ตอนที่ 125

บทที่ 125 ราชทูตแห่งราชสำนักต้าจิน

จูฉิงผู้สมบูรณ์แบบและหลิวอี้หยุนมองไปที่เหอฉิงโหรวด้วยความกังวล

สำหรับสำนักเซียนอรุณในปัจจุบัน การค้นหา “ปรมาจารย์บรรพบุรุษ” ของพวกเขานั้นก็มีความสำคัญมาก

แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะส่งผลต่อการอยู่รอดของทั้งสำนัก

“ ท่านเจ้าสำนัก ท่านอาจารย์ ไม่ต้องกังวล” เหอฉิงโหรวยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ ศิษย์ได้ยืนยันแล้วว่าท่านผู้ว่าการซุยนั้นคือปรมาจารย์บรรพบุรุษของเรา”

“ จริงหรอ?!”

“ เป็นท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษของเราจริงๆ หรอ!”

จูฉิงผู้สมบูรณ์แบบและหลิวอี้หยุนมีความสุขมากเมื่อพวกเธอได้ยินสิ่งนี้ พวกเธอไม่สามารถรักษาความสงบได้อีกต่อไปและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

แม้ว่าพวกเธอจะเตรียมใจเอาไว้แล้วตั้งแต่ตอนที่ได้ยินว่า คนที่ชื่อ “ซุยเฮ็ง” นั้นสามารถใช้วิชากระบี่แสงเมฆาได้ แต่พวกเธอก็ยังรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อ

สำนักเซียนอรุณรอปรมาจารย์บรรพบุรุษผู้นี้มานานมาก

ทั้งสองคนเป็นศิษย์รุ่นที่สองของสำนักเซียนอรุณ ซึ่งพวกเธอก็เป็นหลานศิษย์ของเจียงฉีฉี ซึ่งแตกต่างจากศิษย์รุ่นที่สามอย่างเหอฉิงโหรวพวกเธอได้รับการฝึกฝนมาอย่างแท้จริงเคียงข้างกับเจียงฉีฉี

พวกเธอทั้งสองคนรู้เรื่องปรมาจารย์บรรพบุรุษคนนี้มากกว่าเหอฉิงโหรว

หนึ่งร้อยปีก่อน ก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้น เมื่อตอนที่เจียงฉีฉียังอยู่ในสำนักเซียนอรุณ จูฉิงและหลิวอี้หยุนซึ่งยังอยู่ในขอบเขตสัมผัสโลกาก็ได้รับคำสั่งให้ออกจากภูเขาเพื่อค้นหา “ซุยเฮ็ง”

นี่เป็นคำสั่งที่พวกเธอได้รับมาจากอาจารย์ของพวกเธอ แต่กระนั้นพวกเธอทั้งสองก็รู้ดีว่านี่เป็นคำสั่งของผู้อาวุโสสูงสุด

นอกจากนี้ การค้นหานี้ก็ยังได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่เหิงเซียได้ทำลายสำนักคังซวนและก่อตั้งสำนักเซียนอรุณขึ้นบนภูเขาคังเฉิง

ในตอนแรก มันก็มีเพียงศิษย์รุ่นแรกของสำนักเซียนอรุณซึ่งเป็นศิษย์ส่วนตัวของเจียงฉีฉี และจากนั้นมันก็ถูกมอบให้เป็นหน้าที่ของเหล่าศิษย์รุ่นสอง

แม้ว่าพวกเธอจะไม่ได้รับข่าวอะไรเลยมาเป็นเวลานาน แต่มันก็เห็นได้ชัดว่าบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนั้นต้องการจะให้พวกเธอสานต่อประเพณีนี้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม หลังจากการต่อสู้เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งก็ได้หายตัวไป และสำนักเซียนอรุณก็ได้ปิดผนึกภูเขา เหล่าศิษย์ไม่มีอิสระพอที่จะได้ออกไปจากภูเขาอีกต่อไป ดังนั้นภารกิจในการค้นหา “ซุยเฮ็ง” จึงถูกหยุดไปด้วย

