ตอนที่ 146

บทที่ 146 : สู้จนตาย วิญญาณศักดิ์สิทธิ์เจ็ดอารมณ์

หัวทั้งสามที่หลุดออกจากบ่าอย่างกะทันหันทำให้ผู้คนที่อยู่หน้าสำนักงานเทศมณฑลต่างก็ตกตะลึง

ทุกคนยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ศพไร้หัวทั้งสามบนพื้น เช่นเดียวกับทั้งสามหัวที่เต็มไปด้วยความตกใจและดวงตาของหัวทั้งสามยังคงเบิกกว้าง มันทำให้พวกเขาทั้งหมดรู้สึกหนาวสั่นยันกระดูกสันหลัง

เซี่ยเทียนซิง, เย่ฮุ่ยและไป๋ซงเหนียนได้ตายแล้ว!

พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเทพ!

แต่กระนั้น พวกเขาก็กลับตายง่ายอย่างงี้เลยหรอ?

แสงกระบี่ที่แวบผ่านไปเมื่อกี้มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว!

การฆ่าผู้ฝึกตนขอบเขตเทพนั้นง่ายอย่างกับการฆ่าไก่

เซี่ยเทียนซิง, เย่ฮุ่ยและไป๋ซงเหนียนไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะทันได้ต่อต้านก่อนที่หัวของพวกเขาจะถูกตัดขาด

กระบี่ได้บรรลุเป้าหมายของมันในทันทีที่มันพุ่งเข้ามา!

มันทรงพลังและน่าเหลือเชื่อเกินไป!

ความแข็งแกร่งที่ทรงพลังเช่นนี้มีอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไร?

ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าการรัฐ ผู้นำตระกูลหรือทหารธรรมดา พวกเขาต่างก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าผู้ฝึกตนขอบเขตเทพนั้นทรงพลังขนาดไหน

อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแสงกระบี่นั่น พวกเขาก็ยังไม่สามารถต้านทานได้เลย

นี่หมายความว่าหากแสงกระบี่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง มันก็จะไม่มีใครสามารถหลบหนีออกไปได้

พวกเขาทั้งหมดจะต้องตาย!

ไม่มีใครรอด!

“ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

ในขณะนี้ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นและทำลายความเงียบ มันคือเสียงหัวเราะของหลิวหลี่เต๋า

เขายังคงถูกล้อมรอบไปด้วยกองทหาร แต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งในขณะที่เขากล่าวเยาะเย้ย “ ตอนนี้พวกเจ้าก็คงจะรู้แล้วใช่ไหมว่าสิ่งที่ข้าพูดมานั้นเป็นความจริงหรือไม่”

ไม่มีใครกล้าตอบ

ในขณะนี้ กลุ่มผู้ฝึกตนขอบเขตเทพบนแท่นก็ไม่กล้าสบตากับหลิวหลี่เต๋าด้วยซ้ำ!

“ ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้ากล้าพูดได้ยังไงว่าจะฆ่าท่านผู้ว่าการ?” หลิวหลี่เต๋ามองไปรอบๆ อย่างดูถูกเหยียดหยาม

ทุกคนหันไปจ้องมองเขาในขณะที่พวกเขาถอยหลังกลับไป

แม้แต่ทหารที่ล้อมรอบเขาอยู่ก็ยังเผลอปล่อยอาวุธลงโดยไม่รู้ตัวและถอยหลังกลับไปสองสามก้าว

พื้นที่รอบหลิวหลี่เต๋าโล่งขึ้นในทันที ดวงตาของเขาเป็นประกายในขณะที่เขาเดินไปข้างหน้าอย่างใจเย็น เขาไม่ได้หยุดพูดในขณะที่เขาเดินเข้าไปอย่างองอาจชาติชาย “ พวกเจ้าได้เห็นพลังของท่านผู้ว่าการรัฐซุยกันหมดแล้ว แม้พวกเจ้าจะอยู่ห่างออกไปไกลเป็นพันลี้ แต่พวกเจ้าก็ไม่อาจจะหนีไปไหนได้พ้นหรอก!”

“ ท่านผู้ว่าการเป็นเทพเซียนจากสวรรค์ สิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเกรงขามและไร้เทียมทาน ถึงอย่างงั้น ไอ้พวกโรคจิตปากหมาไร้สมองอย่างพวกเจ้าก็ยังกล้ามาพูดว่าจะฆ่าท่านผู้ว่าการซุย? ช่างน่าขัน! ไอ้ชาติหมาสามตัวที่เพิ่งจะได้รับตั๋วพิเศษไปพบยมบาลเมื่อกี้นี้นั้นเป็นเพียงผู้โชคดีของวันนี้เท่านั้น เราจะยังสุ่มหาผู้โชคดีคนต่อไปอีกในวันพรุ่งนี้ พวกเจ้าทุกคนตั้งตารอเอาไว้ได้เลย!”

