ตอนที่ 147

บทที่ 147 : พระอรหันต์จากตะวันตก กำลังจะเก็บเกี่ยว

ความเกลียดชังนี้รุนแรงมาก

จากมุมมองของซุยเฮ็ง เขาก็สามารถมองเห็นเมฆสีดำสนิทที่บินมาจากทิศตะวันตกได้

นั่นคือเมฆที่เกิดจากแสงสีดำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเกลียดชัง

เขาหายใจเข้าลึกๆ และแสงแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดรอบแก่นแท้ทองคำของเขาก็สั่นสะท้านในทันที แสงสีดำขยายออกไปหนึ่งนิ้วในทันที!

“ มากมายขนาดนี้เลยหรอ!” ดวงตาของซุยเฮ็งเป็นประกาย

นี่เป็นเพียงความเกลียดชังที่อีกฝ่ายรู้สึกก่อนที่จะทันได้เห็นเขา แต่มันก็ยังสามารถทำให้แสงสีดำเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งนิ้วได้ ถ้าเขาสามารถบีบเค้นคนๆ นี้อย่างโหดเหี้ยมได้ เขาก็อาจจะระเบิดอารมณ์ของอีกฝ่ายมากกว่านี้ก็ได้

ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากแสงสีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของความเกลียดชังแล้ว เขาก็ยังสามารถรวบรวมแสงสีเขียวที่เป็นสัญลักษณ์ของความกลัว และแสงสีเทาที่เป็นสัญลักษณ์ของความเศร้าโศกได้

ถ้าเขาทำมันได้ดี เขาก็น่าจะสามารถรวบรวมแสงสีม่วงที่เป็นสัญลักษณ์ของความโกรธได้มากมาย

นี่ไม่ใช่พระ!

แต่มันคือหีบสมบัติเดินได้!

เขากำลังจะเก็บเกี่ยวกำไรครั้งใหญ่!

“ อย่างไรก็ตาม พลังพุทธนี้ก็ค่อนข้างคุ้นเคย มันคือพระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์ที่ฉันสร้างมาจากกระดูกไก่เมื่อตอนนั้นน่ะหรอ?” ซุยเฮ็งมองไปทางทิศตะวันตกและหัวเราะเบาๆ “ เจ้าพระนั่นเล่นดูดซับพลังจากกระดูกไก่อย่างงั้นหรอ”

พระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์ที่พระตูฟากลืนเข้าไปนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยซุยเฮ็งโดยการใช้พลังปราณเพื่อดัดแปลงกระดูกไก่

เขาสงสัยว่าร่างกายที่พัฒนามาจากกระดูกไก่นี้ยังสามารถเรียกว่ากายอรหันต์ทองคำได้หรือไม่?

หรือมันจะเป็นกายอรหันต์ไก่ทองคำ?

ในขณะนี้ หลิวอี้หยุนก็กำลังทำความเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่อยู่ในห้องโถงด้านในของสำนักงานว่าการ เมื่อเธอเห็นซุยเฮ็งเดินออกมาและมองไปบนท้องฟ้า เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “ ท่านปรมาจารย์ปู่ มันมีบางอย่างเกิดขึ้นที่ทางทิศตะวันตกอย่างงั้นหรอ?”

“ พระอรหันต์กำลังมา” ซุยเฮ็งยิ้มราวกับว่าเขากำลังพูดถึงบางสิ่งที่ปกติมาก

“ พระอรหันต์?!” ดวงตาของหลิวอี้หยุนเบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอมองไปทางทิศตะวันตกด้วยความตกใจ และดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่า “ ท่านปรมาจารย์ปู่ มันคือพระอรหันต์ของโถงพุทธมามกะเป่าหลินใช่หรือไม่?”

สำนักเซียนอรุณและโถงพุทธมามกะเป่าหลินมีความบาดหมางกันระดับชาติ

“ มันน่าจะเป็นพวกเขาแหละ พวกเขาน่าจะได้รับพระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์แล้ว” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อยและมองไปที่หลิวอี้หยุน เขายิ้มและพูดว่า “ ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่าจะพาพวกเจ้าไปฆ่าพระจากโถงพุทธมามกะเป่าหลิน แต่ข้าก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าพวกเขาจะมาเคาะประตูบ้านเราก่อนที่เราจะได้ไปหาเสียด้วยซ้ำ”

