ตอนที่ 181

บทที่ 181 : ข้าจะตายไปพร้อมกับต้าจิน รูปปั้นหิน

ซุยเฮ็งสั่งให้ทุกคนออกไป มันเหลือเขาอยู่ตามลำพังในห้องโถงด้านในของสำนักงานว่าการ

ครู่ต่อมา

เว่ยอี้ที่ดูกระวนกระวายก็มาถึง

ในขณะนี้ ในที่สุดเขาก็เห็นผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวที่สร้างปัญหามาครึ่งปีแล้ว

หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยและความสับสน มีคำพูดนับไม่ถ้วนที่เขาอยากจะพูด แต่มันก็กลายเป็นการถอนหายใจยาวในขณะนี้

“ จักรพรรดิแห่งต้าจินเว่ยอี้คารวะท่านเซียนผู้สูงส่ง”

แตกต่างจากพยัคฆ์ขาว ครั้งนี้เขาได้แสดงความเคารพอย่างแท้จริง

ซุยเฮ็งมองไปที่จักรพรรดิแห่งต้าจินด้วยความสนใจและหัวเราะออกมาเบาๆ “ ที่ผ่านมา เจ้าก็ได้ออกกฤษฎีกาเกี่ยวกับข้ามากมาย”

เขาสนใจจักรพรรดิต้าจินจริงๆ

ใครบ้างจะยอมมอบดินแดนของตนให้แก่ประเทศศัตรู? ใครบ้างจะสั่งให้ผู้ว่าการรัฐทั่วโลกมาโจมตีบุคคลที่ช่วยประเทศกู้คืนดินแดนที่สูญเสียไป?

มันคือคนตรงหน้าเขานี่ไง!

โดยปกติแล้ว มันก็จะไม่มีใครออกกฤษฎีกาเหล่านั้นแน่หากพวกเขาไม่ได้มีภาวะเส้นเลือดในสมองตีบตันมาเป็นเวลาสิบปี

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากได้เห็นเว่ยอี้ ปฏิกิริยาแรกของซุยเฮ็งจึงเป็นการตรวจสอบสภาพของอีกฝ่าย

เขาตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายก็มีสุขภาพดีอย่างน่าประหลาดใจ

เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ในวัยห้าสิบแล้ว แต่ร่างกายของเขาก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ เขาสามารถกล่าวได้ว่ายังดูเหมือนกับอยู่ในวัยสามสิบหรือสี่สิบอยู่

ในยุคโบราณนี้ มันก็เป็นเรื่องยากมากที่คนที่ไม่ได้ฝึกวรยุทธ์จะมีร่างกายแข็งแรงดี

แม้แต่จักรพรรดิเองก็เหมือนกัน

เมื่อเว่ยอี้ได้ยินคำพูดของซุยเฮ็ง ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้ เขายังคงโค้งคำนับและพูดด้วยความเคารพว่า “ ในตอนนั้น ข้าก็มีความตั้งใจที่จะทำลายประเทศและฝังต้าจินที่เน่าเฟะนี้ลง”

“ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่โลกใบนี้จะสามารถถือกำเนิดใหม่ในความพินาศได้ และเมื่อนั้น ผู้คนในอนาคตก็จะมีโอกาสสร้างโลกขึ้นมาใหม่ พวกเขาจะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงโลกอย่างแท้จริงและเปิดศักราชใหม่ให้ผู้คนได้ฟื้นคืนชีวิต”

“ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าต้าจินจะอ่อนแอและยากที่จะฟื้นฟูประเทศ แต่มันก็ยังมีรากฐานมาเกือบ 300 ปี มันไม่มีศัตรูภายนอกและมีตระกูลขุนนางมากมายที่คอยสนับสนุน ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยุบมันลงอย่างรวดเร็ว”

“ แต่แล้วการปรากฏตัวของท่านเซียนผู้สูงส่งก็ทำให้ข้ามีความหวัง ข้าเชื่อว่าด้วยพลังอันไร้ขอบเขตของท่านเซียนผู้สูงส่ง มันก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะฝังต้าจินลงได้ ดังนั้นข้าจึงออกคำสั่งเหล่านั้น…”

“ ความคิดของเจ้าน่าสนใจมาก” ซุยเฮ็งพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามันมีจักรพรรดิที่ต้องการจะฝังประเทศของเขาลงเพื่อเป็นผู้กอบกู้โลก เจ้ามาพบข้าในครั้งนี้เพื่อขอให้ข้าทำลายต้าจินลงอย่างงั้นหรอ?”

