ตอนที่ 196

บทที่ 196 : ต้าโจวที่เจริญรุ่งเรือง

ความคิดของซุยเฮ็งไม่ได้เป็นเพียงความคิดชั่วขณะ

ก่อนหน้านี้ ในบรรดาคาถาทั้งสิบที่เขาได้รับมา มันก็มี “คำสาปวิญญาณจักรพรรดิ” หลังจากฝึกมันแล้ว คนๆ นั้นก็จะสามารถจับเทพและสั่งให้พวกเขาทำอะไรก็ได้

ในความเห็นของซุยเฮ็ง เนื่องจากมันมีคาถาเพื่อจับเทพแล้ว ดังนั้นมันจึงน่าจะมีคาถาเพื่ออัญเชิญเทพด้วยโดยธรรมชาติ

เมื่อเขาเห็นเศษเสี้ยววิญญาณบนแผ่นจารึก เขาก็นึกถึงตำนานที่เขาเคยเห็นบนโลกในชาติที่แล้ว และเขาก็นึกถึงเรื่องของการมอบเทพ

“ ถ้าฉันสามารถทำให้เศษเสี้ยววิญญาณทั้ง 170 ดวงเหล่านี้กลายเป็นเทพได้จริงๆ ฉันก็อาจจะสามารถสร้างศาลสวรรค์ปลอมขึ้นมาได้”

ซุยเฮ็งคิดกับตัวเองว่า “ หากฉันมีวิชาแบบนั้นจริงๆ เมื่อฉันกลับไปยังต้าจินในอนาคต ฉันก็จะสามารถมอบตำแหน่งเทพที่แท้จริงให้กับเทพวารีเพื่อช่วยผู้คนจากภัยพิบัติทางน้ำได้”

ตามคำอธิบายในคำสาปวิญญาณจักรพรรดิ หนึ่งในคุณสมบัติหลักก็คือการเข้าใจกฎบางอย่าง

พลังประเภทนี้มาจากพลังแห่งกฎ ตราบใดที่ผู้หนึ่งครอบครองพลังแห่งกฎได้ แม้ว่าพวกเขาจะอ่อนแอมาก แต่พวกเขาก็ยังเป็นเทพได้เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้เอง พูดกันตามตรงแล้ว เทะวารีแห่งแม่น้ำหงที่ซุยเฮ็งได้สร้างขึ้นในต้าจินนั้นจึงไม่ใช่เทพที่แท้จริง แต่มันเป็นเพียงวิญญาณอันทรงพลังที่ใช้ชื่อว่า “เทพ” เท่านั้น

อย่างไรก็ดี การสร้างเทพก็เป็นเพียงความคิดชั่วขณะของซุยเฮ็งเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น การสร้างเทพก็ยังเกี่ยวข้องกับการใช้พลังแห่งกฎในระดับที่ลึกซึ้ง มันอาจเป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตรวมวิญญาณขั้นต้นที่จะทำเช่นนั้นได้

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการสำรวจสิ่งที่ไม่รู้จักให้ได้มากที่สุดและพัฒนาตัวอ่อนวิญญาณของเขาเพื่อทะลวงไปสู่ขั้นกลาง

ด้วยเหตุนี้เอง ซุยเฮ็งจึงระงับความคิดนี้ไว้ในใจและวางแผนที่จะพิจารณามันอีกทีเมื่อเขามีโอกาสที่เหมาะสมในอนาคต

ในตอนแรก ซุยเฮ็งก็เข้าใจง่ายๆ ว่า “ ตราบใดที่ฉันไม่รู้ มันก็คือการไม่รู้”

ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ซุยเฮ็งก็มีประสบการณ์เบื้องต้นแล้ว เขาได้รู้ว่าการพัฒนาที่มากที่สุดนั้นท่ต่กความลับที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

ตัวอย่างเช่น การสำรวจดวงจันทร์ของเขา ความสัมพันธ์ระหว่างเทพลึกลับทั้งเก้าและเทพลึกลับแห่งตำหนักมหาราชันสวรรค์เมื่อ 3,000 ปีก่อน และวิธีที่พวกเขาได้รับคุณสมบัติเซียน

ถัดมาคือสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตที่สูงกว่าและสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน

ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่กล่าวถึงในข้อความของหงฟู่กุ่ยและแก่นแท้เซียนทองเป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองสิ่งนี้ก็มักจะเกิดขึ้นได้ยาก

นอกจากนี้ มันก็ยังต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการตรวจสอบ

โดยปกติแล้ว สิ่งที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือการพบเจอกับสิ่งใหม่ๆ ทั่วไป

แม้ว่าการพัฒนานี้จะค่อนข้างอ่อนแอ แต่ข้อดีก็คือมันสามารถหาเจอได้ง่าย ตราบใดที่เขาสังเกตฝูงชนอย่างระมัดระวัง มันก็จะเร็วกว่าการทำความเข้าใจเต๋าหลายเท่า

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อซุยเฮ็งและคนอื่นๆ เดินทางมาถึงยังเมืองหลินเจียง เขาจึงไม่ได้บินเข้ามาแต่เลือกที่จะเดินเท้าแบบคนธรรมดาแทน

เดินและพัก…

เขาไปในที่ต่างๆ และพบปะกับผู้คนทุกประเภท เขาสัมผัสกับขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน...

นี่คือวิธีการฝึกตนของซุยเฮ็ง

….

เมืองกวนโจวเป็นเมืองร่ำรวยที่สุดในบรรดา 16 เมืองภายใต้หลินเจียง

อย่างไรก็ตาม ซุยเฮ็งก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเจริญรุ่งเรืองขนาดนี้

เมืองกวนโจวทั้งหมดมีขนาดเท่ากับสองเท่าของฉางเฟิงในโลกเบื้องล่าง สองข้างทางมีร้านค้าทุกประเภท เจ้าของร้านไม่จำเป็นต้องตะโกนที่ทางเข้าแต่ลูกค้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็จะเดินเข้ามาเอง

มันมีผู้คนมากมายบนท้องถนน มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยหากจะบอกว่าไม่มีร้านไหนที่ไม่มีลูกค้า

บรรยากาศที่ครึกครื้นและครื้นเครงอบอวลไปทั่วทั้งถนน มันทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนกับกำลังเดินอยู่ในงานเทศกาล

แม้ว่านี่จะเป็นถนนสายหลักหลังจากเข้าสู่เมือง และค่อนข้างกว้างขวางและเจริญที่สุด แต่ถนนสายรองเองก็ยังเต็มไปด้วยผู้คนไม่แพ้กัน

มันแทบจะไม่มีสถานที่ร้างในเมืองกวนโจวเลย

ไม่ต้องพูดถึงหงคังและหลานชายของเขา แม้แต่ซุยเฮ็งผู้ซึ่งเคย “เห็นโลก” มาก่อนแล้วก็ยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ

มันรุ่งเรืองมาก!

ประชากรจำนวนมากและพ่อค้ารายใหญ่นั้นอยู่เหนือกว่าแนวคิดของสังคมโบราณทั่วไปแล้ว

ในความเห็นของซุยเฮ็ง แม้แต่มณฑลลู่ที่เขาปรับปรุงขึ้นมาใหม่แล้วก็ยังเทียบไม่ได้กับเมืองกวนโจวที่อยู่ตรงหน้าเขาเลย

ผู้คนในเมืองกวนโจวน่าจะเป็นกลุ่มคนที่มีความเป็นอยู่ดีที่สุดที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่เขามายังโลกใบนี้

“ นายน้อย หลายคนที่นี่มีสำเนียงที่แตกต่างกัน พวกเขาหลายคนน่าจะเป็นคนนอก และมันก็ยังมีผู้ฝึกตนมากมาย”

หลังจากที่จางซูหมิงสังเกตสภาพแวดล้อมรอบข้างเขาอย่างระมัดระวัง เขาก็พูดกับซุยเฮ็งว่า “ ข้าเกรงว่าพวกเขาทั้งหมดจะเป็นคนที่กำลังหลบหนีจากแปดสำนักเซียน”

เมื่อเดินอยู่ในโลกมนุษย์ การเรียกซุยเฮ็งว่า “ท่านเซียนผู้สูงส่ง” นั้นก็ดูโอ้อวดเกินไป ดังนั้นซุยเฮ็งจึงให้จางซูหมิงและคนอื่นๆ เปลี่ยนวิธีการพูดเป็น “นายน้อย” แทนชั่วคราว

“ เมื่อเทียบกับต้าฉีของข้าแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็นับเป็นสวรรค์บนดินชัดๆ” หงคังพูดด้วยเสียงสั่นเครือ

“ เดิมทีข้าคิดว่าความสงบสุขของต้าโจวนั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้แล้ว แต่ข้าก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าหลินเจียงเองก็จะเจริญรุ่งเรืองได้ถึงขนาดนี้”

