ตอนที่ 140

บทที่ 140 : ผู้ว่าการรัฐทั้งหลายโปรดมาฆ่าฉันเถอะ!

แม้ว่าบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งจะไม่ได้พูดแบบนี้ แต่พวกเธอก็ยังรู้สึกว่าพวกเธอต้องทำงานหนักเพื่อมัน

ในอดีตเมื่อไม่มีผู้นำ มันก็ไม่เป็นไรหากพวกเธอจะผนึกภูเขาไว้เมื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตความเป็นความตาย

แต่ตอนนี้พวกเธอก็มีเซียนอย่างปรมาจารย์ปู่คอยหนุนหลังแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องปิดบังอีกต่อไป

พวกเธอต้องพัฒนาอย่างจริงจัง!

พวกเธอต้องทำให้ชื่อของสำนักเซียนอรุณโด่งดังไปทั่วโลก

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเธอก็ยังต้องทำพิธีให้เสร็จก่อนกำหนด 100 ปี

เมื่อถึงเวลานั้น พวกเธอก็จะแสดงให้เซียนและพระอรหันต์ได้เห็นว่าสำนักเซียนอรุณนั้นไม่ได้ปราศจากผู้สนับสนุน

เซียนและพระอรหันต์แห่งโลกเบื้องบนไม่ใช่ฝ่ายที่จะสามารถกดขี่พวกเธอได้อีกต่อไป

อันที่จริง ซุยเฮ็งก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้

แน่นอน เขาไม่ได้คัดค้านพวกเธอ ดังนั้นพวกเธอจึงได้รับการอนุมัติจากเขา

มันไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะทำงานหนักและพัฒนาตนเอง

หลังจากที่คนจากสำนักเซียนอรุณจากไป เขาก็ไปหาจางซูหมิง “ ผู้สมบูรณ์แบบจาง เจ้าเคยได้ยินเรื่องตำหนักมหาราชันไหม?”

“ ตำหนักมหาราชัน?” จางซูหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “ ไม่เลย ข้าไม่เคยเห็นบันทึกใดๆ เกี่ยวกับชื่อนี้เลย…”

ขณะที่เขาพูด มันก็ดูเหมือนเขาจะคิดเรื่องอื่นไปด้วย “ อย่างไรก็ตาม บางทีตำหนักเต๋าอี้โบราณก็อาจจะมีคำตอบให้ท่านได้”

เห็นได้ชัดว่าเขาหมายถึงตำหนักเต๋าอี้จากโลกเบื้องบน

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือตำหนักเต๋าอี้แห่งโลกสูญสวรรค์

โลกสูญสวรรค์นั้นแตกต่างออกไป

ย้อนกลับไปในตอนนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดหลายคนของตำหนักเต๋าอี้ก็ได้ขึ้นไปยังโลกสูญสวรรค์และสร้างสำนักขึ้นมาใหม่ที่นั่น พวกเขาจะต้องบันทึกหนังสือใหม่ตามความรู้ของพวกเขาอย่างแน่นอน

และเนื่องจากปรมาจารย์บรรพบุรุษเหล่านี้เป็นผู้ดำรงอยู่ในสมัยโบราณ ดังนั้นพวกเขาส่วนใหญ่จึงเคยอ่านบันทึกฉบับสมบูรณ์ของตำหนักเต๋าอี้

“ อืม” ซุยเฮ็งพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นเขาก็มองไปที่จางซูหมิงด้วยรอยยิ้ม “ ผู้สมบูรณ์แบบจางมีแรงจูงใจอะไรซ่อนเร้นอยู่ใช่ไหม?”

