ตอนที่ 241

บทที่ 241 : แสงดาวที่ตกลงมาจากทางเหนือ

“ เหมียว! เหมียว!”

พยัคฆ์ขาวที่แปลงร่างมาจากยอดนักบุญสวรรค์ส่งเสียงออกมา มันอยากจะพูด แต่มันก็ทำได้แค่ส่งเสียงร้องแบบนี้

“ เมื่อเจ้าเข้าใจพลังขั้นต้นและขัดเกลาพลังของเจ้าแล้ว เจ้าก็จะสามารถพูดได้ตามปกติ” ซุยเฮ็งกล่าวกับยอดนักบุญสวรรค์ว่า “ นี่ถือเป็นการทดสอบของข้าและเป็นโอกาสสำหรับเจ้าด้วย ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง”

การทดสอบนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน

หนึ่งคือการพยายามทำให้แก่นแท้เซียนกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมและเปลี่ยนให้เป็นความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนเซียน

อย่างที่สองคือเขาจะสามารถพึ่งพาพลังศักดิ์สิทธิ์ของขัดเกลาความว่างเปล่าเป็นความจริงเพื่อสร้างสัตว์อสูรวิญญาณขึ้นมาได้หรือไม่

อย่างแรกคือการสำรวจแก่นแท้เซียน ในขณะที่อย่างหลังคือเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาและสำรวจการใช้พลังแห่งกฎให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

จากการคาดคะเนของซุยเฮ็ง หากเขาประสบความสำเร็จในการทดสอบกับสัตว์อสูรวิญญาณที่สร้างชึ้นมาจากมนุษย์นี้ เขาก็จะสามารถเริ่มสำรวจวิธีการมอบพลังแห่งกฎให้แก่เศษเสี้ยววิญญาณได้

การสำรวจสิ่งที่ไม่รู้จักและการสำรวจทิศทางใหม่คือเส้นทางการฝึกตนสำหรับขอบเขตรวมวิญญาณ

ในขณะนี้ ยอดนักบุญสวรรค์ก็เข้าใจชะตากรรมของเขาแล้วเช่นกัน เขาก้มศีรษะลงและนิ่งเงียบไปชั่วครู่บนฝ่ามือของซุยเฮ็งก่อนที่จะพยักหน้า “ เหมียว! เหมียว! เหมียว!!”

เขาตัดสินใจยอมจำนนต่อซุยเฮ็งแล้วและวางแผนที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของซุยเฮ็งในการเป็นสัตว์อสูรวิญญาณผู้พิทักษ์

“ ดีมาก”

ซุยเฮ็งพยักหน้าและยิ้ม ในขณะเดียวกัน เขาก็ยกฝ่ามือขึ้นอย่างนุ่มนวล ความว่างเปล่าเปิดออกในทันที และมันก็เปิดเส้นทางสู่พรมแดนระหว่างสวรรค์กับปฐพี

จากนั้นพยัคฆ์ขาวตัวน้อยก็ลอยขึ้นและเข้าไปข้างในนั้น

จากนี้ไป ใครก็ตามที่มายังโลกสูญสวรรค์สวรรค์ด้วยวิธีการปกติก็จะถูกหยุดเอาไว้โดยสัตว์อสูรวิญญาณผู้พิทักษ์ตนนี้ในทันที

ในที่สุด ยอดนักบุญสวรรค์ก็ได้จากไป และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ได้สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ซุยเฮ็งก็ยังอ่านหนังสือที่เก็บไว้ในตำหนักนักบุญสวรรค์ไม่จบ

มันมีหนังสือมากมายในตำหนักนักบุญสวรรค์และอาจกล่าวได้ว่ามันกว้างใหญ่ราวกับทะเลหมอก เขาไม่สามารถอ่านมันทั้งหมดให้จบภายในหนึ่งถึงสองวันได้

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากจัดการเรื่องต่างๆ ที่นี่เสร็จแล้ว เขาจึงวางแผนที่จะเข้าไปในตำหนักนักบุญสวรรค์และจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือเพื่อสำรวจสิ่งที่ไม่รู้จักต่อไป

หลังจากอ่านหนังสือในตำหนักนักบุญสวรรค์แล้ว ซุยเฮ็งก็วางแผนที่จะกลับไปยังตำหนักเต๋าอี้และอ่านหนังสือที่เขายังอ่านไม่จบต่อ

หลังจากอ่านหนังสือทั้งหมดในสองแห่งนี้แล้ว เขาก็ยังสามารถอ่านหนังสือของทั้งเก้าสำนักและของอารามพุทธทั้งสามแห่งได้

