลุ่มคนที่ปราศจากอาวุธจะกล้าริเริ่มโจมตีกองทัพนับแสนเช่นนี้ พวกเขาเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่หรอ?

จ้าวอู๋ซูรู้สึกว่า ณ จุดนี้ หากเขาไม่เคลื่อนไหว ศัตรูก็จะหลอกเขาจนตายได้ ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงสั่งในทันที

“ เหล่านักรบเอ๋ย! คนเหล่านี้ล้วนโง่เขลากว่าที่เราคิด มันคิดว่าเราเป็นแกะในทุ่งหญ้าและจะสามารถฆ่าได้ตามใจต้องการ ดังนั้นจงตามข้ามาเพื่อ…"

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ เขาก็หยุดในทันที

นี่เป็นเพราะฮุ่ยฉีได้มาถึงเบื้องหลังเขาแล้ว ฮุ่ยฉีได้คว้าคอของเขาเอาไว้และดึงเขาลงมาจากหลังม้า

จ้าวอู๋ซูได้รับการปกป้องจากองครักษ์ส่วนตัวรอบตัว

ยอดฝีมือคนเถื่อนระดับแนวหน้าโจมตีแขนของฮุ่ยฉี และพยายามลากจ้าวอู๋ซูกลับเข้าไปในกองทัพในทันที

“ ฆ่า! ฆ่าพวกมันให้หมด!”

เสียงของจ้าวอู๋ซูดังมาจากในกองทัพซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธ เขาเกือบจะถูกลอบสังหารแล้วเมื่อกี้ และสิ่งนี้ก็ทำให้เขาโกรธมาก

ในขณะนี้ ปรมาจารย์ 8,000 คนก็ได้เดินทางมาถึงสนามรบแล้ว

และ…

กองทัพคนเถื่อนแตกพ่าย!

สิ่งที่เรียกว่า “นักรบ” เหล่านี้ล้วนไม่เคยได้รับการฝึกอบรม พวกเขาส่วนใหญ่เป็นพวกเร่ร่อนที่ถูกเกณฑ์มาอย่างแข็งขัน พวกเขาไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับสงครามจริงๆ

มาตอนนี้ พวกเขาก็กำลังเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ 8,000 คน และพวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานกองทัพนี้ได้เลย

ถึงกระนั้น ในขณะที่ “นักรบ” คนเถื่อนแยกย้ายกันออกไป ทหารม้า 50,000 นายก็ได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่แล้ว พวกเขาหมายที่จะล้อมรอบและทำลายล้างปรมาจารย์ทั้ง 8,000 คนจากทั้งสองด้าน

อย่างไรก็ตาม ฮุ่ยฉีก็ไม่ได้เกียจคร้านในณะนี้ หลังจากที่เขาล้มเหลวในการจับจ้าวอู๋ซู เขาก็หาจุดอ่อนของกองทหารม้าได้ในทันทีและรีบไป!

จากนั้นช่องว่างขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น!

ทัพทหารม้าขอเหล่าคนเถื่อนนับแสนถูกบดขยี้แหลกภายใต้กำปั้นของเขาที่เต็มไปด้วยเสียงคำรามโกรธของมังกร

พวกเขาถูกบดขยี้เละในทันที!

ฮุ่ยฉีได้เปิดใช้งานหมัดโพธิสัตว์มังกรสวรรค์แล้ว และเขาก็เริ่มดำเนินการสังหารหมู่ฝ่ายเดียวอย่างที่เขาถนัดแล้ว

แม้ว่ามันจะมีทหารม้าถึง 50,000 นาย แต่มันก็เป็นเรื่องยากมากที่จะโจมตีคนๆ เดียวพร้อมๆ กัน

มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาทั้งหมดจะพุ่งเข้าหาเป้าหมายเพียงเป้าหมายเดียว

และเพียงไม่กี่ก้าว ฮุ่ยฉีก็ได้ฆ่าคนเถื่อนไปแล้วหลายร้อยคน

ปรมาจารย์ทั้ง 8,000 คนเองก็ตกอยู่ในสงครามนองเลือดเช่นกัน

คนเถื่อนเหล่านี้อ่อนแอจนน่าประหลาดใจ ส่วนใหญ่ไม่มีแม้แต่ชุดเกราะด้วยซ้ำ

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่ออยู่ต่อหน้าปรมาจารย์ 8,000 คน