“…ดวงตาของท่านเซียนเป็นเหมือนคบเพลิง” จางซูหมิงยิ้มอย่างขมขื่นและถอนหายใจ “ ข้ากังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับตำหนักเต๋าอี้ในโลกเบื้องบน ข้าไม่เห็นผู้อาวุโสของโลกเบื้องบนลงมาในครั้งนี้ ดังนั้นข้าจึงกังวลว่าจะมันจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา”

“ เจ้าอยากจะให้ข้าไปยังโลกสูญสวรรค์ใช่ไหม?” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็ยิ้มและพูดว่า “ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จะรีบเร่งไม่ได้ ข้าจะไปหลังจากทำบางอย่างเสร็จแล้ว”

“ บางอย่าง” นี้ตามธรรมชาติแล้วหมายถึงการหล่อเลี้ยงวิญญาณแรกเกิด

เมื่อแก่นแท้ทองคำได้ไปถึงขอบเขตรวมวิญญาณ มันก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงกับแก่นแท้ชีวิตของเขา และความแข็งแกร่งของเขาก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ระดับสั่นสะเทือนโลกเช่นกัน

มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากจะบอกว่าเขาจะอยู่เหนือโลกมนุษย์ทั้งมวล

ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้นในโลกสูญสวรรค์

อันที่จริง ตามแผนเดิมของซุยเฮ็ง เขาก็ต้องการที่จะฝึกตนที่นี่ต่อไป

มันจะดีที่สุดถ้าเขาสามารถฝึกฝนจนกระทั่งเขาก้าวข้ามความทุกข์ยากและไปถึงขอบเขตมหายานก่อนที่จะบรรลุเต๋าและกลายเป็นเซียนได้

แต่กระนั้น ตอนนี้เขาก็ได้เรียนรู้จากจดหมายของเจียงฉีฉีแล้วว่ามันมีราชาปีศาจไร้เทียมทานถูกปราบปรามอยู่ที่แกนกลางของโลกใบนี้ และเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลย

ด้วยเหตุนี้เอง การไปโลกสูญสวรรค์เพื่อตรวจสอบสถานการณ์จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม นั่นก็คือหลังจากที่เขาไปถึงขอบเขตรวมวิญญาณแล้วเท่านั้น

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการคิดถึงวิธีการรวบรวมแสงแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดให้ได้มากที่สุด

โดยเฉพาะแสงสีแดงและสีขาวที่สื่อถึงความสุขและความรัก

นอกจากนี้ก็ยังมีแสงสีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของความเกลียดชัง

แม้ว่าการใช้คำสั่งใหม่จะสามารถรวบรวมแสงแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดทั้งสามประเภทนี้ได้อย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งนี้ก็มีขีดจำกัด

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ซุยเฮ็งก็เปลี่ยนหัวข้อในทันทีและถามว่า “ผู้สมบูรณ์แบบจาง อะไรคือสิ่งที่ผู้ฝึกตนขอบเขตเทพของตระกูลที่โด่งดังทั้งเจ็ดหรือกลุ่มชั้นนำอื่นๆ เกลียดมากที่สุด?”

“ สิ่งที่พวกเขาเกลียดมากที่สุด?” จางซูหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ มันน่าจะเป็นการขโมยเคล็ดวิชายุทธ์ของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคล็ดลับในการปลุกสมบัติศักดิ์สิทธิ์”

“ ถ้าข้าพิมพ์เคล็ดลับขอบเขตเทพของทั้งเจ็ดตระกูลที่โด่งดังและแจกจ่ายมันไปทั่วโลกล่ะ?” ซุยเฮ็งหัวเราะเบาๆ

“ นี่…” จางซูหมิงพูดด้วยความตกใจ “ พวกเขาอาจจะสาปแช่งท่านทั้งวันทั้งคืนเลยก็ได้!”

“ แบบนั้นก็ดีเลย” ซุยเฮ็งปรบมือและยิ้ม

สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ตระกูลที่โด่งดังทั้งหกนอกเหนือจากตระกูลหวังแห่งหลางหยาเกลียดชังเขาอย่างสุดขีดเท่านั้น แต่มันยังทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตสัมผัสโลกาส่วนใหญ่ในโลกต้องหลั่งน้ำตาด้วยความขอบคุณด้วย

เขาสามารถเก็บเกี่ยวแสงสีดำ สีม่วง สีแดง และสีขาวได้ในเวลาเดียวกัน

มันเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ!

