ตอนที่ 222

บทที่ 222 : ตำหนักเต๋าอี้ นักพรตสามหยาง

ตำหนักเต๋าอี้ของโลกสูญสวรรค์นั้นงดงามกว่าตำหนักเต๋าอี้ของต้าจิน

ยอดเขาเก้ายอดตั้งตระหง่านอย่างภาคภูมิ มันสูงตระหง่านกว่า 10,000 ฟุตและทอดยาวขึ้นไปบนท้องฟ้า

ยอดเขาทุกลูกดูเหมือนกับเสาศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และปฐพี มันงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้

บนยอดเขาทั้งเก้ามีตำหนักตั้งอยู่

มันตั้งขึ้นอยู่บนยอดเมฆ พวกมันถูกอาบด้วยแสงจากดวงอาทิตย์

ซุยเฮ็งไม่ได้จงใจซ่อนเร้นออร่าของเขา

แต่แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ปล่อยพวกมันออกมาทั้งหมด

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ปลดปล่อยพลังปราณของเขาออกไปไม่ถึงหนึ่งในหมื่น

ถึงกระนั้น มันก็เหนือกว่าขอบเขตแก่นแท้ทองคำขั้นสมบูรณ์มาก

ท้ายที่สุดแล้ว ซุยเฮ็งในปัจจุบันก็สามารถฆ่าผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ทองคำขั้นสมบูรณ์นับพันคนได้ในทันทีด้วยเลือดเพียงหยดเดียว

และสิ่งที่เรียกว่าเซียนทองนั้นก็เทียบได้กับแค่ขอบเขตแก่นแท้ทองคำขั้นปลายเท่านั้น

ในเวลาเดียวกัน บนยอดเขาเทียนอี้ตรงกลางของยอดเขาทั้งเก้า หน้าตำหนักเต๋าอี้ที่สร้างขึ้นมาใหม่ นักพรตสามหยางกำลังเทศสอนเหล่าศิษย์ของเขาอยู่

ที่ลานด้านหน้า มีเซียนมนุษย์มากกว่าร้อยคน เซียนปฐพีมากกว่า 30 คนและเทวามากกว่า 10 คน นอกจากนี้ มันก็มีราชาสวรรค์ถึงสามคน

นี่เป็นเพียงผู้ที่กำลังเข้าร่วมการเทศนาเต๋าของนักพรตสามหยาง มันยังไม่ใช่ขุมกำลังทั้งหมดของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม มันก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่ารากฐานของสำนักหมื่นปีนี้ลึกซึ้งเพียงใด

ไม่ว่าจะเป็นเทวาหรือราชาสวรรค์ ทุกคนก็ยังคงตื่นเต้นมากเมื่อเผชิญหน้ากับนักพรตสามหยาง พวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะได้ฟังข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเต๋า

นี่คือปรมาจารย์บรรพบุรุษผู้สืบทอดมรดกของตำหนักเต๋าอี้ในโลกสูญสวรรค์ ในเวลาเดียวกัน เขาก็คือคนค้ำแรงกดดันของสำนักเซียนทั้งเก้า และนำตำหนักเต๋าอี้พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้เอง ศิษย์ของตำหนักเต๋าอี้ทุกคนจึงเป็นหนี้บุญคุณนักพรตสามหยาง

พวกเขาให้ความเคารพต่อนักพรตสามหยางเป็นอย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะที่เป็นเซียนทองครึ่งขั้น นักพรตสามหยางก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับกฎแห่งสวรรค์และปฐพีและแนวคิดเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้

ในอดีต ทุกครั้งที่มีการเทศนาและการต่อสู้ หลายคนก็จะได้รับแรงบันดาลใจอย่างลึกซึ้งจากเขา

สิ่งนี้ทำให้การเทศนาของนักพรตสามหยางนั้นมีผู้เข้าร่วมอย่างล้นหลามในทุกๆ ครั้งที่เขาเทศ แม้แต่บนหลังคาก็ยังเต็มไปด้วยผู้คน