“ ศิษย์ขออนุญาตไปสู้!” หลิวอี้หยุนจ้องมองอย่างแน่วแน่ในขณะที่เธอพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ ท่านปรมาจารย์ปู่ ผู้ฝึกตนขอบเขตเทพที่เรียนรู้ศาสตร์กระบี่เซียนอรุณนั้นจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตเทพทั่วไปมาก นอกจากนี้ ข้าก็ยังมีกระบี่เซียนที่ท่านบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งทิ้งเอาไว้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นแล้วข้าก็น่าจะสู้กับพระรูปนี้ได้”

ด้วยกระบี่เซียนที่เจียงฉีฉีทิ้งไว้ เธอจึงมีโอกาสที่จะเอาชนะเซียนมนุษย์และพระอรหันต์ธรรมดาส่วนใหญ่ได้

อย่างไรก็ตาม พระตูฟาก็ไม่ใช่พระอรหันต์ธรรมดา

เขาได้รับพลังจากกระดูกไก่ระดับพระโพธิสัตว์เข้าไปแล้ว และเขาก็ยังสามารถสัมผัสธรณีประตูของขอบเขตพระโพธิสัตว์ได้แล้ว

ดังนั้นด้วยขอบเขตการฝึกตนในปัจจุบันของหลิวอี้หยุน เธอจึงยังไม่สามารถจัดการกับพลังระดับนั้นได้

ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็คือหีบสมบัติเดินได้ของเขา!

แม้ว่าซุยเฮ็งจะเข้าใจเป็นอย่างดีว่าหลิวอี้หยุนรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการฆ่าพระของโถงพุทธมามกะเป่าหลิน แต่เขาก็ยังไม่สามารถปล่อยหีบสมบัติชิ้นนี้ให้กับคนอื่นได้

นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกตนของเขา!

“ ไม่” ซุยเฮ็งปฏิเสธคำขอของหลิวอี้หยุนและส่ายหัว “ พระสงฆ์รูปนี้มีความพิเศษเล็กน้อย เขาสามารถใช้พลังของขอบเขตพระโพธิสัตว์ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ได้ และมันก็ยังค่อนข้างอันตรายสำหรับเจ้าในปัจจุบัน”

“ ขอบเขตพระโพธิสัตว์…” หลิวอี้หยุนตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะพยักหน้าและโค้งคำนับด้วยความเคารพ “ ขอบคุณที่เตือนสติข้า”

ในเวลาเดียวกัน เธอก็ตัดสินใจที่จะฝึกตนให้หนักขึ้นในอนาคตและมุ่งมั่นที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนมนุษย์ให้ได้โดยเร็วที่สุด

“ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป” ซุยเฮ็งยิ้มและพูดว่า “ ข้าจะให้เจ้าดูรูปแบบการต่อสู้ของพระรูปนี้ก่อน นี่ถือได้ว่าเป็นการปูพื้นฐานให้เผื่อที่เจ้าจะต้องเจอกับพระเหล่านี้ในอนาคต”

“ ท่านจะให้ข้าดูหรอ?” หลิวอี้หยุนมองไปที่ซุยเฮ็งด้วยความสับสนและถามว่า “ ท่านปรมาจารย์ปู่ มีคนอื่นที่จะจัดการกับพระรูปนั้นอย่างงั้นหรอ?”

“ มันก็ไม่ใช่ใครอื่นหรอก” ซุยเฮ็งยิ้ม ด้วยความคิด ปอยผมก็หลุดและลอยขึ้นมาอยู่บนฝ่ามือของเขา “ ปอยผมนี้จะไปสู้กับพระรูปนั้น”

“ เอ่อ?” หลิวอี้หยุนสับสนมากยิ่งขึ้น “ ปอยผม?”

เส้นผมจะไปสู้กับคนได้อย่างไร?

….

บนท้องฟ้าเหนือเมืองฉางเฟิง

ดอกบัวสีทองบานสะพรั่งกลางอากาศ

พระภิกษุหนุ่มนุ่งขาวยืนอยู่บนดอกบัวทองกำลังลอยมาจากทางทิศตะวันตก

เขาดูเหมือนจะอายุน้อยกว่า 20 ปี ดวงตาของเขาดูมีเมตตาและสงบสุข

มันคือพระตูฟา

เขาไม่ได้บินเร็วนัก

หลังจากเข้าสู่เขตฉางเฟิงแล้ว เขาก็ใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่เขาจะมาถึงท้องฟ้าเหนือเมือง

ที่จริงแล้ว พระตูฟาก็ไม่ได้บิน เขาก็แค่เดินบนฟ้า

ท้ายที่สุดแล้ว พระอรหันต์นั้นก็เทียบเท่ากับขอบเขตสกัดปราณขั้นแปด ดังนั้นมันจึงยังเป็นไปไม่ได้ที่จะบินลอยตัวอยู่กลางอากาศ

เขาเพียงเอาพลังพุทธใส่ไว้ใต้เท้าของเขาเพื่อเป็นแท่นเหยียบ

มันเรียบง่ายและหยาบกระด้างมาก

อย่างไรก็ตาม สำนักพุทธก็ยังคงมีชื่อที่สวยหรูสำหรับเคล็ดวิชากากๆ เช่นนี้

ย่างก้าวปทุมทองบาน!