นอกเหนือจากนี้ เมื่อเขาทะลวงเข้าสู่ขอบเขตรวมวิญญาณขั้นกลาง พลังของตัวอ่อนวิญญาณของเขาก็ได้แผ่ขยายออกไป และมันก็ทำให้ที่ซ่อนมากมายปรากฏขึ้น และนอกจากนี้ เขาก็ยังสามารถตรวจพบสิ่งที่ไม่รู้จักมากมายภายในซึ่งสามารถใช้เป็นอาหารสำหรับการเติบโตของตัวอ่อนวิญญาณของเขาได้

ถึงอย่างนั้น ซุยเฮ็งก็ไม่ได้คิดที่จะสำรวจสถานที่เหล่านี้ด้วยตนเอง

ท้ายที่สุดแล้ว การอ่านหนังสือเหล่านี้ก็จะใช้เวลานานมาก

เรื่องของการสำรวจดินแดนลึกลับเหล่านี้สามารถปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียงได้ นอกจากนี้ ฮุ่ยฉีก็ได้เริ่มก่อตั้งสำนักขึ้นมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยว่าง

เขาเพียงแค่ต้องรอรายงานของพวกเขาเท่านั้น

ในขณะที่ซุยเฮ็งกำลังจะเข้าสู่ตำหนักนักบุญสวรรค์เพื่ออ่านหนังสือและเริ่มต้นการเรียนรู้ของเขา เป่ยฉิงซูก็ได้เดินเข้ามาหาเขาและโค้งคำนับด้วยความเคารพ

“ มีอะไรฉิงชู?” ซุยเฮ็งถามด้วยรอยยิ้มในขณะที่เขามองดูลูกศิษย์ของเขา

หลังจากการปรากฎตัวของกฎก่อนหน้านี้ เป่ยฉิงซูก็ได้ทะลวงผ่านจากขอบเขตเทพลึกลับไปสู่ขอบเขตเทพลึกลับไท่อี้แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากกายาเต๋ายุทธ์ของเขามีคุณสมบัติเซียนทอง ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องทำเพียงฝึกฝนไปทีละขั้นเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น

เขาไม่จำเป็นต้องกินแก่นแท้เซียน

“ ท่านอาจารย์ ข้ามีคำขอ” เป่ยฉิงซูกล่าวด้วยความเคารพ “ ข้าต้องการให้ท่านอาจารย์ส่งข้าไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย ที่ที่ข้าจะต้องต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอด”

“ โอ้?” ซุยเฮ็งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้และยิ้ม “ ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจแล้วสินะว่าเจ้าควรฝึกตนอย่างไร”

“ ใช่แล้ว” เป่ยฉิงซูพยักหน้าอย่างจริงจังและกล่าวว่า “ ด้วยการต่อสู้อย่างต่อเนื่องและการขัดเกลากายาเต๋าของข้าเท่านั้น ข้าจึงจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นและบุกทะลวงไปสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นได้”

“ ดีมาก” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อยและมองไปที่หลี่หมิงเฉียง เขาถามว่า “ หมิงเฉียง เจ้าเป็นศิษย์พี่ของเขา เจ้าคิดว่ายังไง?”

“ ข้า… ข้าสนับสนุนความคิดของศิษย์น้อง” หลี่หมิงเฉียงดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อย แต่ในที่สุดเธอก็ตอบตกลง

“ ศิษย์พี่ ท่านมีข้อกังวลใดๆ หรือเปล่า?” เป่ยฉิงซูได้ยินเสียงของเธอและถามด้วยความประหลาดใจ

“ สำนักเซียนทั้งเก้ายังไม่ถูกกำจัด และอารามพุทธทั้งสามแห่งก็ยังคงอยู่…” หลี่หมิงเฉียงหันมามองเขาและพูดเสียงเบาว่า “ ข้าหวังว่าศิษย์น้องจะอยู่และช่วยข้าได้ มันคงจะยังไม่สายเกินไปที่จะจากไปหลังจากจัดการกับเรื่องนี้แล้ว”

“ เอ่อ? นั่นคือสิ่งที่ท่านต้องการจะพูดหรอ?” เป่ยฉิงซูหัวเราะออกมาในทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาพยักหน้าและพูดว่า “ ศิษย์พี่ ท่านคิดมากไปแล้ว จริงๆ แล้วข้าก็วางแผนที่จะช่วยท่านจัดการกับปัญหาเหล่านี้ก่อนอยู่แล้ว หลังจากนั้นข้าก็ยังต้องสอนลุกหลานในครอบครัวอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นข้าจึงไม่ได้คิดจะจากไปในทันที”

“ …อย่างนั้นหรอ?” หลี่หมิงเฉียงกล่าวด้วยความลำบากใจ

“ อืม งั้นเอาแบบนี้เป็นไง? ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งร้อยปีในการตัดสินใจ” ซุยเฮ็งยิ้ม “ มันบังเอิญมากที่ข้าเองก็ต้องการเวลาอ่านหนังสือเหมือนกัน”