ในด้านของแสงสีเหลือง กระดูกหยกของพระโพธิสัตว์ก็ยังคงสร้างปัญหาอยู่ในหยูโจว มันเติบโตอย่างรวดเร็วและอาจจะไปถึงสามฟุตในอีกไม่กี่วัน

มันเหลือเพียงแสงสีเขียวและแสงสีเทาที่เป็นสัญลักษณ์ของความกลัวและความเศร้าโศก

แม้ว่าเขาจะรวบรวมพวกมันได้มากมายจากตอนที่เขาอยู่ในเมืองหยุนชูแต่มันก็ก็ยังห่างจากสามฟุตอยู่บ้างเล็กน้อย

ซุยเฮ็งต้องการจะจับทูตสวรรค์จากโลกเบื้องบนเพื่อรวบรวมแสงสีเขียวและสีเทา

ท้ายที่สุดแล้ว ทูตสวรรค์ทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเทพ พวกมันน่าจะมีประโยชน์มากสำหรับการฝึกตนของเขา

หรือถ้าใครคิดริเริ่มจะสร้างความเดือดร้อนก็จะเป็นเรื่องที่ดี

“ ท่านผู้ว่าการ!”

ในขณะนี้ หลิวหลี่เต๋าก็วิ่งมาจากข้างนอกและรีบรายงาน “ ท่านผู้ว่าการ มีบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว! มีบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว! จักรพรรดิเจียนหยานแห่งทวีปกลางได้ออกคำสั่งบ้าๆ ออกมาแล้ว!”

“ เขาบอกว่าท่านไม่สนใจมิตรภาพของชนเพื่อนบ้านและโจมตีพวกเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต ท่านฆ่าคน 300,000 คนจากทุ่งหญ้าอย่างโหดร้ายและละเมิดคุณธรรมของสวรรค์ อาชญากรรมของท่านั้นไม่สามารถให้อภัยได้ และเขาจึงสั่งให้ผู้ว่าการรัฐจากทั่วโลกประหารชีวิตท่าน! เราควรจะทำยังไงกันดี?!”

เมื่อจางซูหมิงได้ยินข่าวนี้ เขาก็ตกตะลึงในทันที เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “ จักรพรรดิบ้าไปแล้วหรอ? ท่านผู้ว่าการเขาไปช่วยมณฑลหยุนชูมานะ!”

พวกเขาปกป้องเมืองได้สำเร็จ แต่จักรพรรดิก็ยังมาสั่งให้ผู้ว่าการรัฐทั้งหมดในโลกจับมือกันเพื่อประหารพวกเขา?

พระราชกฤษฎีกาบ้าๆ แบบนี้พวกเขาไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

ประเด็นสำคัญคือคำสั่งบ้าๆ แบบนี้อาจจะได้ผลจริงๆ

ผู้ว่าการรัฐต่างๆ ล้วนแต่มีความตั้งใจจะปล้นสะดมดินแดนเป็ฯทุนเดิมอยู่แล้ว

และนี่ก็เป็นข้ออ้างชั้นดีให้คนอื่นโจมตีเฟิงโจว

อย่างไรก็ตาม ซุยเฮ็งก็กลับหัวเราะแทน “ ฮ่าฮ่าฮ่า ดี! ดี! ดี! ข้ากำลังกลัวอยู่เลยว่าพวกเขาจะไม่กล้ามา!”

….

อันที่จริง ซุยเฮ็งก็รู้สึกกังวลเล็กน้อยว่าผู้ว่าการรัฐเหล่านี้จะไม่กล้าโจมตีเขา

นี่เป็นเพราะเขามีความสำเร็จที่แพรวพราวมากเกินไป

ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ยังทำลายกองทัพทั้งหมดของศัตรูลงทุกครั้ง

แม้ว่าผู้คนจะไม่เชื่อว่าเขามีพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ แต่พวกเขาก็ยังกลัวผลลัพธ์อยู่อย่างแน่นอน

ซุยเฮ็งคำนวณในใจของเขา

“ ฉันต้องหาคนที่จะเชื่อมโยงจุดต่างๆ และโน้มน้าวใจพวกเขา ฉันต้องให้ผู้ว่าการรัฐเหล่านี้ส่งกองกำลังมาโจมตีฉันให้ได้”

….