และโดยไม่คาดคิด ในตอนท้ายของระยะเวลา 100 ปีที่ สำนักเซียนอรุณก็กำลังเผชิญกับวิกฤตความเป็นความตาย แต่ถึงอย่างนั้น พวกเธอก็ยังได้พบกับปรมาจารย์บรรพบุรุษจริงๆ

“ ถูกต้องแล้ว มันคือเขา” เหอฉิงโหรวพูดด้วยความมั่นใจ “ ท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษถึงกับแสดงกระบวนท่ากระบี่แสงเมฆาให้เราดู มันสมบูรณ์แบบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มันสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าคำอธิบายในเคล็ดวิชาเสียอีก”

“ นอกจากนี้ ท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษก็ยังรู้จักชื่อของเหิงเซีย เมื่อรวมเข้ากับปรากฏการณ์ของกระบี่เมฆาม่วงแล้ว มันก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าท่านผู้ว่าการซุยนั้นคือปรมาจารย์บรรพบุรุษของเรา”

“ ดีดี! เยี่ยมมาก!” จูฉิงผู้สมบูรณ์แบบรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าที่สวยงามของเธอในขณะที่เธอพยักหน้าและพูดว่า “ มาเถอะ กลับไปที่ภูเขาก่อน”

“ รับทราบ” เหอฉิงโหรวรีบโค้งคำนับและตามไป

“ หยิงหยิงเองก็มาด้วยสิ” หลิวอี้หยุนเรียกเฉินหยิงซึ่งกำลังยืนงง

“ เอ่อ?” ดวงตาของเฉินหยิงเป็นประกายเมื่อเธอได้ยินเช่นนั้น เธอพยักหน้าทันทีและพูดว่า “ ขอบคุณท่านปรมาจารย์!”

โถงบรรพบุรุษเดิมถูกเรียกว่าตำหนักเหิงเซีย มันเป็นสถานที่ซึ่งเหิงเซียจะมาพบปะกับเหล่าศิษย์ของเธอ

ต่อมา เมื่อบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งหายตัวไป สถานที่แห่งนี้ก็เปลี่ยนเป็นโถงบรรพบุรุษและยังคงใช้เพื่อหารือเรื่องสำคัญ

แน่นอนว่าศิษย์รุ่นที่สี่ไม่เคยได้เข้าไปในโถงบรรพบุรุษเลย และเธอก็น่าจะเป็นคนแรก

….

เนื่องจากการปิดผนึกภูเขา มันจึงเหลือคนไม่มากนักในสำนักเซียนอรุณ

ตำหนักหลายแห่งที่เคยมีชีวิตชีวาในอดีตได้กลายเป็นตำหนักร้างไปแล้ว

จูฉิงและหลิวอี้หยุนเดินนำเหอฉิงโหรวและเฉินหยิงกลับเข้ามาในสำนัก ในระหว่างทาง พวกเธอก็พบศิษย์เพียงสามถึงสี่คนเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเธอก็ยังเป็นศิษย์รุ่นที่สามรุ่นเดียวกับเหอฉิงโหรว

เมื่อพวกเธอเห็นท่าทางตื่นเต้นของจูฉิงและหลิวอี้หยุน พวกเธอก็สงสัยเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกันเบาๆ

“ ท่านเจ้าสำนักและอาจารย์หลิวดูมีความสุขมากเลย มันมีอะไรน่ายินดีหรือเปล่านะ?”

“ มันจะไปมีข่าวดีอะไรกัน? ตอนนี้เส้นตาย 100 ปีกำลังใกล้เข้ามาแล้ว เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะมีชีวิตอยู่รอดได้หรือไม่”

“ อย่าพูดอะไรไร้สาระ เมื่อร้อยปีที่แล้ว ท่านบรรพบุรุษของเราก็ได้ทำสนธิสัญญากับเหล่าเซียนและพระอรหันต์แห่งโลกเบื้องบนแล้ว”

“ เป็นไปได้ไหมว่ามันจะมีสมบัติอยู่ที่เชิงเขา? ข้าเห็นศิษย์น้องเฉินลงไปจากภูเขาก่อนหน้านี้ แล้วนางก็กลับมาในเวลาเพียงไม่กี่วัน”

“ ข้าหวังว่ามันจะเป็นข่าวดีนะ เห้อ…”

