บทที่ 247 : หงหยินและซวนเหริน
หลี่เฉิงและ หลี่เว่ยเลิกต่อต้านหลังจากได้ฟังคำพูดของฮั่วซานและติดตามมังกรเพลิงไปยังเขตฉางเฟิง
นี่เป็นการตัดสินใจของซุยเฮ็ง
เขาจะปล่อยให้คนจากดาวชงหยางทั้งสองนี้อยู่ที่เขตฉางเฟิงไปก่อน ด้วยฮั่วซานที่อยู่ที่นั่น หากมีอะไรเกิดขึ้น เขาก็จะสามารถจัดการกับอีกฝ่ายได้ในทันทีและมันก็จะไม่สร้างปัญหามากมายนัก
นอกจากนี้ ซุยเฮ็งก็จะลงมาที่เมืองฉางเฟิงอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้น การพบกับ “มนุษย์ต่างดาว” ทั้งสองนี้ก็จะสะดวกกว่า
ไม่เพียงแต่หลี่เฉิงและหลี่เว่ยจะไม่รู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติกับเรื่องนี้เท่านั้น แต่พวกเขายังรู้สึกดีใจมาก
ในความเห็นของพวกเขา มันก็นับว่าโชคดีมากแล้วที่คนนอกอย่างพวกเขาไม่ได้ถูกฆ่าและปิดผนึก
ไม่ต้องพูดถึงว่าเขตฉางเฟิงได้จัดที่อยู่อาศัยให้กับพวกเขาเป็นพิเศษเลย นอกจากนี้พวกเขายังส่งคนมาจัดการเรื่องอาหาร เสื้อผ้า และที่พักเป็นพิเศษอีกด้วย
พวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ในฐานะแขก
ในลานบ้านเมืองฉางเฟิง
หลี่เฉิงและหลี่เว่ยมองไปที่โต๊ะอาหารอันโอชะเบื้องหน้าพวกเขาและมองหน้ากัน
“ พี่ชาย ท่านคิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น” หลี่เว่ยถามเสียงเบาและชี้ออกไปข้างนอก เธอถามด้วยสีหน้างุนงง “ พวกเขาไม่กลัวพวกเราจะสร้างปัญหาหรอ?”
“ ข้าเกรงว่ามันจะไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้นที่ไม่กลัวพวกเราจะสร้างปัญหา” หลี่เฉิงยิ้มและใช้ตะเกียบคีบอาหารขึ้นมา ดวงตาของเขาเป็นประกายและเขาก็ชมว่า “ รสชาติดีมาก พ่อครัวที่นี่ฝีมือไม่เลวเลย มันดีกว่าที่เราเคยกินในจูเหอมาก”
“ พี่ชาย!” หลี่เว่ยไม่พอใจอย่างมากกับการกระทำของพี่ชายของเธอ
“ อย่ากังวลไปเลย” หลี่เฉิงยิ้มและกินอาหารอีกคำ เขามองไปข้างนอกและพูดเสียงเบาว่า “ ข้าเดาว่าเขาคงจะไม่สนแม้แต่สำนักมรณาเก้าสวรรค์หรือแม้แต่ดาวชงหยางทั้งหมด”
“ ห้ะ?!” ดวงตาของหลี่เว่ยเบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอถามด้วยความเหลือเชื่อ “ เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าซุยเฮ็งจะเป็นปราชญ์ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเพิกเฉยต่อดาวชงหยางทั้งหมดได้จริงไหม?”
มันมีปราชญ์ทั้งหมดสามคนในดาวชงหยาง
ในโลกนับไม่ถ้วน มันก็เป็นพลังที่ทรงพลังอย่างยิ่ง การดำรงอยู่แบบไหนกันจะกล้าเพิกเฉยต่อดาวชงหยางทั้งหมด?
เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับตำนานที่จุดสูงสุดของขอบเขตที่หก หรือผู้ฝึกตนขอบเขตที่เจ็ดอย่างงั้นหรอ?
“ มันเป็นไปไม่ได้ที่ซุยเฮ็งจะเป็นเพียงปราชญ์” หลี่เฉิงส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ เจ้าลืมไปแล้วหรอ? ทัศนคติของมังกรเพลิงที่มีต่อเรานั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเกินไป”
“ ชั่วขณะหนึ่ง มันก็ต้องการที่จะโอบล้อมเราเอาไว้ในทะเลเพลิง และจะไม่มีวันปล่อยเราไปจนกว่ามันจะค้นพบตัวตนของเรา แต่แล้วในวินาทีต่อมา จู่ๆ มันก็หยุดที่จะโจมตีเรา”
“ การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันดังกล่าวจะต้องมาจากคำสั่งของบุคคลอื่นอย่างแน่นอน และคนๆ นั้นก็คือซุยเฮ็ง ยิ่งไปกว่านั้น การแจ้งเตือนก็ยังมาอย่างทันท่วงทีจนข้าเองก็ยังต้องสงสัยว่าการกระทำของเราได้ถูกเปิดเผยไปตั้งแต่ต้นแล้วหรือไม่”
“ และหากมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ การรับรู้ที่ทรงพลังนี้จะหมายความว่าอะไร? แม้แต่ปราชญ์ก็ยังทำไม่ได้!”