“ ขอบพระคุณท่านอาจารย์” หลี่หมิงเฉียงรีบขอบคุณเขา

“ งั้นก็เอาตามนั้น” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อยและพูดกับพวกเขาทั้งสองว่า “ ข้าจะเข้าสู่สันโดษแล้ว ข้าจะออกมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น ฮั่วอู่จะอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเจ้าจัดการกับปัญหาต่างๆ”

“ หากพวกเจ้าพบสิ่งใดที่ต้องใช้กำลังคน พวกเจ้าก็สามารถมองหาฮุ่ยฉีได้ เขาไม่ได้อ่อนแออยู่แล้ว และฮั่วเอ๋อก็ยังอยู่กับเขาด้วย เขาจะสามารถช่วยพวกเจ้าได้มาก”

“ นอกจากนี้มันก็ยังมีสถานที่ลึกลับมากมายบนโลก พวกเจ้ายังสามารถส่งคนไปตรวจสอบและบันทึกข้อมูลหรือการค้นพบที่พวกเจ้าได้รับมาได้ จากนั้นพวกเจ้าก็รายงานให้ข้าทราบเมื่อข้าออกจากความสันโดษ”

“ เข้าใจแล้วท่านอาจารย์!” เป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียงกล่าวพร้อมกัน

จากนั้นซุยเฮ็งก็จากไปและหายไปจากหลินเจียง

….

โลกสูญสวรรค์ไม่ได้สงบสุขหลังจากที่ซุยเฮ็งเข้าสู่สันโดษ

แม้ว่าผู้อาวุโสทั้งเก้าของสำนักเซียนจะเสียชีวิตลงไปแล้ว แต่มันก็ยังมีเซียนสวรรค์และแม้แต่ราชาสวรรค์จำนวนมากในสำนักเซียนทั้งเก้า ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ได้อ่อนแอเลย

นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังได้เข้าร่วมกองกำลังอย่างลับๆ กับอารามพุทธทั้งสามแห่งและได้รับการสนับสนุนจากอีกฝ่าย

พระขอบเขตผลโพธิซึ่งเทียบเท่ากับขอบเขตเทพลึกลับ และยอดฝีมือขอบเขตผลมหาโพธิซึ่งเทียบได้กับเซียนทองก็ได้ปรากฏขึ้นทีละคน มันมีพวกเขาอยู่เป็นจำนวนมาก และพวกเขาก็สามารถโจมตีเป่ยฉิงชูและหลี่หมิงเฉียงได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทั้งสองฝ่ายได้ค้ำอำนาจกันมาเป็นเวลาสามปี

แม้ว่าในช่วงระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา เป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียงจะได้ประสบความสำเร็จในการเกลี้ยกล่อมให้ศาลาวัฎจักรดาราสวรรค์และสำนักเซียนฝึกอสูรแห่งเก้าสำนักเซียนให้ยอมจำนน แต่กระนั้น แกนหลักของอีกเจ็ดสำนักเซียนที่เหลือก็ยังมีอารามพุทธทั้งสาม ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

และด้วยเหตุนี้เอง หลังจากสามปีผ่านไป เป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียงที่ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปก็ได้ไปขอให้ฮั่วอู่ช่วย

และสุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี

ความได้เปรียบที่เกิดจากความแตกต่างของขอบเขตนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ผู้ฝึกตนขอบเขตผลมหาโพธิที่ทรงพลังอย่างหาเทียบไม่ได้นั้นเป็นเหมือนกับกระดาษเมื่ออยู่ต่อหน้าฮั่วอู่ มันไม่มีใครสามารถต้านทานการโจมตีของมังกรเพลิงได้แม้แต่ครั้งเดียว

ณ จุดนี้ สำนักเซียนทั้งเจ็ดก็ได้ถูกทำลายลงไปหมดสิ้น และอีกสองสำนักเซียนก็ได้ยอมจำนนอย่างสมบูรณ์เช่นกัน พวกเขามอบสำนักบนภูเขาและทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเขาก่อนจะเข้าร่วมกับราชวงศ์ต้าโจวเพื่อก่อตั้งโรงเรียนขึ้น พวกเขาสอนเพียงการฝึกตนและไม่ได้จัดตั้งสำนักอีกต่อไป

นี่เป็นผลให้หนังสือและสมบัติทั้งหมดของเก้าสำนักเซียนและสามอารามพุทธได้ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บสมบัติของวังหลวงต้าโจว