โดยปกติแล้ว เมื่อนักพรตสามหยางนั่งลงบนเบาะทำสมาธิหน้าตำหนักเต๋าอี้ เขาก็จะพูดบางอย่างที่คล้ายกับคำปราศรัยเปิดให้ทุกคนฟังก่อนที่จะเริ่ม

แต่คราวนี้ มันก็ดูแตกต่างออกไปเล็กน้อย

หลังจากที่นักพรตสามหยางนั่งลงบนเบาะทำสมาธิแล้ว เขาก็ไม่พูดอะไร เขาหลับตาลงราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง

ไม่นาน เหงื่อเย็นก็ไหลออกมาจากบนหน้าผากของเขาอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง และใบหน้าของเขาก็เผยให้เห็นถึงความเหลือเชื่อ การจ้องมองของเขาเต็มไปด้วยความกลัว

“ ท่านอาจารย์ มีอะไรรึเปล่า” ราชาสวรรค์อดไม่ได้ที่จะเอนตัวไปถาม เขามองไปที่นักพรตสามหยางด้วยความกังวลอย่างมาก และสีหน้าของเขาก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย “ ท่านอาจารย์ ท่านสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างอย่างงั้นหรอ?”

ราชาสวรรค์คนนี้เป็นศิษย์คนที่เจ็ดของนักพรตสามหยาง ในบรรดาทุกคนที่อยู่ที่นี่ในปัจจุบัน นอกจากนักพรตสามหยางแล้ว เขาก็เป็นผู้ที่มีอายุมากที่สุดและมีขอบเขตการฝึกตนที่สูงที่สุด

ส่วนศิษย์อีกหกคนก็ได้ล่วงลับไปนานแล้ว

คนเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 3,000 ปีหากไม่ได้เป็นเทพลึกลับ และแม้ว่าใครจะกลายเป็นเทพลึกลับได้ แต่หากพวกเขาไม่มีวิธียืดอายุขัยหรือเข้าถึงสมุนไพรวิญญาณอายุวัฒนะ พวกเขาก็จะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าพันปีเท่านั้น

“ ข้าสบายดี” นักพรตสามหยางส่ายหัวเบาๆ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและคำนับอีกครั้งอย่างเคารพ “ ผู้อาวุโส ในเมื่อท่านมาถึงนี่แล้ว ท่านจะสามารถแสดงตัวได้หรือไม่?”

ศิษย์ของตำหนักเต๋าอี้หลายคนในปัจจุบันตกตะลึงเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ พวกเขามองขึ้นไปที่บรรพบุรุษของพวกเขาก่อนที่จะมองไปบนท้องฟ้าด้วยความสับสน

ปรมาจารย์บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นเซียนทองครึ่งขั้นที่มีอายุยืนยาว

และตอนนี้ เขาก็ได้เรียกคนๆ หนึ่งว่า “ผู้อาวุโส” และยังถึงกับโค้งคำนับเพื่อต้อนรับเขาด้วยความเคารพ

สิ่งนี้ทำให้ความเข้าใจของศิษย์ทั้งหมดในตำหนักเต๋าอี้พังทลาย

จากนั้นพวกเขาก็เห็นเมฆสีทองค่อยๆ ลอยลงมาจากบนท้องฟ้า ชายหนุ่มรูปหล่อสวมชุดคลุมสีเขียวอ่อนยืนอยู่บนนั้น และข้างหลังเขาคือนักพรตวัยกลางคนที่มีท่าทีเต็มไปด้วยความเคารพ

พวกเขาคือซุยเฮ็งและจางซูหมิง

เมื่อศิษย์ของตำหนักเต๋าอี้เห็นซุยเฮ็งและจางซูหมิง พวกเขาก็แสดงความงงงวยออกมา พวกเขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันมีอะไรที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับชายคนสองคนนี้ และเหตุใดปรมาจารย์บรรพบุรุษจึงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเคารพนับถือ

อย่างไรก็ตาม เมื่อซุยเฮ็งและจางซูหมิงลงจอดและระยะห่างระหว่างพวกเขาลดลง ศิษย์เหล่านี้ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ในทันที