ศิษย์เหล่านี้มักไม่ค่อยมองโลกในแง่ดีและมีทัศนคติในแง่ลบ

อันที่จริง มันก็ไม่ได้น่าแปลกใจเลย

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา มันก็มีศิษย์จำนวนมากที่ยังฝึกตนไปไม่ถึงขอบเขตเทพ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการปิดผนึกภูเขา ดังนั้นมันจึงทำให้มีลูกศิษย์ใหม่เพียงโหลเดียวเท่านั้นที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา

และเมื่อของเก่าหมดไป ของใหม่ก็ยังเข้ามาน้อยอีก

สิ่งนี้ทำให้จำนวนคนในสำนักเซียนอรุณลดน้อยลง

ศิษย์หลายคนยิ่งรู้สึกหดหู่ใจ พวกเธอมองไม่เห็นความหวังสำหรับอนาคต

ปัจจุบันมีศิษย์น้อยกว่า 40 คนในสำนักเซียนอรุณทั้งหมด

ครึ่งหนึ่งเป็นศิษย์รุ่นที่สาม

ส่วนใหญ่เป็นศิษย์ของสำนักเซียนอรุณก่อนที่พวกเธอจะปิดผนึกภูเขา นอกจากนี้ มันก็ยังมีจำนวนเล็กน้อยที่ถูกพาตัวเข้ามาหลังจากที่ภูเขาถูกปิดตาย

ตัวอย่างเช่นเหอฉิงโหรว

ศิษย์รุ่นที่สามที่มีอายุมากหลายคนมีอายุมากกว่า 100 ปีแล้ว

หากพวกเธอไม่สามารถเข้าถึงขอบเขตเทพได้...

ในอีกไม่กี่ทศวรรษ ศิษย์รุ่นที่สามกลุ่มนี้ก็จะตายด้วยวัยชราเช่นกัน

ในเวลานั้น ศิษย์รุ่นที่สองบางคนที่มาถึงขอบเขตเทพแล้วก็คงกำลังจะตายเช่นกัน

ดังนั้นแล้วในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ใครกันจะยังสามารถรักษาความคิดในแง่บวกเอาไว้ได้อีก?

ในทุกด้าน การปลดผนึกภูเขานั้นก็มีความสำคัญสูงสุดสำหรับสำนักเซียนอรุณในปัจจุบัน

….

การตกแต่งในโถงบรรพบุรุษนั้นเรียบง่ายมาก

มันมีโต๊ะยาวและเก้าอี้ 2-3 ตัว โต๊ะทำงาน เชิงเทียน และสิ่งอื่นๆ อีกสองสามอย่าง

มันไม่ได้มีการตกแต่งมากมายนัก

หลังจากที่ทั้งสี่มาถึง จูฉิงและหลิวอี้หยุนก็ไม่รีบร้อนที่จะถามเกี่ยวกับซุยเฮ็ง

พวกเขาสั่งให้ศิษย์ข้างนอกเชิญเจ้าของกระบี่อีกสองคนมาแทน

เจียงฉีฉีได้ทิ้งกระบี่เซียนเอาไว้ห้าเล่มก่อนที่เธอจะหายตัวไป เจ้าของกระบี่ทุกคนที่ได้รับการยอมรับจากกระบี่เซียนนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นแกนกลางที่แท้จริงของสำนักเซียนอรุณ

ในไม่ช้า หญิงสาวสองคนก็มาถึงห้องโถงบรรพบุรุษ

คนหนึ่งสะพายกระบี่ยาวไว้ที่หลัง ส่วนอีกคนมีกระบี่ยาวห้อยอยู่ที่เอว

พวกเธอคือเจ้าของกระบี่เมฆาสรทและกระบี่ตะวันอัสดง และพวกเธอทั้งคู่ก็ยังเป็นศิษย์รุ่นเดียวกันกับเหอฉิงโหว

จูฉิงผู้สมบูรณ์แบบคือเจ้าของกระบี่ตะวันแดง ในขณะที่หลิวอี้หยุนเป็นเจ้าของกระบี่รุ้งขาว

“ คารวะท่านเจ้าสำนัก อาจารย์หลิว”

เจ้าของกระบี่ตะวันแดงและกระบี่ตะวันอัสดงโค้งคำนับด้วยความเคารพ ในเวลาเดียวกัน พวกเธอก็ยังเห็นเหอฉิงโหรวและเฉินหยิง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกงงงวย

หรือมันจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น?