พร้อมกันนั้น พวกเขาก็ยังได้จัดทำสำเนาหนังสือส่วนหนึ่งไปเก็บไว้ในตระกูลเป่ย

พวกเขาจะรอให้ซุยเฮ็งออกมาจากสันโดษเพื่ออ่านมัน

บนพื้นผิว ปัจจัยเสี่ยงในโลกสูญสวรรค์ก็ดูเหมือนกับจะถูกจัดการลงไปจนหมดแล้ว

แต่ในความเป็นจริง มันก็ยังห่างไกลจากความมั่นคง

อารามพุทธทั้งสามนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาก็มักจะใช้ชีวิตอย่างสันโดษและไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเรื่องของโลกมนุษย์ อย่างไรก็ตาม สำนักเซียนทั้งเก้านั้นก็แตกต่างกันออกไป สำนักเซียนทุกแห่งปกครองพื้นที่กว้างใหญ่มาก

ตอนนี้สำนักเซียนทั้งเก้าได้ล่มสลายลงไปแล้ว ดังนั้นหากพวกเขาไม่สามารถยึดอำนาจส่วนนี้เอาไว้ในมือได้อย่างรวดเร็ว ความโกลาหลขนาดใหญ่ก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายมาก

และเมื่อความโกลาหลเริ่มต้นขึ้น มันก็จะยากที่จะหยุดมันได้

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากยุบสำนักเซียนทั้งเก้าและอารามพุทธทั้งสามแห่งลงไปแล้ว เป่ยฉิงชูและหลี่หมิงเฉียงก็ได้ไปพบกับฮุ่ยฉีและหงคังและขอให้ทั้งสองคนช่วยรวบรวมอำนาจที่กระจัดกระจายของเก้าสำนักเซียนให้กลับมาอยู่ในกรอบ

สิ่งนี้ตั้งตรงกับความต้องการของคนหนึ่งที่ต้องการจะก่อตั้งสำนักและอีกคนหนึ่งที่ต้องการจะก่อตั้งประเทศ และโดยธรรมชาติแล้ว พวกเขาก็จึงตอบตกลงและเริ่มทำงานร่วมกัน

ในอีก 50 ปีต่อมา เป่ยฉิงซู, หลี่หมิงเฉียง, ฮุ่ยฉีและหงคังก็ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับสิ่งเหล่านี้ และในท้ายที่สุด พวกเขาก็สามารถทำให้ผู้คนในโลกสูญสวรรค์อยู่กันอย่างสงบสุขและมีความสุขได้

และในอีก 50 ปีต่อมา ขณะที่พวกเขากำลังรวมรากฐานของพวกเขา พวกเขาก็ได้เริ่มสำรวจดินแดนลึกลับโบราณที่ปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่งบนโลกและบันทึกผลกำไรของพวกเขา

พวกเขารอให้ซุยเฮ็งออกมาจากสันโดษ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และร้อยปีก็ผ่านไปในพริบตา

เฉินหยิงไม่ใช่สาวน้อยจอมตะกละในตอนนั้นอีกต่อไป

เธอมีพรสวรรค์และไม่ธรรมดา ความเร็วในการฝึกตนของเธอเร็วมาก และเธอก็กลายเป็นเซียนปฐพีไปแล้ว

เธออยู่ห่างจากขอบเขตเทวาเพียงก้าวเดียวเท่านั้น

ในฐานะเจ้าของกระบี่เมฆาม่วงและศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นของเธอ เธอก็ได้เข้ารับตำแหน่งเจ้าสำนักแห่งสำนักเซียนอรุณเมื่อสิบปีก่อนและกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก

ผู้คนในโลกเบื้องล่างต่างก็เรียกเธอว่า “ราชาเมฆาผู้สมบูรณ์แบบ”

อย่างไรก็ตาม เฉินหยิงก็ไม่เคยนิ่งนอนใจกับชื่อเสียงนี้ เธอรู้ดีมาตลอดว่าการฝึกตนของเธอนั้นยังไม่มีค่าอะไรเลย

มันยังมีผู้อาวุโสอีกหลายคนในสำนักที่แข็งแกร่งกว่าเธอ

ยิ่งไปกว่านั้น เธอก็ได้เห็นพลังของ “เซียน” ที่แท้จริงมาแล้วเมื่อร้อยปีก่อน!

ด้วยเหตุนี้เอง เฉินหยิงจึงไม่เคยคิดที่จะหยุดฝึกฝน เธอยังคงมีนิสัยชอบไปดูทะเลเมฆทุกเช้าเพื่อดูดซับพลังปราณสีม่วง

ในเช้าวันนี้

เธอได้มาถึงทะเลเมฆและกำลังจะหมุนเวียนเคล็ดวิชากระบี่เซียนอรุณเพื่อฝึกฝนตามปกติ แต่แล้วจู่ๆ เธอก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างและมองไปทางทิศเหนือ

แสงสีทองพร่างพราวอย่างหาที่เปรียบมิได้กำลังส่องลงมาราวกับดาวหาง