พวกเขารู้สึกราวกับว่าภูเขาลูกใหญ่กำลังกดทับหัวใจของพวกเขาอยู่ มันทำให้ความคิดของพวกเขาช้าลง หัวใจของพวกเขาเต้นช้าลง และร่างกายของพวกเขาก็รู้สึกเหมือนกำลังหายใจไม่ออก

ศิษย์ของตำหนักเต๋าอี้ในปัจจุบันอย่างน้อยก็เป็นเซียนมนุษย์ ฉะนั้นแล้วสภาพร่างกายเช่นนี้จึงไม่ควรเกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อซุยเฮ็งลงมาและเข้ามาใกล้กับพวกเขา พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลัง

นี่คือการปราบปรามแก่นแท้ชีวิต

ในบรรดาศิษย์ของตำหนักเต๋าอี้เหล่านี้ เซียนมนุษย์คนหนึ่งก็มุ่งความสนใจไปที่จางซูหมิง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและสับสน

จางซูหมิงเองก็สังเกตเห็นเซียนมนุษย์คนนี้เช่นกัน และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรในตอนนี้

ซุยเฮ็งมองไปที่นักพรตสามหยางซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นและยิ้ม “ โปรดลุกขึ้นเถิด เราไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน แม้ว่าข้าจะมีการฝึกตนอยู่บ้าง แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องโค้งคำนับด้วยความเคารพเช่นนี้”

“…” นักพรตสามหยางดูเหมือนจะตกตะลึงเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เขาหยุดชั่วครู่และเงยหน้าขึ้นมองซุยเฮ็ง จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นและมองไปที่ซุยเฮ็งอีกรอบด้วยความสับสน เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “ ผู้อาวุโส ท่านไม่ใช่ทูตจากเทพเต๋าหรือ?”

“ แน่นอนว่าไม่” ซุยเฮ็งส่ายหัวเบาๆ และยิ้ม “ นามสกุลของข้าคือซุย และข้าก็มาจากโลกเบื้องล่าง”

“ โลกเบื้องล่าง?!” นักพรตสามหยางตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของเขายิ่งสับสนมากขึ้นในขณะที่เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “ ผู้อาวุโส ข้าเคยอ่านหนังสือโบราณมามากมาย ท่านโปรดอย่าล้อข้าเล่นเลย”

แม้ว่านักพรตสามหยางจะเป็นเพียงเซียนทองครึ่งขั้นในตอนนี้ แต่เขาก็ยังรู้ดีว่าพลังของเซียนทองที่แท้จริงนั้นควรมีพลังประมาณใด

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงออร่าของซุยเฮ็ง เขาจึงรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา

เขาไม่สามารถยั่วยุอีกฝ่ายได้ เขาต้องให้เกียรติอีกฝ่าย!

มิฉะนั้นแล้ว ตำหนักเต๋าอี้ทั้งหมดก็อาจจะจบเห่ได้ในทันที!

นอกจากนี้ ตัวตนระดับนี้จะสามารถปรากฏขึ้นในโลกเบื้องล่างได้อย่างไร?

นี่อาจจะเป็นเทพดวงดาวที่ได้ผ่านการฝึกตนมาเป็นเวลานานหรือเปล่า?

อย่างไรก็ตาม เทพดวงดาวนั้นก็ได้ถูกปนเปื้อนเป็นครั้งแรกไปเมื่อ 7,000 ปีก่อน จากนั้นเขาก็ถูกแยกชิ้นส่วนและจับกินเมื่อ 3,000 ปีก่อน แบบนี้แล้วการดำรงอยู่ที่ทรงพลังเช่นนี้จะได้รับการหล่อเลี้ยงขึ้นมาได้อย่างไร?