“ ไม่ ไม่มีทาง!” หลี่เว่ยตกตะลึงเมื่อได้ยินการคาดเดานี้ เธอขมวดคิ้วและพูดว่า “ เราเป็นปิดบังตัวตนมาโดยตลอด มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะถูกค้นพบ”
“ ยิ่งกว่านั้น เราทั้งคู่ต่างก็เป็นเซียนอนันต์ทอง มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะถูกตรวจสอบได้ตลอดเวลา...”
เมื่อมาถึงจุดนี้ จู่ๆ เธอก็หยุดและส่ายหัว “ ถ้าซุยเฮ็งดำรงอยู่เหนือขอบเขตปราชญ์จริง งั้นการคาดเดานี้ก็คงจะเป็นไปได้จริงๆ… พี่ชาย ข้าเริ่มกลัวนิดหน่อยแล้ว”
เธอไม่กลัวแม้แต่น้อยเมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับฮั่วซานก่อนหน้านี้
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าฮั่วซานจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่มันก็ยังอยู่ที่ขอบเขตเซียนอนันต์ทองเท่านั้น มันยังไม่สามารถดึงแก่นแท้เซียนของพวกเขาออกมาจากร่างได้ และอย่างมากที่สุด มันก็สามารถทำได้เพียงผนึกพวกเขาเท่านั้น มันจะไม่สามารถฆ่าพวกเขาได้
แต่การดำรงอยู่ที่เหนือกว่าขอบเขตปราชญ์นั้นแตกต่างกัน อีกฝ่ายสามารถฆ่าพวกเขาได้โดยตรง!
“ ไม่ต้องกลัวหรอก” หลี่เฉิงส่ายหัวและยิ้ม เขายังคงคีบอาหารด้วยตะเกียบและวางไว้ในชามของหลี่เว่ย “ อย่าไปคิดมาก คนเหล่านี้ไม่ได้มีอันตรายใดๆ”
“ ในสถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งอีกฝ่ายแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น และโอกาสที่เราจะมีชีวิตรอดในตอนท้ายนั้นก็ยิ่งมีมากขึ้นไปอีก เราสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อทำความเข้าใจซุยเฮ็งและดูว่าเขาเป็นคนแบบไหนได้”
“ เห้อ พวกเราโชคไม่ดีจริงๆ” หลี่เว่ยขมวดคิ้วและพูดอย่างหดหู่ว่า “ มันไม่ง่ายเลยที่เราจะหาเบาะแสเกี่ยวกับคนที่ฆ่าปู่ทวด ข้าคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดี แต่ข้าก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าสิ่งต่างๆ จะมาจบลงในสภาพเช่นนี้”
“ อย่างนั้นหรอ?” หลี่เฉิงไม่ได้เห็นด้วยกับเธอ เขาส่ายหัวและหัวเราะเบาๆ “ ไม่นะ ในความคิดของข้า การเผชิญหน้าในครั้งนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะทั้งหมด”
“ ทำไมล่ะ?” หลี่เว่ยถามด้วยความสงสัย
“ มันเป็นเพราะซุยเฮ็งคนนี้นี่แหละ” หลี่เฉิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ ถ้าเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเราจริงๆ งั้นสำหรับเราแล้ว มันก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้รู้จักคนสำคัญ นี่เป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ที่อาจเหนือกว่าปราชญ์!”
“ ใช่แล้ว!” หลี่เว่ยเองก็เข้าใจและยิ้มอย่างตื่นเต้น
“ เราต้องศึกษาอย่างถี่ถ้วนถึงวิธีการทำสิ่งต่างๆ ของเขา” หลี่เฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
….