การต่อต้านทั้งหมดนั้นจึงไร้ผล

และในเวลาไม่ถึงสิบนาทีหลังจากทั้งสองกองทัพต่อสู้กัน กองทัพของอนารยชนก็เริ่มพังทลายลง

นอกจากนี้ ทหารของพวกเขาก็ยังเริ่มหลบหนีไปทั่วทุกทิศทุกทาง

ภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ส่วนตัวของเขา จ้าวอู๋ซูก็สามารถใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายเพื่อหลบหนีได้

บนยอดเขาหยุนชู

เฉินตงและเหมิงจางเฝ้าดูฉากทั้งหมดนี้ขณะอ้าปากค้าง

พวกเขาทั้งหมดตกตะลึง

ในตอนแรก พวกเขาก็คิดว่าแม้ว่าจะมีปรมาจารย์ 8,000 คน แต่การต่อสู้กับกองทัพนับแสนก็น่าจะเป็นการต่อสู้ที่ขมขื่น

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้

การยุบตัวหนักเมื่อสัมผัสเพียงเล็กน้อยนี้หมายความว่าอย่างไร?

สิ่งนี้เรียกว่ากระจอก!

อีกฝ่ายกระจอกเกินไป!

ตอนนี้ฉากด้านล่างไม่ใช่ฉากสงครามอีกต่อไป แต่มันเป็นฉากฮุ่ยฉีที่นำกองทัพปรมาจารย์ 8,000 คนออกไล่ล่าและสังหารคนเถื่อน

“ เป่าแตรเพื่อล่าถอย” จู่ๆ ซุยเฮ็งก็ขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างและมองออกไปในระยะไกลด้วยความสับสน

คำสั่งนี้ทำให้เฉินตงและเหมิงจางงงงวย

ในขณะที่สถานการณ์กำลังเป็นไปได้ดีเช่นนี้ พวกเขาก็ควรจะไล่ตามศัตรูไปและกวาดล้างพวกเขาไม่ใช่หรอ?

แบบนั้นแล้วทำไมจู่ๆ เขาถึงต้องการเรียกให้พวกเขากลับมากันล่ะ?

อย่างไรก็ดี แม้ว่าพวกเขาจะงุนงง แต่เฉินตงและเหมิงจางก็ยังคงปฏิบัติตามคำสั่งของซุยเฮ็ง

ทั้งสองคนสั่งให้คนเป่าแตรทันที พวกเขาส่งสัญญาณบอกให้ฮุ่ยฉีและปรมาจารย์ทั้ง 8,000 คนกลับมา

ในขณะนี้ ฮุ่ยฉีก็กำลังนำปรมาจารย์ทั้ง 8,000 คนไล่ล่าสังหารเหล่าคนเถื่อนไปทั่วทุกสารทิศ ผู้หลบหนีเหล่านั้นไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยที่จะต่อต้านพวกเขาได้

แต่กระนั้น ในขณะนี้ พวกเขาก็กำลังได้ยินเสียงเรียกให้ถอยกลับ

“ มันเกิดอะไรขึ้น? เราต้องถอยตอนนี้หรอ?” ฮุ่ยฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย

แต่เขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว

นี่จะต้องเป็นคำสั่งของท่านซุยเฮ็งแน่นอน!

เฉินตงและเหมิงจางไม่สามารถและไม่กล้าทำสิ่งนี้แน่

ฮุ่ยฉีปฏิบัติตามคำสั่งของซุยเฮ็งอย่างเคร่งครัดอยู่เสมอ เขาไม่เคยออกนอกลู่ไปจากคำสั่งของอีกฝ่าย

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากได้ยินเสียงแตร เขาจึงหยุดการไล่ล่าและนำทัพกลับไปในทันที ขณะเดียวกัน เหล่าปรมาจารย์ที่ติดตามเขาไปก็รู้สึกงงงวย

ทำไมพวกเขาถึงต้องถอนกำลังในตอนนี้?