เซียนและพระอรหันต์แห่งโลกเบื้องบนจะลงมาอีกอย่างงั้นหรอ?

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ทั้งสองคนก็ตึงเครียดขึ้นมาในทันที พวกเธอพร้อมที่จะต่อสู้ได้ทุกเมื่อ

“ ไม่จำเป็นต้องประหม่า” จูฉิงผู้สมบูรณ์แบบยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ นี่เป็นข่าวดี ฉิงโหรวบอกทุกคนเกี่ยวกับปรมาจารย์บรรพบุรุษสิ”

ปรมาจารย์บรรพบุรุษ?!

เจ้าของกระบี่ตะวันแดงและกระบี่ตะวันอัสดงต่างก็ตกตะลึง

คนๆ นี้คือ...

“ เขาคืออาจารย์ของบรรพบุรุษเหิงเซีย…” เหอฉิงโหรวเล่าถึงสิ่งที่เฉินหยิงได้พบและได้ยินมาในมณฑลลู่และประสบการณ์ของเธอในเขตฉางเฟิง

ซึ่งรวมถึงคำพูดของซุยเฮ็งที่อนุญาตให้สำนักเซียนอรุณได้ปลดผนึกภูเขา เช่นเดียวกับคำสัญญาของเขาที่จะนำสำนักเซียนอรุณไปพร้อมกันเพื่อทำการสังหารเหล่าเซียนและพระอรหันต์จากโลกเบื้องบน

จูฉิงและหลิวอี้หยุนไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

และในตอนนี้ เมื่อพวกเธอได้ยินทั้งสองสิ่งนี้แล้ว พวกเธอก็ตื่นเต้นขึ้นมาในทันที

ประตูภูเขาจะถูกเปิดออกอีกครั้ง!

สำนักเซียนอรุณจะได้รับการช่วยชีวิตแล้ว!

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเธอก็ยังกำลังจะไปฆ่าเหล่าเซียนและพระอรหันต์จากโลกเบื้องบน!

เจ้าของกระบี่ตะวันแดงและกระบี่ตะวันอัสดงร้องไห้ด้วยน้ำตาแห่งความปิติยินดี

พวกเธอมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อสำนักเซียนอรุณ แต่มันก็เป็นเวลาหลายปีแล้วที่พวกเธอทำได้เพียงแค่เฝ้าดูอย่างช่วยไม่ได้ในขณะที่สำนักเซียนอรุณอ่อนกำลังลงวันแล้ววันเล่า

แต่ในตอนนี้ สำนักเซียนอรุณก็มีความหวังที่จะได้ฟื้นฟูในที่สุด

“ ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้ท่านอาจารย์และป้าเจิงทราบ” จูฉิงผู้สมบูรณ์แบบได้ตัดสินใจและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ อี้หยุน แจ้งศิษย์ทั้งหมดว่าสำนักเราจะกลับมาเปิดประตูภูเขาแล้ว!”

มันมีศิษย์เหลือเพียงประมาณ 40 คนเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามมากมายอะไรในการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับการเปิดสำนักอีกครั้ง

อาจารย์และป้าเจิงที่เธอกล่าวถึงเป็นศิษย์รุ่นหนึ่งเพียงสองคนของสำนักเซียนอรุณ ซึ่งพวกเธอก็ยังเป็นศิษย์ส่วนตัวของเจียงฉีฉีเช่นกัน

“ เข้าใจแล้ว!” หลิวอี้หยุนพยักหน้า

“ ฉิงโหรว เจ้าและหยิงหยิงจะจัดระเบียบทุกคนเพื่อเตรียมพร้อมในภายหลัง…” จูฉิงผู้สมบูรณ์แบบจัดภารกิจให้เหอฉิงโหรวและเฉินหยิง

“ เมื่อท่านอาจารย์และท่านป้าหยูเจิงและข้ามาถึง เราก็จะไปที่เขตฉางเฟิงเพื่อคารวะท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษกัน”

“ รับทราบ!” เหอฉิงโหรวและเฉินหยิงพูดพร้อมกัน

พวกเธอดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ

เป็นเวลานานแล้วที่สำนักเซียนอรุณไม่ได้มีบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้

ความรู้สึกนี้ดีมาก!