“ ท่านจะยอมทำอย่างนั้นหรอ?” เว่ยอี้เงยหน้าขึ้นและมองตรงไปที่ซุยเฮ็ง

“ ไม่” ซุยเฮ็งส่ายหัวเล็กน้อยและถอนหายใจ “ ข้าจะทำลายราชวงศ์ที่เน่าเฟะนี้ไปเพื่ออะไร? ข้าเป็นผู้ฝึกตน ข้าไม่ได้เป็นจักรพรรดิที่ปกครองประเทศ”

“ ข้ารู้ เพราะฉะนั้นแล้ว ข้าจึงไม่ได้มาที่นี่พบท่านเซียนผู้สูงส่งเพื่อขอร้องให้ท่านทำลายต้าจิน” เว่ยอี้จ้องมองอย่างแน่วแน่และสีหน้าของเขาก็ดูจริงจัง “ ข้าได้ยินมาว่าท่านเซียนผู้สูงส่งเป็นอาจารย์ของราชาสวรรค์หงหวู่ใช่หรือไม่?”

“ ถูกต้อง” ซุยเฮ็งพยักหน้า

“ เมื่อตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าก็ได้เคยอ่านมหาคลังสอดประสานในห้องสมุดของพระราชวัง มันเป็นหนทางที่ดีที่จะช่วยผู้คนและเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างแท้จริง” เว่ยอี้พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ แต่ในฐานะจักรพรรดิ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะนำทฤษฎีนี้ไปปฏิบัติ”

“ เจ้าเคยเห็นมหาคลังสอดประสานมาแล้วหรอ? ถ้าอย่างนั้น...” สีหน้าของซุยเฮ็งดูแปลกใจในขณะที่เขาหัวเราะเล็กน้อย “ หรือว่าเจ้าจะต้องการให้ข้าช่วยสร้างตัวตนใหม่และใช้ตัวตนนี้เพื่อก่อการกบฏและล้มล้างตัวเจ้าเอง?”

“ ดวงตาของท่านเซียนผู้สูงส่งเป็นดั่งคบเพลิง ข้ามีความตั้งใจที่จะใช้ตัวตนใหม่นั้นจริงๆ” เว่ยอี้ชื่นชมในตอนแรก แต่จากนั้นเขาก็ส่ายหัวและพูดว่า “ อย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่ต้องการจะเป็นผู้นำกองทัพปฏิวัติที่โค่นล้มต้าจิน”

“ หากเป็นเช่นนั้น แม้ข้าจะโค่นล้มต้าจินได้สำเร็จ แต่ข้าก็จะยังคงเป็นจักรพรรดิอยู่ดี นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ ข้าต้องการจะหาบุคคลที่เหมาะสมเพื่อช่วยเขาในการนำทฤษฎีนี้ไปใช้”

“ เมื่อต้าจินเก่าถูกโค่นล้มและโลกใบใหม่ถูกสร้างขึ้น ตัวตนของข้าก็จะตายไปพร้อมกับต้าจิน ฉะนั้นแล้ว ท่านเซียนผู้สูงส่ง โปรดเติมเต็มความปรารถนาของข้าด้วย!”

“…” ซุยเฮ็งเงียบลงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขามองเว่ยอี้อย่างระมัดระวังและพยักหน้า “ เอาล่ะ ข้ารับคำขอ ถ้าเจ้าไม่เปลี่ยนใจในสามเดือน จงมาที่นี่อีกครั้งเพื่อมาบอกข้า”

“ ขอบคุณท่านเซียนผู้สูงส่ง!” เว่ยอี้ก้มหัวลงและทำความเคารพ หัวใจของเขาลุกโชนไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ไม่เคยมีมาก่อน

“ ออกไปได้แล้ว” ซุยเฮ็งถอนหายใจ

เขามองไปที่เว่ยอี้ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น และด้วยความสับสน เขาก็รู้สึกราวกับว่าเขาได้มองเห็นภาพซ้อนทับของเด็กน้อยเนื้อตัวมอมแมมเมื่อตอนนั้น

เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

เมื่อ 300 ปีที่แล้ว งานที่ยังไม่เสร็จดีของหงฟู่กุ่ยกำลังจะถูกเริ่มต้นใหม่อีกครั้งโดยจักรพรรดิต้าจินองค์นี้

โลกนี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง!

….

