ตอนที่ 34 - บทที่ 34 พรสวรรค์บัดซบอะไรกัน!!

บทที่ 34 พรสวรรค์บัดซบอะไรกัน!!

ผู้หญิงผมสีดำหน้าแดงและก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว

เป็นผู้หญิงที่สวมชุดสีม่วงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเธอที่มองเฉินฟานอย่างกล้าหาญพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากของเธอ

"แปลกจริง"

เขาถอนสายตาออกมา เขาไม่แปลกใจเลยที่มีผู้หญิงมองเขา เพราะตอนนี้ทุกคนกำลังมองเขาอยู่

แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขามีความรู้สึกแปลกๆ แต่เขาแยกไม่ออกว่ามีอะไรแปลก เขาแค่รู้สึกว่าพวกเธอมีสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นๆ

“ข้าคิดไปเองงั้นเหรอ?”

เขาพึมพำอยู่ในใจ

ความกระตือรือร้นของฝูงชนทำให้เขาไม่สามารถต้านทานได้จริงๆ หลังจากพูดคุยกับเฉินกัวตง เขาก็รีบไล่ไปในทิศทางที่จางเหรินจากไป

“เฮ้ ทำไมพี่ฟานถึงจากไปล่ะ?”

หวังปิงรู้สึกงงงวย

“เขาเป็นคนหน้าบาง” จ้าวเฟิงกล่าวขึ้นด้วยสายตาอิจฉา

ถ้าเพียงเขาสามารถเป็นฮีโร่ในหมู่บ้านได้เหมือนเฉินฟานละก็นะ

แน่นอนว่าจินตนาการมันไม่เพียงพอ เจ้าต้องทำงานหนักด้วย

“เขาควรจะไปหาลุงจาง ข้าคิดว่าเขาไปในทิศทางเดียวกับที่ลุงจางจากไป”

“แล้วเราจะรออะไรอีกล่ะ รีบตามไปด้วยกว่า”

"แต่..." มีคนมองเหยื่ออย่างไม่เต็มใจที่จะจาก

"โอ้..งั้นเราก็ไปกันเถอะ" เพื่อนที่อยู่ข้างๆ เขาลากเขาออกไปและพึมพำ "ข้าทำไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้า และเหยื่อมันไม่หมดได้เร็วขนาดนั้นหรอก ไว้ค่อยกลับมาเอาทีหลังก็ได้"

“เขาสังเกตเห็นข้าหรือเปล่า”

หัวใจของเหมิงหยูเต้นไม่หยุด และสีแดงบนใบหน้าของเธอก็ยังไม่จางหายไปแม้จะผ่านมาสักครู่หนึ่งแล้ว

"ไม่ไม่ไม่,"

เธอส่ายหัวราวกับว่าเธอต้องการสลัดความคิดเหล่านี้ออกไป แล้วคิ้วของเธอก็ขมวดคิ้วขึ้น

ตามเหตุการณ์ในความฝัน ทีมล่าน่าจะกลับมาในตอนเย็นของวันนี้ และพวกเขามีเหยื่อไม่มากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขากลับนำซากของหมาป่าคลั่งกลับมาจำนวนมาก เกิดอะไรขึ้นกันนะ?

ถ้าจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดแปดปีที่ความฝันของเธอผิดพลาด!

แต่พี่สาวของเธอบอกว่าความฝันของพวกเธอจะไม่มีวันผิดพลาด

ไม่…ไม่ถูกต้อง

ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง และร่างของเฉินฟานก็ปรากฏขึ้นในใจของเธอ เธอรู้จักเฉินฟานและรู้ว่าเขาเป็นลูกชายของเฉินกัวตง แต่ในความฝันของเธอ ในทีมล่าที่ออกไปในวันนี้กลับไม่มีใครบุคคลเช่นเฉินฟาน!

ถูกต้อง! ทีมล่ามีแปดคน! มีเพียงแปดคนเท่านั้น! ไม่ใช่เก้าคน!

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เหงื่อเย็นก็ไหลออกมาบนหน้าผากของเธอ

หมายความว่าคือคนนี้คือคนที่ไม่มีอยู่ในความฝันของเธองั้นเหรอ? เขาถึงสามารถเปลี่ยนสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น? มันเป็นเช่นนี้ได้ยังไง? ดูเหมือนพี่สาวของข้าจะไม่เคยบอกว่าสถานการณ์เช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้?

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

จางเหรินเดินกะเผลกไปข้างหน้า ทันใดนั้นหูของเขาขยับแล้วเขาก็หยุดลงพร้อมกับพูดว่า "ทำไมเจ้าถึงตามข้ามา เจ้าไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกของการชื่นชมของการเป็นฮีโร่งั้นเหรอ?"