โหยวโจวอยู่ติดกับเฟิงโจว และพรมแดนของพวกเขาก็ยาวมากกว่า 2,000 ลี้

ในตอนที่เฉาฉวนยังเป็นผู้ว่าการรัฐของเฟิงโจวอยู่ เสิ่นหยูผู้ว่าการรัฐของโหยวโจวก็ได้คิดละโมบหมายในที่ดินของเฟิงโจวมานานแล้ว เขาต้องการจะหาเรื่องและฉกฉวยเอาที่ดินและผู้คนของเฟิงโจวมาอยู่เสมอ

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากที่เฉาฉวนถูกลอบสังหาร เสิ่นหยูจึงได้ส่งผู้ช่วยของเขา เว่ยเซียงไปยังฝ่ายของเหรินหยวนคุย

เขาวางแผนที่จะใช้โอกาสนี้แต่งตั้งผู้ว่าการรัฐที่เป็นหุ่นเชิดของเขาขึ้นและผนวกดินแดนของพวกเขาทั้งสองทีละนิดๆ

อย่างไรก็ตาม เสิ่นหยูก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะได้พบกับซุยเฮ็ง

ไม่ต้องพูดถึงว่าแผนของเขายุ่งเหยิงไปหมด แม้แต่เว่ยเซียงเองก็ยังถูกฆ่าตาย

หากไม่ใช่เพราะเขากลัวผลลัพธ์ของการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวของซุยเฮ็ง เขาก็คงจะใช้การตายของเว่ยเซียงเป็นข้ออ้างในการโจมตีเฟิงโจวไปแล้ว

ถึงอย่างนั้น ผลลัพธ์ของการต่อสู้นั้นก็น่ากลัวเกินไป

แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจข่าวลือเกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่อย่างการเรียกลมพายุ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นก็ยังน่ากลัวอยู่ดี

ด้วยเหตุนี้เอง เสิ่นหยูจึงไม่ได้โจมตีเฟิงโจว

และตอนนี้เขาก็กำลังรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย

เมื่อไม่กี่วันก่อน ราชสำนักได้ส่งคำสั่งมา

เดิมทีในฐานะผู้ว่าการรัฐโหยวโจว เสิ่นหยูก็ไม่ได้สนใจกับคำสั่งของราชสำนักเลย อย่างไรก็ตาม คำสั่งนี้ก็เรียกร้องให้ผู้ว่าการรัฐทั้งหมดบนโลกร่วมกันโจมตีผู้ว่าการรัฐเฟิงโจว

แม้ว่าคำสั่งของราชสำนักจะดูไร้สาระ แต่มันก็ยังมีประโยชน์มากที่จะใช้เพื่อเป็นข้ออ้าง

เสิ่นหยูถูกล่อลวงเล็กน้อย

เฟิงโจวมีคลองขนาดใหญ่ ตราบใดที่พวกเขาจัดการมันได้ดีพอ มันก็จะกลายเป็นต้นไม้เงินแน่นอน!

อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงกลัวความสำเร็จของซุยเฮ็งอยู่เล็กน้อย

เขากำลังลังเล

ในวันนี้ เสิ่นหยูก็กำลังนั่งอยู่ในห้องโถงด้านในของสำนักงานว่าการ เขากำลังมองดูแผนที่บนผนังด้วยความงุนงง

เขาเฝ้าคิดว่าจะโจมตีเฟิงโจวดีหรือไม่

“ ท่านผู้ว่าการ ข้ามีเรื่องจะรายงาน!”

ในขณะนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาของเสิ่นหยูก็ได้เดินเข้ามา “ ผู้ฝึกตนขอบเขตเทพที่ชื่อหวังตงหลินได้มาขอเข้าเยี่ยม เขายังบอกอีกด้วยว่าเขามาจากตระกูลหวังแห่งหลางหยา!”