ทันทีที่เขาพูดจบ หลิวหลี่เต๋าก็หันหลังเดินออกไปจากเมือง

ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ได้มีท่าทีรีบร้อนใดๆ เลย เขายังคงเดินยกอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ

ไม่มีใครในเมืองฉางซิงกล้าที่จะหยุดเขา

พวกเขามองดูเขาเดินออกไปจากประตูเมือง

เมื่อร่างของหลิวหลี่เต๋าหายลับไปจากสายตาของพวกเขา ผู้ว่าการรัฐ ผู้นำตระกูล ผู้ฝึกตนขอบเขตเทพและคนอื่นๆ ในเมืองต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเห็นศพไร้หัวทั้งสามที่ด้านข้าง พวกเขาก็รู้สึกกดดันขึ้นมาในทันที

ซุยเฮ็งได้ตัดหัวผู้ฝึกตนขอบเขตเทพทั้งสามคนลงในทันทีจากระยะห่างที่ไกลกว่าหนึ่งพันลี้!

นี่เป็นเรื่องที่เกินความเข้าใจของพวกเขาไปโดนสิ้นเชิง

“ ทีนี้เราควรจะทำยังไงกันดี?” เสิ่นหยูถามอย่างขมขื่น

ในขณะนี้ เขาก็ได้สาปแช่งหวังตงหลินนับครั้งไม่ถ้วนในใจของเขาแล้ว

เมื่อเริ่มการต่อสู้แล้ว พวกเขาก็อาจจะไม่ได้เห็นแม้แต่หน้าของซุยเฮ็ง?

ก็แหงสิวะ! ก็ไอ้ซุยเฮ็งที่ว่ามันสามารถโจมตีไกลกว่าพันลี้ได้นี่หว่า!!!

นี่คือเซียน!

“ ข้าคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการสร้างขวัญกำลังใจของกองทัพให้มั่นคง”

เต๋าเจิงพยายามสร้างขวัญกำลังใจให้กับกองทัพ

ตอนนี้ทหารเหล่านี้ไม่ได้มีความกล้าเหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นซีดเซียว และขาของพวกเขาก็สั่นเทา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหวาดกลัวจนเยี่ยมจะแตกแล้ว

อันที่จริง นี่ก็เป็นเรื่องปกติมาก

ในสายตาของทหารเหล่านี้ แค่ปรมาจารย์ขอบเขตเซียนเทียนเพียงคนเดียวกับเพียงพอแล้วที่จะฆ่าพวกเขาได้

ถึงกระนั้น ในตอนนี้ จู่ๆ แสงกระบี่หนึ่งก็ได้พุ่งลงมาจากฟากฟ้าและตัดหัวของผู้ฝึกตนขอบเขตเทพทั้งสามคนลงได้อย่างง่ายดายราวกับกำลังตัดหญ้า!

สิ่งนี้ทำให้กำลังใจของพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

วิญญาณของพวกเขาแทบจะหลุดออกจากร่าง

ในขณะนี้ ทหารในเมืองก็มีท่าทีราวกับซากศพเดินดิน พวกเขาไม่มีเรี่ยวแรงจะไปรบเลย

นี่ยังไม่ใช่สถานการณ์ที่ร้ายแรงที่สุด มันยังมีทหารอีกนับล้านประจำการอยู่นอกเมือง

ทหารเหล่านั้นยังไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้นในเมือง

หากข่าวแพร่กระจายออกไป มันก็เป็นไปได้มากว่ามันจะเกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวขึ้น

กองทัพทั้งหมดจะหนีตายแยกย้ายกันไปในทันที!

ในยุคนี้ ทหารก็ต่อสู้เพื่อชัยชนะเท่านั้น ไม่มีใครยอมที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงสู้กับเซียน

นั่นคือการรนหาที่ตาย!

“ แล้วใครจะไปสามารถเกลี้ยกล่อมกองทัพที่แข็งแกร่งนับล้านนี้ได้” เสิ่นหยูรู้สึกปวดหัวเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

สิ่งสำคัญที่สุดคือกองทัพนี้มาจากขุมกำลังต่างๆ

และตอนนี้ เซี่ยเทียนซิง, เย่ฮุ่ยและไป๋ซงเหนียนก็ได้เสียชีวิตลงไปแล้ว ทหารที่พวกเขานำมาเองก็จะต้องจากไปอย่างแน่นอน

ในสถานการณ์เช่นนี้ ตราบเท่าที่มีทหารจำนวนมากออกไป ปฏิกิริยาลูกโซ่ก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายมาก และทหารก็จะค่อยๆ ทยอยออกไปมากขึ้น

กองทัพที่แข็งแกร่งนับล้านอาจจะแตกพ่ายกันไปโดยไม่มีการสู้รบ!