มุมปากของเฉินฟานกระตุกเล็กน้อย เขาพบว่าลุงจางต้องการการทุบตีเล็กน้อย

อีกอย่างมันจะดีกว่าไหมที่จะหันกลับมาคุยกันดีทั้งๆที่รู้ว่าเขาเดินมาหา?

เขาบ่นในใจ แต่ภายนอกเขาพูดด้วยความเคารพ "ข้าไม่ชินกับมันจริงๆ"

"ฮิฮิ"

จางเหรินหันกลับมาและหัวเราะสองครั้ง “เกิดอะไรขึ้น หลายคนอยากได้รับปฏิบัติเช่นนี้ แต่พวกเขายังไม่มีโอกาส…”

ในขณะนั้นเองมีเสียงฝีเท้าหลายคนก็ดังเข้ามา และหวังผิงผิงและคนอื่นๆ ก็ตามมาด้วย

จากนั้นพวกเขาก็พูดอย่างเร่งรีบไม่มีอะไรมากไปกว่าคำว่า พี่ฟานท่านมีพลังมาก พี่ฟานท่านคือไอดอลของข้า และอื่นๆ

"โอเค พอแล้ว"

เฉินฟานไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ได้ เขามองจางเหรินแล้วพูดว่า "พวกเจ้าเข้ามาขัดจังหวะตอนที่ลุงจางกำลังคุยกับข้าอยู่"

"แอ๊กๆๆ"

หลายคนไอสองสามครั้งและพากันมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างเร่งรีบ หรือไม่ก็พากันก้มดูรองเท้าราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จางเหรินไม่สนใจอีกต่อไป เขามองไปที่เฉินฟานแล้วพูดว่า "ข้าแค่บอกว่าคนจำนวนมากที่ต้องการได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แต่ไม่มีโอกาส และหลายคนที่ว่าก็รวมพวกเขาด้วย"

“หือ? โอกาสอะไร?”

หวังปิงรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และเขาก็ยืดคอแล้วถามขึ้น

เฉินฟานพูดไม่ออก เด็กหนุ่มพวกนี้คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ หรือ?

เมื่อเห็นเช่นนี้ จ้าวเฟิงจึงดึงเสื้อของหวังปิงอย่างเงียบ ๆ และคนหลังก็หดคอที่ยื่นออกไปกลับมา

“เป็นเรื่องดีที่เจ้ามีความคิดแบบนี้”

จางเหรินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "ไม่มีที่ว่างสำหรับความเย่อหยิ่งและความพึงพอใจบนเส้นทางแห่งศิลปะการต่อสู้ มิฉะนั้นเจ้าก็จะมีหัวใจที่หย่อนยานซึ่งจะนำไปสู่ความเบื่อหน่ายในการฝึกฝน แม้ว่าเจ้าเป็นผู้อเวคแต่เจ้าก็ไม่สามารถแข็งแกร่งได้หรอก"

“สิ่งที่ลุงจางพูดถูกต้องแล้ว”

เฉินฟานสูดหายใจเข้าลึกๆ

แม้ว่าคำพูดของอีกฝ่ายจะไม่น่าฟัง แต่เป็นคำพูดที่ถูกต้องอย่างมาก

จริงๆแล้วเขาไม่ได้หย่อนยานการฝึกแม้แต่น้อย แต่ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกันที่ว่ามีความเย่อหยิ่งและพอใจกับความแข็งแกร่งเล็กๆน้อย เขาจะไม่มีวันแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน

"เจ้ายังต้องพัฒนาอีกมาก"

จางเหรินมองเขาแล้วพูดว่า "แต่เจ้าก็ทำได้ดีมากแล้ว แม้ว่าข้าจะไปด้วย แต้ข้าก็เกรงว่าข้าจะเลือกที่จะยอมแพ้แทนที่จะเดินกลับไปจัดการกับศัตรู จากมุมมองนี้เจ้านำหน้าข้าอยู่มาก”

หวังปิงและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลังเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างมากทันที นี่พวกเขาได้ยินถูกต้องหรือป่าว ลุงจางกลับสามารถสรรเสริญและชื่นชมผู้คนได้งั้นเหรือ

ม่านตาของเฉินฟานอดไม่ได้ที่จะขยายออก แต่เขารู้ว่าจางเหรินยังพูดไม่จบอย่างแน่นอน

"แต่…."

จางเหรินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง "หากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นครั้งต่อไป ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่กล้าทำแบบนี้อีก ไม่ต้องพูดถึงที่ว่าพวกมันอาจซ่อนตัวอยู่อีกหลายสิบตัว แม้แต่ในกรณีที่เจ้าอาจจะยิงไม่โดนหมาป่าคลั่งมากเพียงพอ มันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นเจ้าคงคิดออกใช่ไหม..?"