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพวกเธอได้พบกับปรมาจารย์บรรพบุรุษ

สำนักเซียนอรุณไม่ได้ไร้กระดูกสันหลังอีกต่อไปแล้ว!

….

ในขณะที่ สำนักเซียนอรุณก็กำลังเตรียมที่จะมาที่เขตฉางเฟิงเพื่อไปคารวะซุยเฮ็ง

จดหมายด่วนถูกส่งไปที่สำนักงานของซุยเฮ็ง

หลิวหลี่เต๋าได้มาส่งเองเป็นการส่วนตัว

“ ท่านผู้ว่าการ มันคือจดหมายจากเฉินตง มันถูกส่งมาอย่างเร่งด่วน บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องเร่งด่วนก็ได้” หลิวหลี่เต๋ากล่าว

“ โอ้?” ซุยเฮ็งหยิบจดหมายขึ้นมาและเปิดมัน “ ข้าจำได้ว่านางน่าจะไปส่งเสริมนโยบายใหม่กับฮุ่ยฉีในมณฑลหยุนชูนี่ มันมาจากมณฑลหยุนชูจริงๆ ใช่ไหม?”

“ มณฑลหยุนชูเป็นป้อมปราการชายแดนทางเหนือของต้าจิน มันติดกับทุ่งหญ้าป่าเถื่อน บางทีบางอย่างอาจจะเกิดขึ้นที่นั่นก็ได้?” หลิวหลี่เต๋าคิดถึงความเป็นไปได้หลายประการในทันที

“ คนป่าเถื่อนในทุ่งหญ้าได้รวบรวมทหารม้าประมาณ 50,000 นายจากชนเผ่าต่างๆ และวางแผนที่จะโจมตีมณฑลหยุนชูทางตอนใต้ เมื่อพวกเขาส่งจดหมายมาถึง พวกมันก็น่าจะมาถึงหน้าประตูเมืองแล้ว” ซุยเฮ็งตบจดหมายลงบนโต๊ะและเย้ยหยัน “ พวกคนป่าเถื่อนเหล่านี้กล้าหาญมากจริงๆ!”

การไปปล้นสะดมทางใต้เท่ากับการฆ่าคนของเฟิงโจว นี่ถือเป็นการทำลายแผนการสำหรับนโยบายใหม่ที่เขาต้องดำเนินการ และสิ่งนี้ก็จะเพิ่มอุปสรรคให้กับการเก็บรวบรวมอารมณ์ทั้งเจ็ดของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของเขา

“ พวกคนป่าเถื่อนพวกนั้นมันน่ารังเกียจมากจริงๆ!” หลิวหลี่เต๋าพยักหน้าและพูดว่า “ คนป่าเถื่อนจากทุ่งหญ้าไม่ได้ทำการเกษตร พวกมันใช้ชีวิตเร่ร่อนและชอบฆ่าฟัน ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี พวกมันก็จะลงไปทางใต้เพื่อปล้นสะดมและเข่นฆ่าผู้คน พวกมันสมควรตายจริง!”

“ ใช่แล้ว เฉินตงได้ขอให้ข้าส่งกองทหาร 30,000 นายไปช่วยโจมตีพวกคนป่าเถื่อนทางตอนเหนือ” ซุยเฮ็งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าและพูดว่า “ เรื่องนี้เป็นไปได้และได้รับอนุมัติ หากการต่อสู้ในครั้งนี้ตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบจริงๆ ข้าก็จะเป็นฝ่ายลงมือเอง”

“ รับทราบแล้ว ข้าจะเขียนจดหมายตอบกลับไปเดี๋ยวนี้” หลิวหลี่เต๋าโค้งคำนับด้วยความเคารพ จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ ข้ายังมีเรื่องที่จะรายงานอีกเรื่องหนึ่ง ทางราชสำนักได้ส่งทูตเพื่อมาพบท่าน”