ในขณะนี้ พระตูฟาก็กำลังยืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองฉางเฟิงบน “ดอกบัวสีทอง”

เขามองลงมาและกวาดสายตาไปทั่วเมืองด้วยใบหน้าขมวดคิ้ว

“ มีตระกูลเป็นพันๆ ตระกูล แต่ไม่มีสักคนเดียวที่กราบไหว้พระพุทธเจ้า นี่เป็นสถานที่อันบาปหนาอย่างแท้จริง ไม่แปลกใจเลยที่ซุยเฮ็งจะวปกครองคนพวกนี้ได้”

“ หืม? มีคนได้เผยแพร่เคล็ดวิชาเต๋าที่นี่จริงๆ หรอ? ช่างน่ารังเกียจ! บุคคลนี้ดูเหมือนจะเป็นเจ้าสำนักของตำหนักเต๋าอี้ จางซูหมิง มันเป็นโอกาสดีจริงๆ ที่จะได้ฆ่าเขาลงที่นี่”

จากนั้นพระตูฟาก็พนมมือเข้าหากันและเปล่งเสียงดังออกมา

“ อมิตาพุทธ!”

เสียงนี้ดังก้องไปทั่วเมืองราวกับเสียงฟ้าร้อง และคนส่วนใหญ่ในเมืองก็ได้ยินมัน

สามัญชนนับไม่ถ้วนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

ดอกบัวสีทองบานสะพรั่งและมีกลิ่นหอมแปลกโชยออกมา

บนท้องฟ้ามีพระนุ่งขาวห่มขาวรูปหนึ่ง ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา ราวกับว่าพระอรหันต์ได้ลงมาจากแดนสุขาวดี

สิ่งนี้ทำให้เหล่าสามัญชนต้องการที่จะคุกเข่าลงกับพื้นและบูชาเขาโดยไม่รู้ตัว

“ พระชั่ว! เจ้ากล้าดียังไงมาเผยแพร่อะไรผิดๆ กลางวันแสกๆ แบบนี้!”

จางซูหมิงซึ่งกำลังเทศนาคัมภีร์เต๋าได้ค้นพบความผิดปกติบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

เขาตะโกนอย่างโมโหในทันที และเสียงนี้ก็ปลุกประชาชนจำนวนมากให้ตื่นขึ้น

“ เจ้าเต๋ามารสมควรถูกประหารชีวิต!” พระตูฟาขมวดคิ้ว เขายกมือขวาขึ้นและชกออกไป

ทันทีที่เขาชกออกไป แสงสีทองก็ได้ปรากฏขึ้นรอบๆ กำปั้นของเขา มันกลายเป็นกำปั้นทองคำขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมระยะหนึ่งพันฟุต

ในเวลาเดียวกัน ภาพเงาภูเขาสูงตระหง่านก็สว่างขึ้นด้านหลังพระตูฟา มันมีวิหารสมบัตินับไม่ถ้วนอยู่บนนั้นราวกับมันเป็นสวรรค์

บึ้มมม!

เสียงระเบิดดังขึ้นในความว่างเปล่า

กระแสลมที่รุนแรงก่อตัวเป็นพายุ

มันคำรามและกวาดลงมาจากท้องฟ้าสู่พื้นดิน

ต้นไม้แกว่งไปมาอย่างไม่อ่อนแรง และบ้านเมืองก็เริ่มสั่นสะเทือนราวกับว่ามันกำลังจะพังทลายลงได้ทุกขณะ

คนธรรมดาหลายคนบนพื้นรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถยืนอย่างมั่นคงได้อีกต่อไป

พวกเขาทำได้เพียงจับยึดสิ่งที่อยู่ข้างพวกเขาเอาไว้แน่นๆ

หมัดของพระตูฟาพุ่งลงมาจากบนท้องฟ้า ราวกับความโกรธของพระพุทธเจ้าที่ต้องการจะชำระล้างโลกมนุษย์ พลังของมันไม่มีที่สิ้นสุด

และฉากเหล่านี้ก็เป็นเพียงคลื่นกระทบ

กำปั้นอันบริสุทธิ์ได้เปล่งแสงทองโดยมุ่งเป้าไปที่จางซูหมิง ด้วยหมัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นจางซูหมิง ผู้คนและอาคารรอบตัวเขา หรือจะอะไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดก็ได้ถูกทุบทิ้งอย่างไร้ความปรานีในทันที!