“ ผู้สมบูรณ์แบบจาง” ซุยเฮ็งไม่ได้อธิบายกับนักพรตสามหยาง เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวและพูดกับจางซูหมิงว่า “ ถึงเวลาของเจ้าแล้ว”

“ ครับท่านเซียนผู้สูงส่ง” จางซูหมิงพยักหน้าเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงประสานมือและโค้งคำนับให้กับนักพรตสามหยาง “ ศิษย์ของตำหนักเต๋าอี้จากโลกเบื้องล่าง จางซูหมิงคารวะท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษ”

“…” นักพรตสามหยางตกตะลึงอีกครั้ง เขามองดูเทวาที่กำลังทำความเคารพด้วยความตกใจ

ในขณะนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกราวกับกำลังฝันไป

ตำหนักเต๋าอี้ในโลกเบื้องล่างมีศิษย์ขอบเขตเทวาด้วยหรอ?

มันไร้สาระขนาดนั้นเลยหรอ?

“ เจ้า เจ้าคือเป็นซูหมิงจริงๆ หรอ!” ในขณะนี้ เซียนมนุษย์ที่สังเกตเห็นจางซูหมิงก่อนหน้านี้ก็ลุกขึ้นยืนและมองเขาด้วยความตกใจ “ เจ้ามาถึงโลกเบื้องบนแล้ว และการฝึกตนของเจ้าก็ยังดีขึ้นมาก!”

“ ซิงฟา นี่คือศิษย์ของเจ้าจากโลกเบื้องล่างอย่างงั้นหรอ?” นักพรตสามหยางหันไปมองเซียนมนุษย์และตกใจมากยิ่งขึ้น

เกิดอะไรขึ้น?!

อาจารย์ของเขายังคงเป็นเซียนมนุษย์อยู่เลย แต่ศิษย์ของเขาก็ได้กลายเป็นเทวาไปแล้ว?

“ เรียนท่านปรมาจารย์ ซูหมิงเป็นศิษย์ของข้าจากโลกเบื้องล่าง นอกจากนี้ เขายังรับตำแหน่งเป็นเจ้าสำนักของตำหนักเต๋าอี้ในโลกเบื้องล่างอีกด้วย” ซิงฟากล่าวด้วยความเคารพ

“ ผู้อาวุโส นี่…” นักพรตสามหยางสับสนอย่างสมบูรณ์และทำได้เพียงมองไปที่ซุยเฮ็งด้วยความสับสน

“ ท่านอาจารย์ ท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษ เรื่องมันเป็นเช่นนี้…” จางชูหมิงรีบอธิบายเหตุผลว่าทำไมเขาถึงติดตามซุยเฮ็งมา

หลังจากได้ยินทุกอย่างแล้ว จัตุรัสหน้าตำหนักเต๋าอี้ก็เงียบลง ศิษย์ทั้งหลายต่างตกตะลึงในขณะที่พวกเขามองไปที่ซุยเฮ็งด้วยความตกใจสุดขีด

ปรากฎว่าบรรพบุรุษของสำนักเซียนอรุณซึ่งเป็นต้นเหตุของความทุกข์ยากเมื่อร้อยปีก่อนก็คือศิษย์ของผู้อาวุโสผู้นี้

ปรากฎว่าปีศาจที่ทำให้สำนักเซียนทั้งเก้าต้องตื่นตระหนกก็คือผู้อาวุโสผู้นี้อีกเช่นกัน

ปรากฎว่าผู้อาวุโสคนนี้ได้ทำลายสำนักเอกาสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ลงไปแล้ว และได้เปลี่ยนสำนักเซียนทั้งเก้าให้กลายเป็นสำนักเซียนทั้งแปดแทน!

ปรากฎว่าจักรพรรดินีแห่งต้าโจวและเทวาเป่ยแห่งหลินเจียงต่างก็เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสผู้นี้…

แบบนี้แล้ว…

หลังจากที่จางซูหมิงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของซุยเฮ็งเสร็จสิ้น ซุยเฮ็งก็อยู่ในหัวใจของศิษย์ทั้งหมดในตำหนักเต๋าอี้แล้ว

เขามีอำนาจทุกอย่าง

แม้แต่นักพรตเต๋าสามหยางก็ยังตกใจสุดขีด หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็พูดกับซุยเฮ็งว่า “ ผู้อาวุโส ข้ารู้แล้วว่าทำไมท่านถึงมาที่นี่”