"อืม"

เฉินฟานพยักหน้าอย่างจริงใจและพูดว่า "ลุงจาง คราวหน้าข้าจะใจเย็นกว่านี้"

“ตราบเท่าที่เจ้าสามารถจดจำมันไว้ในใจของเจ้าก็พอ” จางเหรินพยักหน้า “ไม่ว่าเวลาไหน การรักษาชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนเหยื่อแม้จะสูญหายไปแล้วก็ไม่สำคัญ โลกนี้เต็มไปด้วยภูเขาเขียว ดังนั้นเจ้าก็ไม่กลัวว่าจะไม่มีฟืนก่อไฟ"

เฉินฟานฟังแล้วถอนหายใจอยู่ในใจ

เขาไม่ใช่แค่ต้องการเหยื่อเท่านั้น หากเขาไม่ยิงสัตว์อสูรเขาก็จะไม่ได้รับแต้มค่าประสบการณ์ หากไม่มีแต้มค่าประสบการณ์เพียงพอ แม้ว่าความเร็วของการพัฒนาระดับทักษะของเขาจะเร็วกว่าคนทั่วไป แต่ก็จะต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์

ในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ หมู่บ้านขนาดเล็กที่ล้อมรอบด้วยกำแพงดินสูงสามหรือสี่เมตรไม่สามารถให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่เขาได้มากนัก

“เจ้าเด็กนี้ เจ้ายังไม่เชื่อคำพูดของข้าอีกเหรอ?!”

จางเหรินถอนหายใจอยู่ในใจ ใช่แล้ว เมื่อตอนที่เขาอายุเท่ากับเฉินฟาน เขาก็มีประพฤติตัวดื้อรั้นมากกว่าเด็กคนนี้เสียอีก โดยคิดแคว่าตัวเองมีทักษะบางอย่าง และไม่มีใครอยู่ในสายตาของเขา

ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ ก็คงไม่เกิดเรื่อง……

"โอเค ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว"

เขาเองก็รู้สึกรำคาญ “ยังเหลือเวลาอีกสักพักก่อนจะกินข้าวเที่ยง ทำไมเราไม่ไปที่โกดังล่ะ เจ้าก็สามารถไปฝึกท่าไท่จี้กับข้าได้”

“ได้ครับ ลุงจาง”

เฉินฟานเห็นด้วยแต่เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ท่าไท่จี้ของเขาถึงระดับ 3 แล้ว ถ้าเขาแสดงตามปกติมันจะน่ากลัวเกินไปเหรอ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยท่าไท่จี้นี้ เขาสามารถเรียนรู้ไท่จี้ฉวนได้ตราบเท่าที่เขาแสดงระดับ 1 ออกมา และไม่จำเป็นต้องเปิดเผยระดับที่แท้จริงของเขา

จากนั้นเขาเปิดเผยความสำเร็จของท่าไท่จี้ระดับ 1 ของเขาออกมา

ถึงกระนั้นจางเหรินก็ยังมีสีหน้าเหมือนเห็นผีอยู่บนใบหน้าของเขา เมื่อพวกเขามาถึงพื้นที่โล่งของโกดัง และเฉินฟานก็ทำการฝึกฝนท่าไท่จี้

แม้ว่าจะได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง แต่ก็ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนกว่าที่นักรบจะสามารถเข้าถึงระดับ 1 ของท่าไท่จี้ได้ แม้จะเป็ฯความเร็วของอัจฉริยะหนึ่งในล้านจริงๆ เขาก็ยังต้องใช้เวลาเกินครึ่งเดือน แต่เจ้าเด็กเหลือขอนี้ใช้เวลาแค่วันเดียวงั้นเหรอ? นี่เขามีพรสวรรค์บัดซบอะไรที่สามารถทำให้เขาเข้าถึงท่าไท่จี้ระดับ 1ได้ภายในวันเดียว?

ความเร็วแบบนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนในโลกศิลปะการต่อสู้ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา! เป็นไปได้ไหมว่าหลังจากการกลายพันธุ์ ไม่เพียงแต่ขีดจำกัดร่างกายของมนุษย์จะถูกทะลวงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเข้าใจของมนุษย์ด้วย

ไม่สิ ข้อสันนิษฐานนี้ดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง!

เขาเหลือบมองหวังปิงและคนอื่นๆ ที่อยู่ไม่ไกล คนพวกนี้ยังโง่เหมือนเดิมไม่ใช่หรือ?

“ลุงจาง” เฉินฟานพูดอย่างกังวล “มีอะไรที่ข้าต้องปรับปรุงอีกหรือเปล่า?”