อย่างไรก็ตาม ปรมาจารย์ทั้ง 8,000 คนเหล่านี้ก็ไม่กล้าจะฝ่าฝืนคำสั่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากฮุ่ยฉีเป็นคนแรกที่ล่าถอย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหยุดการไล่ล่าอย่างไม่เต็มใจและกลับไปที่มณฑลหยุนชูพร้อมกับฮุ่ยฉี

อย่างไรก็ดี เมื่อฮุ่ยฉีหันหลังกลับไปพร้อมกับปรมาจารย์ 8,000 คน เหล่าทหารที่แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปแต่เดิมก็ได้กลับมาคืนระเบียบและหันกลับมาโจมตีแทน!

“ เกิดอะไรขึ้น? ข้าไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน ทำไมกองทัพที่กำลังจะพ่ายแพ้ถึงได้ฮึดกลับมาต่อสู้ได้?”

ดวงตาของเฉินตงเบิกกว้างเมื่อเห็นฉากนี้ เขามองดูกองทัพอนารยชนที่เพิ่งหนีตายจากความพ่ายแพ้และกำลังโต้กลับมาอย่างกะทันหันอย่างไม่เชื่อสายตา

เกิดอะไรขึ้น?

หรือคนเถื่อนเหล่านี้จะเห็นอะไรบางอย่างในระหว่างการหลบหนี?

ที่จริงเขาพูดถูก

คนเถื่อนเหล่านี้ที่พ่ายแพ้ไปแล้วได้วิ่งชนเข้ากับชานหยูที่กำลังเดินเข้ามา

ชานหยูไม่ได้พูดอะไรมาก

เขาเพียงแค่ยกกระบี่เหล็กในมือของเขาขึ้นและบอกคนเถื่อนทุกคนที่กำลังหลบหนีว่านี่คือกระบี่ของราชาสวรรค์หงหวู่ ซึ่งมันก็เป็นกระบราศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถฆ่าเซียนและพระอรหันต์ได้

และจากนั้น การหลบหนีที่วุ่นวายก็ได้หยุดชะงักลง

ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้การนำของชานหยู พวกเขาจึงกลับมามีแรงใจอีกครั้ง

ในขณะนี้ ฮุ่ยฉีก็กำลังนำปรมาจารย์ 8,000 คนกลับไปที่เมือง

ชานหยูมองไปที่ฮุ่ยฉีและปรมาจารย์ 8,000 คนที่อยู่ข้างหน้าเขา จากนั้นเขาก็มองไปที่กำแพงสูงของมณฑลหยุนชูจากระยะไกล เขากล่าวอย่างเย้ยหยัน “ เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังของราชาสวรรค์หงหวู่ พวกเจ้าก็ถึงกับกลัวจนวิ่งหนีหางจุกตูดเลยหรอ!”

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ชักกระบี่เหล็กออกมาจากฝักอย่างช้าๆ และทันใดนั้น เสียงกระบี่ใสก็ดังก้องไปทั่วโลก

กระบี่สีรุ้งพุ่งออกมาจากฝักและส่องประกายแวววาวกว่าอัญมณีชนิดใด

“ ฮ่าฮ่าฮ่า ยิ่งกระบี่เทวะหงหวู่เข้าใกล้มณฑลหยุนชูมากขึ้นเท่าไหร่ แสงสว่างก็จะยิ่งส่องประกายมากขึ้นเท่านั้น สิ่งนี้แสดงว่าข้าจะสามารถถล่มเมืองนี้ได้สำเร็จเป็นแน่!” ชานหยูหัวเราะด้วยความพึงพอใจ

จากนั้นเขาก็ยกกระบี่เทวะหงหวู่ขึ้น

มันอาบแสงแดดอันเจิดจ้า และเขาก็กำลังจะฟันไปที่ฮุ่ยฉีและคนอื่นๆ ที่กำลังกลับเข้าเมือง

“ กระบี่เล่มนี้…” ซุยเฮ็งจำมันได้อย่างรวดเร็วและในชั่วพริบตา ความโกรธก็ถูกจุดประกายขึ้นมาในทันที “ กล้าดียังไง!”