เว่ยอี้และพยัคฆ์ขาวบอกลาซุยเฮ็งในเช้าวันรุ่งขึ้นและออกจากเมืองไป

เซียนปฐพีจากสำนักเซียนฝึกอสูรคนนี้ดูเหมือนจะตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่กลับไปที่โลกสูญสวรรค์ เขาเพียงต้องการจะติดตามเว่ยอี้ไปด้วย เขารู้สึกว่าโลกเบื้องล่างนั้นสนุกกว่าโลกเบื้องบนมาก

หลังจากที่พวกเขาจากไป ซุยเฮ็งก็ได้จัดเตรียมที่พักให้สำหรับเซียนมนุษย์จากตระกูลขุนนางของโลกเบื้องบน และสั่งให้พวกเขากลับไปในวันสุดท้ายของขีดจำกัด 30 วัน

ณ จุดนี้ พายุต่างๆ ที่เกิดจากการมาถึงของเซียนและพระอรหันต์ก็ถือได้ว่าสิ้นสุดลงแล้ว

หลังจากจัดการกับเรื่องนี้เสร็จ ซุยเฮ็งก็ออกจากเมืองฉางเฟิงและมุ่งหน้าไปยังตำหนักเต๋าอี้กับจางซูหมิง

….

ในตำนานโบราณ ณ จุดเริ่มต้นของโลก เทพสวรรค์ก็ได้ลงมา

เทพสวรรค์องค์นี้ได้แบ่งดินแดนออกเป็น 36 รัฐ

หยงโจวเป็นศูนย์กลาง

และภูเขาตงหัวเป็นศูนย์กลางของหยงโจว

ตำหนักเต๋าอี้ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางและยอดเขาที่สูงที่สุดของภูเขาตงหัว

อาจกล่าวได้ว่าพวกเขเป็นศูนย์กลางของโลกทั้งใบ

ในขณะนี้ ซุยเฮ็งก็ขี่เมฆมากับจางซูหมิงและมาถึงเหนือยอดเขาแล้ว

เมื่อมองลงมาจากบนท้องฟ้า เขาก็เห็นว่ามันมีตำหนักและศาลามากมายที่สร้างขึ้นบนยอดเขาเทียนอี้ พวกมันงดงามและสลับซับซ้อน ทะเลหมอกรอบตัวพวกเขาทำให้สถานที่แห่งนี้ดูลึกลับมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม สายตาของซุยเฮ็งก็มองทะลุผ่านทะเลเมฆหมอกและเขาก็สามารถมองเห็นฉากรอบๆ ยอดเขาได้

มันมียอดเขาล้อมรอบอีกมากมายจริงๆ

พวกมันสูงไม่ถึง 100 ฟุต แต่พื้นที่ของพวกมันก็ใหญ่โต พวกมันเป็นเหมือนกับตีนเขาขนาดใหญ่ แต่มันก็ไม่มีภูเขาอยู่เหนือพวกเขา

ราวกับว่าภูเขาทั้งลูกได้ถูกพลังอันมหาศาลโค่นลบออกไป

และมันก็เหลือเพียง "ซาก" ที่ด้านล่างเท่านั้น

มันมี “ซากภูเขา” ทั้งหมดเก้าแห่งล้อมรอบตำหนักเต๋าอี้

“ เซียนผู้สูงส่ง 'ภูเขา' ทั้งเก้านี้เคยเป็นยอดเขาเก้ายอด ตำหนักและอาคารหลายแห่งได้ถูกสร้างขึ้นที่นั่น และพวกเขาก็สืบทอดมรดกมาจากตำหนักเต๋าอี้” จางซูหมิงอธิบายเมื่อเขาสังเกตเห็นการจ้องมองของ ซุยเฮ็ง

“ ตามหนังสือโบราณของเป่ยเฉิน หลังจากการสู้รบเมื่อ 3,000 ปีที่แล้วผ่านไป กลุ่มหลักของตำหนักเต๋าอี้ก็ได้ถูกบังคับให้ย้ายไปยังโลกสูญสวรรค์ หรือนี่คือการเคลื่อนย้ายของพวกเขา?” ซุยเฮ็งกล่าวด้วยความประหลาดใจ

นี่เป็นการย้ายสำนักหลักออกไปหรอ? ไม่ใช่แล้ว นี่มันการขุดรากถอนโคนชัดๆ!

“ มันเป็นการตัดสินใจของผู้ก่อตั้งสำนัก ณ ตอนนั้น” จางซูหมิงพูดอย่างขมขื่น

“ นี่คือทั้งหมดที่เหลืออยู่ของตำหนักเต๋าอี้โบราณที่สืบทอดกันมาเป็นเวลา 10,000 ปี มันช่างไร้ความปรานีจริงๆ” การจ้องมองของซุยเฮ็งกวาดไปที่บนภูเขาทั้งเก้าอีกครั้ง และเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจเล็กน้อย

นั่นคือเงินทั้งหมด เงินที่ควรจะเป็นของฉันน!