“ ตอนนี้เราควรจะทำยังไงกันดี?” มีคนตะโกนขึ้นด้วยความโกรธเคือง

นี่คือทูตสวรรค์จากโลกเบื้องบนของตระกูลเจียงแห่งหนานเหอ ชื่อของเขาคือเจียงซานฉวนและเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนขอบเขตเทพที่เหลืออยูจากอีก 14 คน ซึ่งตอนนี้เขาก็คือคนที่แข็งแกร่งที่สุด

ทุกคนมองหน้ากันและไม่รู้จะทำอย่างไรดี

“ข้าคิดว่าเราควรเตือนกองทัพทั้งหมดในทันที ใครก็ตามที่กล้าออกจากค่ายไปจะต้องถูกลงโทษตามกฎทหาร!” เต๋าเจิงแนะนำ “ ฆ่าใครก็ตามที่กล้าออกจากค่าย!”

“ ต้องแบบนั้นแหละ!" เจียงซานฉวนพยักหน้าเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้และพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ สถานการณ์นี้เร่งด่วนมาก เราต้องใช้มาตรการที่หนักหน่วง และผู้ที่ไม่เชื่อฟังก็จะถูกประหารชีวิต!”

ผู้นำเหล่านี้มาจากกองกำลังที่แตกต่างกัน และพวกเขาก็นำกองกำลังของตนเองมาด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้นำเหล่านี้ได้นั่งเคียงข้างกัน ดังนั้นมันจึงไม่มีผู้บัญชาการที่แท้จริง

อย่างไรก็ดี หลังจากที่ซุยเฮ็งได้สร้างความหวาดกลัวทิ้งไว้ในใจพวกเขา ในที่สุดพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกคำสั่งที่เด็ดขาดเช่นนี้

ถึงกระนั้น พวกเขาก็โชคไม่ดีนัก ในเช้าวันต่อมา แสงกระบี่อีกเส้นหนึ่งได้พุ่งออกมาจากขอบฟ้าและตกลงบนท้องฟ้าเหนือเมืองฉางซิง

ท่อนไผ่สามท่อนได้ตกลงมาจากบนฟากฟ้า

เจียงซานฉวนเป็นหนึ่งในผู้โชคดีของวันนี้

ด้วยเหตุนี้เอง ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ประกาศคำสั่งออกไป หัวของเจียงซานฉวนจึงได้ถูกตัดขาดซะก่อน

ความสิ้นหวังปกคลุมจิตใจของพวกเขาทั้งหมดในทันที

เสียชีวิตไปแล้วอีก 3 ราย!

และต่อไป พวกเขาก็จะต้องตายกันมากขึ้น!

แบบนี้แล้วพวกเขาจะต่อสู้ต่อไปได้อย่างไร!

อย่างไรก็ตาท การต่อสู้ในครั้งนี้ก็ได้รับการจับตามองจากทั่วทั้งโลก ดัง้นั้นหากพวกเขาแยกย้ายกันออกไปโดยยังไม่ทันจะเริ่มสู้ แบบนี้แล้วพวกเขาจะเอาหน้าที่เหลือไปไว้ไหน?

ชื่อเสียงไม่ใช่แค่ภาพลวงตา

โลกเบื้องบนให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมาก

แต่ปัญหาคือพวกเขาจะสู้ศึกในครั้งนี้ได้อย่างไร?

สถานการณ์ภายในสำนักงานเทศมณฑลเต็มไปด้วยความอึดอัด

ทุกคนมองหน้ากันและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

“ เราต้องเดินทัพและโจมตีฉางเฟิงในทันที เรารอช้าต่อไปอีกไม่ได้แล้ว!” จู่ๆ เต๋าเจิงก็พูดขึ้นและทำลายความเงียบ “ นี่เป็นทางเดียวที่เราจะมีโอกาสรอด!”

“ ซุยเฮ็งจะฆ่าพวกเราแค่สามคนต่อวันเท่านั้น และบางทีมันก็อาจจะเป็นเพราะเขาสามารถทำได้แค่นั้น”

“ ยิ่งไปกว่านั้น มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาแค่ใช้วิธีนี้เพื่อทำให้พวกเรากลัว บางทีเขาอาจจะไม่ได้โจมตีจากระยะไกลเลย เขาอาจจะเพียงแค่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดและเตรียมวางแผนจะโจมตีเรา”

“ ถ้าเราสามารถทะลวงผ่านเขตฉางเฟิงไปได้ เราก็จะสามารถเผยธาตุแท้ของเขาได้ และนี่ก็จะเป็นทางออกเดียวของเรา ไม่อย่างนั้นเราก็จะทำได้เพียงแค่นั่งรอความตาย!”