เห็นได้ชัดว่า เมื่อพระตูฟาโจมตี เขาก็ไม่ได้คำนึงถึงผู้บริสุทธิ์เลย

“ เจ้าหัวโล้นนี่มันบ้าไปแล้ว!” จางซูหมิงกัดฟัน

เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับตัวเองหรือคนรอบข้าง

นี่คือเมืองฉางเฟิง และมันก็มีราชาสวรรค์คอยคุ้มกัน

แบบนั้นแล้วพระอรหันต์เพียงรูปเดียวจะไปสามารถคว่ำฟ้าได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม ทัศนคติของพระตูฟานั้นก็ตรงกันข้าม

ในเวลาเดียวกัน ณ ลานของสำนักงานว่าการ

หลิวอี้หยุนยังมองไปที่ฉากบนท้องฟ้าด้วยโกรธ เธอกัดฟันแล้วพูดว่า “ นี่มันพระหรือปีศาจกัน? มันไม่รู้หรอว่าการโจมตีอาจจะฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้?”

“ ถึงเวลากำจัดพระเหล่านี้ออกไปจากโลกแล้ว” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อย

จากนั้นเขาก็เป่าปอยผมบนฝ่ามือของเขาเบาๆ

ฟิ้ว–

ปอยผมนี้ปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้าและแผ่ขยายออกไปตามสายลม มันกลายเป็นร่างของซุยเฮ็งในชุดสีดำ มันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและบินตรงไปที่กำปั้นขนาดใหญ่ของตูฟา

“ อะไรน่ะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” หลิวอี้หยุนมองไปที่ร่างบนท้องฟ้าพร้อมกับอ้าปากค้าง จากนั้นเธอก็มองไปที่ซุยเฮ็งที่อยู่ข้างๆ เธอด้วยความตกใจ “ ท่านปรมาจารย์ปู่ นี่ท่าน…”

“ ข้าก็แค่ใช้ปอยผมต่อสู้กับเขา อย่าเอะอะไปสิ” ซุยเฮ็งยิ้มและพูดต่อว่า “ ตอนนี้เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงบอกว่าข้าต้องการจะให้เจ้าดู?”

นี่เป็นเพราะปอยผมของเขากำลังจะต่อสู้กับตูฟา

แน่นอนว่าด้วยขอบเขตในปัจจุบันของซุยเฮ็ง เขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนปอยผมให้กลายเป็นร่างอวตารของเขาได้โดยตรง

เขาใช้เพียงการควบคุมที่เขามีหลังจากไปถึงขอบเขตแก่นแท้ทองคำขั้นสมบูรณ์เพื่อหลอมรวมเส้นผมนี้เข้ากับส่วนหนึ่งของพลังปราณของเขาและทำให้มันกลายเป็นร่างที่มีพลังปราณขอบเขตสกัดปราณขั้นแปด

มันไม่ได้มีสติสัมปชัญญะและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง

สิ่งที่ทำให้ร่างกายนี้เคลื่อนไหวได้จริงๆ ก็คือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เจ็ดอารมณ์ที่ซุยเฮ็งวางไว้เหนือมันเพื่อสืบทอดเจตจำนงของเขา

มันเหมือนกับการควบคุมหุ่นเชิด

และโดยพื้นฐานแล้ว มันก็เป็นคาถาพิเศษ

แต่ถึงกระนั้น มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พระตูฟารู้สึกสิ้นหวัง

หลังจากที่หุ่นเชิดบินขึ้นไปบนท้องฟ้า มันก็เผชิญหน้ากับกำปั้นขนาดใหญ่ที่ทุบลงมาอย่างไร้ความปราณี มันยกมือขวาขึ้นและกางนิ้วออก

จากนั้นมันก็ฟาดขึ้นไปบนท้องฟ้า!

บู้มมมม!

เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวบนท้องฟ้า

แสงกระบี่สีเขียวยาวพันฟุตพุ่งออกมาจากนิ้วของหุ่นเชิด

พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า!

มันเหมือนกับกระบี่ขนาดใหญ่ที่สามารถผ่าสวรรค์และปฐพีออกจากกันได้ มันฟันไปที่กำปั้นของพระตูฟา