หากมรดกของภูเขาทั้งเก้านี้ยังอยู่ เขาก็คงจะรวยมากน่าดู

“ อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไปที่มรดกเหล่านี้ได้หายไป” ซุยเฮ็งคิดอีกครั้ง “ เมื่อ 3,000 ปีก่อน เจ้าสำนักของตำหนักเต๋าอี้ก็เป็นเทพลึกลับไท่อี้แล้ว เขาน่าจะเทียบได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ทองคำขั้นกลาง”

“ ดังนั้นถ้าเขายังไม่ตาย ฉันก็คงจะไม่มีโอกาสได้มาเก็บเงินที่นี่แน่”

ขณะที่เขาปลอบใจตัวเอง เขาก็ลงจอดบนยอดเขาพร้อมกับจางซูหมิง

นี่คือจัตุรัสขนาดใหญ่ที่ปูด้วยแผ่นหิน ตรงกลางมีรูปปั้นหินสีเขียวขนาดใหญ่สูง 99 ฟุต 9 นิ้ว มันถูกแกะสลักเป็นรูปของชายที่สง่างามกำลังสวมเสื้อคลุมและถือภาพวาด

ในขณะนี้ โจวหงอี้ก็ได้นำลูกศิษย์จำนวนมากมาฝึกศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นซุยเฮ็งและจางซูหมิงบินเข้ามา เขาจึงรีบนำศิษย์เหล่านี้ออกไปและโค้งคำนับด้วยความเคารพ “ คารวะท่านเซียนผู้สูงส่ง คารวะท่านเจ้าสำนัก!”

แม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์ส่วนตัวของจางซูหมิง แต่เขาก็ยังต้องเรียกอีกฝ่ายว่าเจ้าสำนักเมื่อทักทายกันในที่สาธารณะ

เหล่าศิษย์ต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

ศิษย์ของตำหนักเต๋าอี้ได้ยินมานานแล้วว่ามันมีเซียนที่แท้จริงได้ปรากฏตัวขึ้นในโลกมนุษย์ เขาสามารถทำลายกองทัพได้ด้วยตัวคนเดียว และยังมีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเรียกลมพายุได้ มันน่าเหลือเชื่อมาก

พวกเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าพวกเขาจะได้มาเห็นเขาด้วยตาของพวกเขาเองในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่มีใครกล้าที่จะจ้องมองไปที่ซุยเฮ็งโดยปราศจากความยับยั้งชั่งใจ พวกเขามองอย่างระมัดระวังก่อนที่จะรีบก้มหัวลง

“ อืม ศิษย์เหล่านี้ไม่เลวเลย” สายตาของซุยเฮ็งกวาดไปที่ศิษย์ธรรมดาเหล่านี้ เขาได้ค้นพบต้นกล้าที่ดีที่เหมาะแก่การฝึกแล้ว

คำชมง่ายๆ นี้ทำให้ศิษย์ของตำหนักเต๋าอี้ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นในทันที พวกเขารู้สึกว่าคำพูดของซุยเฮ็งนั้นมุ่งตรงมาที่พวกเขา

บางคนเริ่มเพ้อฝันว่าหลังจากที่พวกเขาได้ฝึกตนจนมีพลังเทียบเคียงกับซุยเฮ็งได้แล้ว พวกเขาก็จะได้ถูกจารึกชื่อและกลายเป็นตำนานเล่าขานให้ลูกหลานฟัง

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ศิษย์ธรรมดาเหล่านี้กำลังเพ้อฝัน ซุยเฮ็งก็ได้มาถึงกลางจัตุรัสพร้อมกับจางซูหมิงแล้ว

“ ท่านเซียนผู้สูงส่ง นี่คือบรรพบุรุษของเรา เทพเต๋าที่ตำหนักเต๋าอี้ของข้าเคารพบูชา” หลังจากที่จางซูหมิงได้โค้งคำนับให้กับรูปปั้นด้วยความเคารพแล้ว เขาก็กล่าวต่อว่า “ เมื่อ 10,000 ปีก่อน โลกนี้ยังอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์ และจากนั้น เหล่าทวยเทพจึงลงมาและแบ่งรัฐทั้ง 36 รัฐ”

“ ในหมู่พวกเขา เทพเต๋าก็เป็นที่เคารพนับถือมากที่สุด มรดกที่เขาทิ้งไว้คือตำหนักเต๋าอี้ เขาปล่อยให้ตำหนักเต๋าอี้สอนสั่งสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและช่วยให้เผ่าพันธุ์มนุษย์หลุดพ้นจากความไม่รู้และเปิดอารยธรรมขึ้นมา”

“ เทพเต๋า…” ซุยเฮ็งพึมพำ ในเวลาเดียวกัน สายตาของเขาก็กวาดไปที่รูปปั้นขนาดใหญ่ เขารู้สึกว่ารูปปั้นนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่รูปปั้นหินธรรมดาๆ