“ แต่หนังสือของสำนักเราก็เป็นรากฐานของมรดกของเรา อีกทั้งมันก็ยังเป็นเส้นชีวิตที่สืบทอดต่อกันมาเป็นหมื่นปี มันมีความลับหลักมากมายของตำหนักเต๋าอี้ของเรา…”

“ ข้าสามารถช่วยเซียนมนุษย์มากกว่าร้อยคนที่นี่เพื่อควบรวมเจตจำนงที่แท้จริงของพวกเขาและทำให้พวกเขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนปฐพีได้เลยทันที” ซุยเฮ็งกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้ตั้งใจจะบีบบังคับอะไรอีกฝ่าย นั่นมีแต่จะเป็นผลเสียและไม่ได้มีความจำเป็นเลย

“ ทั้งหมดเลยหรอ? ควบรวมเจตจำนงที่แท้จริงของพวกเขา…” ดวงตาของนักพรตสามหยางเบิกกว้าง เขาหันไปมองกลุ่มศิษย์เซียนมนุษย์โดยไม่รู้ตัว และตระหนักได้ว่าพวกเขาทั้งหมดกำลังตึงเครียดและตั้งหน้าตั้งตารอคำตอบ

“ หากนั่นยังไม่พอใจ ข้าก็ยังสามารถช่วยเซียนปฐพีทั้งหมดที่นี่ควบแน่นโลหิตเทวาได้” ซุยเฮ็งกล่าวต่อ “ ในขณะเดียวกัน ข้าก็ยังสามารถช่วยเทวาทั้งปวงควบรวมเทวรูปธรรมของตนให้เป็นเซียนสวรรค์ได้”

เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ นักพรตสามหยางก็ตกตะลึงไปในทันที

“ นอกจากนี้ ข้าก็ยังเห็นว่าที่นี่ยังมีเทวาถึงสามคน ทำไมเจ้าไม่ให้ข้าช่วยขัดเกลาเทวรูปธรรมของพวกเขาด้วยและช่วยให้พวกเขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทพลึกลับล่ะ?” ซุยเฮ็งกล่าวด้วยรอยยิ้ม

สำหรับเขาแล้ว การทำสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องง่ายมาก

เขาเพียงต้องระดมพลังปราณเพื่อทำมันให้สำเร็จ

มันง่ายมาก

“ นอกจากนี้ ข้าก็เห็นว่าเจ้า…” ในท้ายที่สุด ซุยเฮ็งก็มองไปที่นักพรตสามหยางอีกครั้ง

“ ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสโปรดอย่าพูดอีกต่อไปเลย” นักพรตสามหยางรีบโบกมือและหายใจเข้าลึกๆ “ ผู้อาวุโสโปรดตามข้ามา”

“ ขอบคุณ” ซุยเฮ็งเผยรอยยิ้มที่พึงพอใจ

จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกจากจัตุรัสกลางของตำหนักเต๋าอี้ไป

พวกเขาทิ้งศิษย์ตำหนักเต๋าอี้ที่กำลังตกตะลึงเอาไว้เบื้องหลัง พวกเขายังสงสัยว่าพวกเขาเพิ่งเห็นภาพหลอน

มิฉะนั้นแล้ว มันก็จะแปลกประหลาดเกินไป

จางซูหมิงผู้ซึ่งถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลังด้วยได้กลายมาเป็นจุดสนใจของทุกคนในทันที

...

มีหนังสือมากมายในตำหนักเต๋าอี้

และพวกมันทั้งหมดก็ถูกจัดเก็บโดยแยกจากกัน

มันมีห้องสมุดอยู่บนยอดเขาทั้งเก้าแห่ง

ภายในมีหนังสือนับไม่ถ้วนที่ตำหนักเต๋าอี้ได้เก็บสะสมมาเป็นเวลา 10,000 ปี

และตอนนี้ ซุยเฮ็งและนักพรตสามหยางก็ได้มาถึงห้องสมุดของยอดเขาเทียนอี้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเข้าห้องสมุด ซุยเฮ็งก็ได้มองไปที่นักพรตสามหยางและหัวเราะเบาๆ “ เจ้าไม่ใช่นักพรตสามหยางตัวจริงใช่ไหม?”