ความคิดของซุยเฮ็งไม่ได้เป็นเพียงความคิดชั่วขณะ

ก่อนหน้านี้ ในบรรดาคาถาทั้งสิบที่เขาได้รับมา มันก็มี “คำสาปวิญญาณจักรพรรดิ” หลังจากฝึกมันแล้ว คนๆ นั้นก็จะสามารถจับเทพและสั่งให้พวกเขาทำอะไรก็ได้

ในความเห็นของซุยเฮ็ง เนื่องจากมันมีคาถาเพื่อจับเทพแล้ว ดังนั้นมันจึงน่าจะมีคาถาเพื่ออัญเชิญเทพด้วยโดยธรรมชาติ

เมื่อเขาเห็นเศษเสี้ยววิญญาณบนแผ่นจารึก เขาก็นึกถึงตำนานที่เขาเคยเห็นบนโลกในชาติที่แล้ว และเขาก็นึกถึงเรื่องของการมอบเทพ

“ ถ้าฉันสามารถทำให้เศษเสี้ยววิญญาณทั้ง 170 ดวงเหล่านี้กลายเป็นเทพได้จริงๆ ฉันก็อาจจะสามารถสร้างศาลสวรรค์ปลอมขึ้นมาได้”

ซุยเฮ็งคิดกับตัวเองว่า “ หากฉันมีวิชาแบบนั้นจริงๆ เมื่อฉันกลับไปยังต้าจินในอนาคต ฉันก็จะสามารถมอบตำแหน่งเทพที่แท้จริงให้กับเทพวารีเพื่อช่วยผู้คนจากภัยพิบัติทางน้ำได้”

ตามคำอธิบายในคำสาปวิญญาณจักรพรรดิ หนึ่งในคุณสมบัติหลักก็คือการเข้าใจกฎบางอย่าง

พลังประเภทนี้มาจากพลังแห่งกฎ ตราบใดที่ผู้หนึ่งครอบครองพลังแห่งกฎได้ แม้ว่าพวกเขาจะอ่อนแอมาก แต่พวกเขาก็ยังเป็นเทพได้เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้เอง พูดกันตามตรงแล้ว เทะวารีแห่งแม่น้ำหงที่ซุยเฮ็งได้สร้างขึ้นในต้าจินนั้นจึงไม่ใช่เทพที่แท้จริง แต่มันเป็นเพียงวิญญาณอันทรงพลังที่ใช้ชื่อว่า “เทพ” เท่านั้น

อย่างไรก็ดี การสร้างเทพก็เป็นเพียงความคิดชั่วขณะของซุยเฮ็งเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น การสร้างเทพก็ยังเกี่ยวข้องกับการใช้พลังแห่งกฎในระดับที่ลึกซึ้ง มันอาจเป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตรวมวิญญาณขั้นต้นที่จะทำเช่นนั้นได้

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการสำรวจสิ่งที่ไม่รู้จักให้ได้มากที่สุดและพัฒนาตัวอ่อนวิญญาณของเขาเพื่อทะลวงไปสู่ขั้นกลาง

ด้วยเหตุนี้เอง ซุยเฮ็งจึงระงับความคิดนี้ไว้ในใจและวางแผนที่จะพิจารณามันอีกทีเมื่อเขามีโอกาสที่เหมาะสมในอนาคต

ในตอนแรก ซุยเฮ็งก็เข้าใจง่ายๆ ว่า “ ตราบใดที่ฉันไม่รู้ มันก็คือการไม่รู้”

ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ซุยเฮ็งก็มีประสบการณ์เบื้องต้นแล้ว เขาได้รู้ว่าการพัฒนาที่มากที่สุดนั้นท่ต่กความลับที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

ตัวอย่างเช่น การสำรวจดวงจันทร์ของเขา ความสัมพันธ์ระหว่างเทพลึกลับทั้งเก้าและเทพลึกลับแห่งตำหนักมหาราชันสวรรค์เมื่อ 3,000 ปีก่อน และวิธีที่พวกเขาได้รับคุณสมบัติเซียน

ถัดมาคือสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตที่สูงกว่าและสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน

ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่กล่าวถึงในข้อความของหงฟู่กุ่ยและแก่นแท้เซียนทองเป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองสิ่งนี้ก็มักจะเกิดขึ้นได้ยาก

นอกจากนี้ มันก็ยังต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการตรวจสอบ

โดยปกติแล้ว สิ่งที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือการพบเจอกับสิ่งใหม่ๆ ทั่วไป

แม้ว่าการพัฒนานี้จะค่อนข้างอ่อนแอ แต่ข้อดีก็คือมันสามารถหาเจอได้ง่าย ตราบใดที่เขาสังเกตฝูงชนอย่างระมัดระวัง มันก็จะเร็วกว่าการทำความเข้าใจเต๋าหลายเท่า

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อซุยเฮ็งและคนอื่นๆ เดินทางมาถึงยังเมืองหลินเจียง เขาจึงไม่ได้บินเข้ามาแต่เลือกที่จะเดินเท้าแบบคนธรรมดาแทน

เดินและพัก…

เขาไปในที่ต่างๆ และพบปะกับผู้คนทุกประเภท เขาสัมผัสกับขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน...

นี่คือวิธีการฝึกตนของซุยเฮ็ง

….

เมืองกวนโจวเป็นเมืองร่ำรวยที่สุดในบรรดา 16 เมืองภายใต้หลินเจียง

อย่างไรก็ตาม ซุยเฮ็งก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเจริญรุ่งเรืองขนาดนี้

เมืองกวนโจวทั้งหมดมีขนาดเท่ากับสองเท่าของฉางเฟิงในโลกเบื้องล่าง สองข้างทางมีร้านค้าทุกประเภท เจ้าของร้านไม่จำเป็นต้องตะโกนที่ทางเข้าแต่ลูกค้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็จะเดินเข้ามาเอง

มันมีผู้คนมากมายบนท้องถนน มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยหากจะบอกว่าไม่มีร้านไหนที่ไม่มีลูกค้า

บรรยากาศที่ครึกครื้นและครื้นเครงอบอวลไปทั่วทั้งถนน มันทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนกับกำลังเดินอยู่ในงานเทศกาล

แม้ว่านี่จะเป็นถนนสายหลักหลังจากเข้าสู่เมือง และค่อนข้างกว้างขวางและเจริญที่สุด แต่ถนนสายรองเองก็ยังเต็มไปด้วยผู้คนไม่แพ้กัน

มันแทบจะไม่มีสถานที่ร้างในเมืองกวนโจวเลย

ไม่ต้องพูดถึงหงคังและหลานชายของเขา แม้แต่ซุยเฮ็งผู้ซึ่งเคย “เห็นโลก” มาก่อนแล้วก็ยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ

มันรุ่งเรืองมาก!

ประชากรจำนวนมากและพ่อค้ารายใหญ่นั้นอยู่เหนือกว่าแนวคิดของสังคมโบราณทั่วไปแล้ว

ในความเห็นของซุยเฮ็ง แม้แต่มณฑลลู่ที่เขาปรับปรุงขึ้นมาใหม่แล้วก็ยังเทียบไม่ได้กับเมืองกวนโจวที่อยู่ตรงหน้าเขาเลย

ผู้คนในเมืองกวนโจวน่าจะเป็นกลุ่มคนที่มีความเป็นอยู่ดีที่สุดที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่เขามายังโลกใบนี้

“ นายน้อย หลายคนที่นี่มีสำเนียงที่แตกต่างกัน พวกเขาหลายคนน่าจะเป็นคนนอก และมันก็ยังมีผู้ฝึกตนมากมาย”

หลังจากที่จางซูหมิงสังเกตสภาพแวดล้อมรอบข้างเขาอย่างระมัดระวัง เขาก็พูดกับซุยเฮ็งว่า “ ข้าเกรงว่าพวกเขาทั้งหมดจะเป็นคนที่กำลังหลบหนีจากแปดสำนักเซียน”

เมื่อเดินอยู่ในโลกมนุษย์ การเรียกซุยเฮ็งว่า “ท่านเซียนผู้สูงส่ง” นั้นก็ดูโอ้อวดเกินไป ดังนั้นซุยเฮ็งจึงให้จางซูหมิงและคนอื่นๆ เปลี่ยนวิธีการพูดเป็น “นายน้อย” แทนชั่วคราว

“ เมื่อเทียบกับต้าฉีของข้าแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็นับเป็นสวรรค์บนดินชัดๆ” หงคังพูดด้วยเสียงสั่นเครือ

“ เดิมทีข้าคิดว่าความสงบสุขของต้าโจวนั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้แล้ว แต่ข้าก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าหลินเจียงเองก็จะเจริญรุ่งเรืองได้ถึงขนาดนี้”