คำพูดนี้ได้รับการยอมรับจากทุกคนในทันที

ณ จุดนี้ นี่ก็เป็นทางออกเดียว

ไม่ว่าพวกเขาจะเตรียมการมาดีขนาดไหน แต่หากพวกเขาตายกันหมดซะก่อน มันก็จะไม่มีความหมายใดๆ

พวกเขาต้องรีบออกเดินทางในทันที!

“ ยังไงก็ตาม เราก็ยังต้องไปเอาหวังตงหลินกลับมา!” เสิ่นหยูแนะนำอีกครั้ง “ ในฐานะผู้ก่อตั้งกองกำลังนี้ขึ้นมา เขาจะไม่มาเข้าร่วมได้อย่างไร? เราต้องให้เขากลับมารับผิดชอบ!”

ไม่มีใครคัดค้านข้อเสนอแนะนี้

พวกเขาไม่สนใจแล้วว่าหวังตงหลินถูกกีดกันออกไปเพราะอะไร

ในตอนนี้ พวกเขาก็แค่ต้องการจะหาแพะรับบาปตัวอื่นมาเพิ่มก็เท่านั้น!

….

ในสำนักงานว่าการเขตฉางเฟิง

ซุยเฮ็งเขย่าแท่งไม้ไผ่เพื่อจับฉลากผู้โชคดีทั้งสามคนของวันนี้ สิ่งนี้กลายมาเป็นความบันเทิงประจำวันของเขา

และมันก็ยังเป็นการเก็บเกี่ยวที่ดีอีกด้วย

ในเวลาเพียงสามวัน แสงสีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของความเกลียดชังและแสงสีเทาที่เป็นสัญลักษณ์ของความเศร้าโศกก็ได้พุ่งสูงขึ้นถึงสามฟุต!

และมันก็ยังคงเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ มันเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่!

หลังจากแสงสีเหลืองที่เป็นสัญลักษณ์ของความปรารถนาสูงถึงสามฟุต เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาสามารถรวบรวมอารมณ์ทั้งเจ็ดของทั้งมณฑลได้โดยตรง

นอกจากนี้ เขาก็ยังสามารถควบแน่นบางสิ่งที่เจ๋งยิ่งกว่าอัญมณีเจ็ดอารมณืได้อีก มันคือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เจ็ดอารมณ์!

วิญญาณศักดิ์สิทธิ์เจ็ดอารมณ์นี้ไม่ได้มีสติปัญญาเป็นของตัวมันเอง และโดยพื้นฐานแล้ว มันก็เป็นการขยายจิตใจของซุยเฮ็งผ่านการวางไว้เหนือหัวของสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณได้

มันเป็นเหมือนกับตัวแทนของเขา!

ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะไปที่ใด แต่เขาก็จะสามารถรวบรวมอารมณ์ทั้งเจ็ดของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดโดยรอบมันได้

ก่อนหน้านี้ เขาก็ได้วางวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เจ็ดอารมณ์เอาไว้เหนือหัวของหลิวหลี่เต๋าในตอนที่เขาเดินทางไปยังมณฑลฉางซิง

และหลังจากที่หลิวหลี่เต๋ากลับมาจากมณฑลฉางซิงแล้ว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์เจ็ดอารมณ์ก็ได้ถูกวางไว้บนกระบี่หงหวู่

ด้วยเหตุนี้เอง ซุยเฮ็งจึงสามารถรวบรวมอารมณ์ทั้งเจ็ดของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเมืองฉางซิงได้โดยตรง

“ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์เจ็ดอารมณ์นี้ถือเป็นรูปแบบตัวอ่อนของจิตวิญญาณรึเปล่านะ?” ซุยเฮ็งตกอยู่ในภวังค์ความคิด เขาไม่ได้คาดคิดว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เจ็ดอารมณ์จะมีความสามารถที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้

มันทำให้วิธีการของเขามีความหลากหลายมากขึ้น

“ หื้ม?!”

ในขณะนี้ ซุยเฮ็งก็อุทานออกมาเบาๆ เขาเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วขณะที่มองออกไปในระยะไกล เขาสัมผัสได้ถึงความน่าขยะแขยงอย่างรุนแรงที่ปรากฎขึ้นในเขตฉางเฟิง

“ พระ!”