ทวีปกลางของต้าจิน
เช่นเดียวกับที่ราชสำนักต้าเว่ยได้ก่อตั้งขึ้นมาจากอัฐิของราชสำนักต้าโจว นครหลวงแห่งนี้ก็ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากบนซากปรักหักพังของนครหลวงต้าโจวด้วยเช่นกัน
เมื่อ 80 ปีก่อน จักรพรรดิไท่จูแห่งแคว้นเว่ย หวังซานจุนมีอายุได้ 27 ปี เขาได้นำทัพบุกเข้าโจมตีนครหลวงต้าโจวด้วยความช่วยเหลือจากนายกรัฐมนตรีอู๋หยิน
จักรพรรดิองค์สุดท้ายเว่ยอี้รู้ดีว่าเวลาของเขาได้หมดลงแล้ว ดังนั้นเขาจึงเผาตำหนักทั้งหมดและตายตกลงในกองทะเลเพลิงในขณะที่หัวเราะออกมา เขายุติชีวิตที่ไร้สาระของเขาและนำทั้งนครหลวงทั้งหมดจมลงสู่กองเถ้าถ่าน
ในเวลาเดียวกัน ไฟนี้ก็ได้เผาผลาญกลุ่มอภิสิทธิ์ชนต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในราชสำนักจนหมดสิ้น
เหล่าขุนนางได้กลายเป็นผุยผงไปหมด
ตั้งแต่นั้นมา ระเบียบใหม่ก็ได้ถูกสร้างขึ้นพร้อมกับตำหนักหลังใหม่
ผู้ก่อตั้งต้าเว่ยได้ขนานนามรัชกาลของตนว่า “หงหยิน”
หยินหมายถึงมรดก และยังเป็นชื่อของนายกรัฐมนตรีอู๋หยินด้วย
สิ่งนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของจักรพรรดิไท่จูแห่งต้าเว่ย หวังซานจุนที่จะสืบทอดเจตจำนงของหงหวู่ และยังแสดงความเคารพและขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่ออู๋หยิน นายกรัฐมนตรีและอาจารย์ของเขา
ในอีก 60 ปีต่อมา หวังซานจุนทำงานอย่างหนักเพื่อปกครองและเสริมสร้างความเข้มแข็งของประเทศและประชาชน เขามักจะนำกองทหารออกสำรวจเพื่อขยายดินแดนและขยายอาณาเขตของต้าเว่ย และมันก็ขยายออกไปถึง 21 รัฐ
ในปีที่ 42 ของรัชกาลหงหยิน นายกรัฐมนตรีอู๋หยินได้ให้คำแนะนำว่า เขาควรต้องทิ้งงานไว้ให้กับลูกหลานของเขาได้ทำบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้ว จักรพรรดิหงหยินผู้นี้ก็คงจะสามารถขยายอาณาเขตออกไปได้ถึง 30 รัฐแล้ว
แต่ถึงกระนั้น ประเทศต้าเว่ยก็ยังมีอำนาจ พลเมืองมีความมั่งคั่ง และอาณาเขตของพวกเขาก็กว้างใหญ่ที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์
ภายใต้การนำของจักรพรรดิหงหยิน ต้าเว่ยทั้งหมดก็ได้ผงาดขึ้น
ในที่สุดเมื่อ 20 ปีก่อน ในปีที่ 60 แห่งของรัชกาลหงหยิน หวังซานจุนซึ่งมีอายุได้ 87 ปีแล้วได้ประกาศสละราชบัลลังก์และมอบบัลลังก์ให้กับพระโอรส
จักรพรรดิถูกเปลี่ยนเป็นซวนเหริน
ในฐานะจักรพรรดิที่เกษียณแล้ว เขาก็ใช้ชีวิตอย่างสันโดษในวังและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกต่อไป
เช่นเดียวกัน พลังของต้าเว่ยก็ได้ถูกส่งต่อไปอย่างราบรื่น
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากจักรพรรดิหงหยินยังอยู่ในพระราชวัง กลุ่มคนที่ถูกปราบปรามก่อนหน้านี้จึงทำได้เพียงอดทนต่อไป
พวกเขาไม่กล้าที่จะโต้กลับเลย
ตอนนี้เป็นปีที่ 20 ของซวนเหรินแล้ว จักรพรรดิองค์นี้เป็นผู้ปกครองที่ดีมาก
ในขณะที่สืบทอดความสำเร็จของจักรพรรดิหงหยิน เขาก็ยังเดินอย่างมั่นคงตามเส้นทางการปกครองของหงหวู่ เขาปล่อยให้ความแข็งแกร่งของต้าเว่ยเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง
และจนถึงทุกวันนี้ พลเมืองของต้าเว่ยก็ล้วนร่ำรวยมาก มันแทบจะไม่มีปีใดที่ฝนแล้ง และอาณาเขตของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเป็น 23 รัฐ
ไม่ว่าจะเป็นสามัญชนหรือในราชสำนัก ทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยการสรรเสริญจักรพรรดิซวนเหริน
อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิซวนเหรินก็ไม่เคยนิ่งนอนใจ เขารู้ดีว่าผลลัพธ์ในปัจจุบันนั้นไม่ใช่ผลงานของเขาเอง
นี่เป็นเพราะตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นครองราชย์ จักรพรรดิซวนเหรินก็ได้พัฒนานิสัยที่จะกลับวังทุกๆ วันเพื่อถามพระบิดาของตนเกี่ยวกับการเมือง ต่อมา ภายใต้การชักจูงของหวังซานจุน เขาก็เปลี่ยนเป็นขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการเมืองในทุกๆ เดือน
วันนี้เป็นวันที่เขาจะมาปรึกษาพระบิดาของเขาเกี่ยวกับเรื่องการเมืองอีกครั้ง
หลังจากที่จักรพรรดิซวรเหรินถอนตัวออกมาจากราชสำนัก เขาก็ได้ส่งขันทีส่วนพระองค์ออกไปและมาที่โถงเจียงเฮ็งเพียงลำพัง
นี่คือที่ที่จักรพรรดิหงหยินอาศัยอยู่
“ ลูกขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ” จักรพรรดิซวนเหรินโค้งคำนับด้วยความเคารพ ในปีนี้ เขาก็อายุเกือบ 70 ปีแล้ว แต่ร่างกายของเขาก็ยังแข็งแรง และการกระทำของเขาก็ไม่ได้ดูเทอะทะเลย
“ เข้ามาได้” เสียงของหวังซานจุนดังมาจากข้างใน “ เจ้าอายุมากแล้ว อย่ามาคุกเข่าบ่อยๆ เลย ข้ากลัวว่าเจ้าจะตายต่อหน้าข้าในสักวันจริงๆ”
“ การฝึกตนของเสด็จพ่อนั้นลึกซึ้งและอายุขัยของท่านก็ช่างยาวนาน ลูกชายของท่านไม่สามารถเปรียบเทียบกับท่านได้เลย” จักรพรรดิซวนเหรินยิ้มในขณะที่เขาเดินเข้าไปในโถงเจียงเฮ็งและเห็นหวังซานจุนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนผ้าลินิน
หวังซานจุนในปัจจุบันมีอายุมากกว่าร้อยปีแล้ว แต่เขาก็ยังดูเหมือนคนอายุ 56 ปี
โดยเฉพาะดวงตาของเขา พวกมันเต็มไปด้วยแสงแห่งสวรรค์และดูอ่อนเยาว์มาก เขาดูอ่อนกว่าจักรพรรดิซวนเหรินสิบถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ
“ แล้วทำไมเจ้าถึงไม่อยากฝึกศิลปะการต่อสู้ล่ะ?” หวังซานจุนส่ายหัวและถอนหายใจ “ บอกข้ามาว่าคราวนี้เจ้าต้องการจะมาถามอะไร”
“ เสด็จพ่อ ช่วงเวลา 100 ปีใกล้จะมาถึงแล้ว” จักรพรรดิซวนเหรินกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ ตามธรรมเนียมแล้ว เทพปฐพีแห่งโลกเบื้องบนก็จะลงมาในอีกไม่ช้า และในอีกสองถึงสามเดือน เซียนและพระพุทธเจ้าก็จะลงมา”
“ นี่เป็นครั้งแรกที่ต้าเว่ยของเราจะได้มีปฏิสัมพันธ์กับโลกเบื้องบน ดังนั้นข้าจึงอยากถามความเห็นของท่าน มันจะดีกว่าไหมที่จะจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง?”
“ เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้” หวังซานจุนยืนขึ้นและตบไหล่ของจักรพรรดิซวนเหรินอย่างแผ่วเบา เขายิ้มและพูดว่า “ ข้าเข้าใจสถานการณ์และวางแผนมานานแล้ว”
“ เจ้าอาจไม่รู้ แต่อุบัติเหตุหนึ่งได้เกิดขึ้นเมื่อร้อยปีที่แล้ว สิ่งนี้ทำให้เหล่าเซียนและพระพุทธเจ้าส่วนใหญ่อาจจะไม่กล้าลงมาอีกต่อไป และพรุ่งนี้ ข้าก็จะไปที่เขตฉางเฟิงเป็นการส่วนตัวเพื่อต้อนรับท่านเซียนซุย”
“ เอ่อ?!” จักรพรรดิซวนเหรินรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ เสด็จพ่อ ท่านกำลังพูดถึงท่านเซียนซุยที่ท่านบูชามาตั้งแต่สมัยก่อนนั่นน่ะหรอ?”
“ ถูกต้อง” หวังซานจุนพยักหน้า สีหน้าของเขาดูเหมือนกับคนที่กำลังหลงอยู่ในความทรงจำ “ ชีวิตของข้าเปลี่ยนไปหลังจากที่ข้าได้พบกับท่านเซียนซุยคนนี้”
“ นั่นคือในเมืองเซียนซีมณฑลจูเหอ ตอนนั้นชื่อของข้ายังคงเป็นหวังหู…”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved