บทที่ 116 : โลกสูญสวรรค์คือคนนอกที่แท้จริง!
300 ปีที่แล้ว ราชาสวรรค์หงหวู่ได้สังหารตระกูลขุนนางและสำนักใหญ่ไปจนเกือบหมดโลก
นอกเหนือจากสำนักที่ละทางโลกอย่างตำหนักเต๋าอี้แล้ว แม้แต่สำนักขนาดใหญ่อย่างโถงพุทธมามกะเป่าหลินเองก็ยังไม่สามารถหลีกหนีชะตากรรมได้
ด้วยเหตุนี้เอง คำว่า “หงหวู่” จึงไม่มีวันเลือนหายไปจากใจของโถงพุทธมามกะเป่าหลิน
และในตอนนี้ มันก็มีคนต้องการจะทำในสิ่งที่หงหวู่เคยทำไว้ในอดีต
สิ่งนี้ทำให้พระคงฉีต้องการจะฆ่าซุยเฮ็งในทันที!
หลังจากที่เหรินหยวนคุยและเว่ยเซียงได้รับการยืนยันจากพระคงซีเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ซุยเฮ็งก็เป็นเหมือนมีดเขียงที่วางพาดอยู่บนหัวของพวกเขา มันสามารถตกลงมาได้ทุกเมื่อและทำให้พวกเขาตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา
แน่นอน ในฐานะสมาชิกของหยูโจว เว่ยเซียงก็สามารถกลับไปยังหยูโจวได้โดยตรง
อย่างไรก็ตาม เขาก็ลังเลเล็กน้อยที่อาจจะต้องพลาดรางวัลมากมายหลังจากที่เหรินหยวนคุยประสบความสำเร็จในการขึ้นครองตำแหน่ง นอกจากนี้ ด้วยการมาถึงของพระคงซี เขาจึงต้องการจะเดิมพัน
หากเขาชนะการเดิมพันในครั้งนี้ เขาก็จะได้รับความมั่งคั่งมากมาย
“ ขอบคุณพระศักดิ์สิทธิ์ การฆ่าซุยเฮ็งเพียงคนเดียวจะสามารถช่วยชีวิตผู้คนบนโลกได้อีกเป็นจำนวนมาก นี่จะเป็นบุญกุศลอันหาประมาณค่ามิได้” เว่ยเซียงแสร้งทำเป็นขอบคุณและพูดกับพระคงซี
“ อมิตาพุทธ” พระคงซีพนมฝ่ามือเข้าหากันและพูดว่า “ พระพุทธเจ้าทรงเมตตา เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะจากไฟสงคราม พระตัวน้อยอย่างอาตมาจึงทำได้เพียงฆ่าเท่านั้น”
บึ้ม!
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังโครมครามดังมาจากด้านนอก มันคือเสียงพังประตูของสำนักงานที่เพิ่งจะถูกซ่อมไปได้ไม่นาน
ฮุ่ยฉีและเฉินตงเดินตรงเข้ามาอย่างอาจหาญ
“ ข้าก็ว่าอยู่ว่ามันเป็นเสียงของแมลงวันที่น่าสะอิดสะเอียนตัวไหน” ฮุ่ยฉีค่อยๆ ชักกระบี่เหล็กที่เอวของเขาออกมา สายตาของเขากวาดมองผ่านเหรินหยวนคุยและเว่ยเซียงก่อนจะมาหยุดลงที่ใบหน้าของคงซี
เขากล่าวเย้ยหยันว่า “ มันเป็นเสียงของเจ้านี่เอง ไอ้เหลืองหัวล้าน!”
“ เป็นเจ้าอีกแล้วหรอ เฉินฮุ่ยฉี!” เหรินหยวนคุยโกรธมากในทันที เขาชี้ไปที่หน้าของฮุ่ยฉีและพูดกับพระคงฉีว่า “ ชายผู้นี้คือกระบี่ในมือของ ซุยเฮ็ง มันฆ่าคนดีไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนและแย่งชิงพื้นที่เพาะปลูกของผู้คน มันก่ออาชญากรรมที่ชั่วร้ายมากมายและสมควรถูกส่งลงนรก!”
“ อมิตาพุทธ!” พระคงซียังคงยืนนิ่ง เขามองไปที่ฮุ่ยฉีและพูดด้วยเสียงเบาว่า “ แด่พระผู้มีเมตตา ข้าเห็นว่าพลังปราณของเจ้านั้นมีออร่าของพระพุทธเจ้าด้วย เจ้าควรจะนั่งลงต่อหน้าพระพุทธเจ้า สวดมนต์และเจริญจิตเมตตา แบบนั้นแล้วเจ้ามาทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ เหอะ! พวกเจ้าปล้นที่ดินของชาวนาและเลี้ยงชาวนาราวกับเป็นข้ารับใช้ แบบนั้นหรอที่เรียกเจริญจิตเมตตา” ฮุ่ยฉีได้เห็นสิ่งสกปรกมามากมายในอารามดอกปทุม เขาเงยหน้าขึ้นและตะโกนว่า “ ข้ากำลังทำตามนโยบายของท่านผู้ว่าการเพื่อประโยชน์ของประชาชน มีตรงไหนกันที่เลวร้ายเกี่ยวกับมัน? หากเราจะพูดถึงความชั่วร้ายจริงๆ สิ่งที่พวกเจ้ากำลังทำอยู่ต่างหากที่เลวร้ายยิ่งกว่าที่ข้ากำลังทำในวันนี้เป็นพันๆ เท่า!”
“ ดี ดี ดี! ท่านพระผู้มีเมตตา เจ้าได้ละความเป็นพุทธไปเสียแล้ว เจ้าได้ละทิ้งแนวทางอันชอบธรรมและตกลงสู่วิถีมาร!” พระคงซีส่ายศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสาร และในเวลาเดียวกัน ร่างกายของเขาก็เริ่มเปล่งแสงพุทธ และสีหน้าของเขาก็ดูเคร่งขรึมยิ่งขึ้น “ วันนี้ข้าจะหยุดเจ้าไม่ให้ทำชั่วไปมากกว่านี้เอง!”
“ ไอ้เหลืองเฒ่าหัวโล้น ข้าต่างหากต้องพูดคำนั้น!” ทันใดนั้นฮุ่ยฉีก็ปากระบี่เหล็กในมือทิ้งและกำหมัดแน่น
เขาสัมผัสได้แล้วว่าการฝึกตนของพระรูปนี้ไม่ธรรมดา ดังนั้นเมื่อเขาคิดจะโจมตี เขาก็ย่อมต้องโจมตีอย่างสุดแรงเกิด
ในเวลาเดียวกัน รอยสักมังกรสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังของเขา
หมัดโพธิสัตว์มังกรสวรรค์!
….
สามวันต่อมา ซุยเฮ็งได้รับข่าวว่าฮุ่ยฉีได้สังหารผู้ฝึกตนขอบเขตเทพจากโถงพุทธมามกะเป่าหลินลงในมณฑลลั่วอัน
เหรินหยวนคุยและเว่ยเซียงเองก็ถูกประหารชีวิตและเสียบหัวประจานเช่นกัน
และนี่ก็หมายความว่านโยบายใหม่จะถูกนำมาใช้ในมณฑลลั่วอันในไม่ช้า และมันก็จะไม่มีอุปสรรคใดๆ อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับซุยเฮ็งแล้ว ผลประโยชน์ในครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของนโยบายที่กำลังจะถูกบังคับใช้
แต่มันเป็นผลประโยชน์จากผู้ฝึกตนขอบเขตเทพที่ถูกฆ่าลง แสงแห่งอารมณ์ของเขาได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก
ด้วยอัญมณีเจ็ดอารมณ์ เขาก็สามารถรวบรวมเจ็ดอารมณ์ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้แล้ว
หลังจากที่พระคงซีถูกฮุ่ยฉีสังหารลง แสงสีม่วงที่แสดงถึงความโกรธก็เพิ่มขึ้นมาหนึ่งนิ้วครึ่ง แสงสีเทาที่เป็นสัญลักษณ์ของความเศร้าเองก็เพิ่มขึ้นมาหนึ่งนิ้วครึ่ง และแสงสีเขียวที่เป็นสัญลักษณ์ของความกลัวก็เพิ่มขึ้นมาถึงสองนิ้ว!
ในตอนนี้ แสงสีแดงและสีขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของความสุขและความรักก็ไม่ได้สว่างที่สุดอีกต่อไป การเพิ่มขึ้นของทั้งสองนี้ไม่ได้มากนัก และตอนนี้มันก็เพิ่มขึ้นมาเพียง 1.5 ฟุตเท่านั้น
ต้องขอบคุณพระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์ที่สร้างปัญหาใหญ่ในหยูโจว เขาจึงสามารถรวบรวมอารมณ์ปราทนามาได้มากมาย แสงสีเหลืองได้พุ่งสูงขึ้นถึงสองฟุตหกนิ้วและกำลังจะถึงสามฟุต
และเนื่องจากการที่ฮุ่ยฉีได้สังหารพระคงซีลงในครั้งนี้ แสงสีม่วงที่เป็นสัญลักษณ์ของความโกรธและแสงสีเทาที่เป็นสัญลักษณ์ของความเศร้ในที่สุดจึงสว่างเกินหนึ่งฟุตแล้ว แสงสีเขียวที่เป็นสัญลักษณ์ของความกลัวเองก็สว่างเกินกว่าแสงสีแดงและสีขาวถึงหนึ่งฟุตหกนิ้ว
“ จากการคำนวณนี้ ฉันก็ต้องการเพียงแค่อารมณ์ของผู้ฝึกตนขอบเขตเทพอีกประมาณ 50 คนเท่านั้นเพื่อรวบรวมแสงสีม่วง สีเทา และสีเขียวให้สว่างถึง 7 ฟุต” ซุยเฮ็งตกอยู่ในภวังค์ความคิด
สิ่งนี้สะดวกมากจริงๆ แต่นี่จะถือเป็นเรื่องที่โหดร้ายรึเปล่านะ?
คงไม่หรอกมั้ง...
การกวาดล้างตระกูลและสำนักใหญ่เหล่านี้ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนจำนวนนับไม่ถ้วน!
นอกจากนี้ มันก็ยังเป็นการแก้แค้นให้กับหงฟู่กุ่ยที่พ่ายแพ้ให้กับพวกเขาและเจียงฉีฉีที่หายตัวไปหลังจากถูกปิดล้อม
มันถูกต้องและเป็นไปตามสมควรแล้ว!
แต่กระนั้นปัญหาก็คือ ตระกูลและสำนักใหญ่เหล่านี้มีผู้ฝึกตนขอบเขตเทพมากเพียงพอหรือไม่? นี่เป็นจุดบอดของความรู้ของซุยเฮ็ง ดังนั้นเขาจึงเรียกจางซูหมิงมาถาม
เห็นได้ชัดว่าเจ้าสำนักของตำหนักเต๋าอี้นั้นมีความรู้ที่กว้างขวางมาก
“ ท่านผู้ว่าการต้องการจะโจมตีกองกำลังเหล่านี้หรอ?” เมื่อเร็วๆ นี้ ความสามารถในการคาดเดาของจางชูหมิงก็มีการพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินซุยเฮ็งถามเกี่ยวกับผู้ฝึกตนขอบเขตเทพของกองกำลังต่างๆ เขาจึงสามารถคาดเดาบางอย่างได้ในทันที
“ ถูกต้อง” ซุยเฮ็งพยักหน้าและพูดต่อว่า “ คนเหล่านี้เคยเข้าร่วมในการปิดล้อมของสำนักเซียนอรุณเมื่อร้อยปีก่อนและมีส่วนร่วมในการปิดล้อมหงหวู่เมื่อ 300 ปีก่อน ดังนั้นมันจึงได้เวลาแล้วที่เราจะทำการสะสางบัญชีแค้น”
“…” จางชูหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ ท่านผู้ว่าการ หากเป็นเมื่อก่อน ผู้ฝึกตนขอบเขตเทพในโลกก็น่าจะหายากพอๆ กับขนนกฟีนิกซ์และเขาของกิเลน นอกเหนือจากตำหนักเต๋าอี้ของข้าและโถงพุทธมามกะเป่าหลินแล้ว มันก็น่าจะมีผู้ฝึกตนขอบเขตเทพไม่ถึงสิบคนในสิบสามรัฐของต้าจิน”
“ แล้วผู้ฝึกตนขอบเขตเทพในโถงพุทธมามกะเป่าหลินมีกี่คน?” ซุยเฮ็งถาม เขาไม่ได้ถามถึงจำนวนผู้ฝึกตนขอบเขตเทพของตำหนักเต๋าอี้เพราะเกรงว่าเขาจะไปสร้างความตื่นตระหนกให้แก่นักพรตเต๋าผู้นี้
“ น่าจะสิบ แต่ข้อมูลนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน” จางซูหมิงตอบ
“ เจ้าหมายความว่าตอนนี้มันอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นใช่ไหม?” ซุยเฮ็งสังเกตเห็นประเด็นสำคัญในคำพูดของจางซูหมิง
“ ใช่แล้ว ในตอนที่ท่านมาที่นี่เพื่อรับตำแหน่ง ทูตสวรรค์จากโลกเบื้องบนก็ได้ลงมาพร้อมกันพอดี” จางชูหมิงพูดอย่างเคร่งขรึมและอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับทูตสวรรค์
“ โอ้ เจ้ากำลังจะบอกว่าทูตสวรรค์จากโลกเบื้องบนเหล่านี้เองก็อยู่ที่ขอบเขตเทพอย่างนั้นสินะ?” ดวงตาของซุยเฮ็งเป็นประกายในขณะที่เขายิ้ม “ แล้วทูตสวรรค์เหล่านี้มีทั้งหมดกี่คน?”
จางซูหมิงอธิบาย “ มันน่าจะมีทูตสวรรค์ 15 ถึง 16 คนใน 11 รัฐของราชวงศ์ต้าจิน และน่าจะมีอีกอย่างน้อยเจ็ดในเจ็ดตระกูลที่โด่งดัง นอกจากนี้ก็ยังมีโถงพุทธมามกะเป่าหลินและราชวงศ์ต้าจิน”
“ ข้าเข้าใจแล้ว” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อย เขามีแผนอยู่ในใจแล้ว แต่เขาก็ยังสับสนเล็กน้อยเช่นกัน “ แล้วมันไม่มีทูตสวรรค์จากโลกเบื้องบนลงมาที่ตำหนักเต๋าอี้บ้างเลยหรอ?”
“ ผู้อาวุโสแห่งโลกเบื้องบนควรจะลงมาได้แล้ว” จางซูหมิงหยุดชั่วครู่ เขายิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวต่อ “ แต่คราวนี้มันก็ยังไม่มีข่าวใดๆ ข้าเกรงว่ามันอาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับตำหนักเต๋าอี้ในโลกเบื้องบน”
ในที่สุดเขาก็เห็นโอกาสที่จะบอกข้อมูลนี้กับซุยเฮ็ง
จริงๆ แล้วจางซูหมิงก็เลือกที่จะติดตามซุยเฮ็งด้วยเหตุผลบางประการ ในแง่หนึ่ง เขาก็ต้องการที่จะติดตามเต๋าอันยิ่งใหญ่ และในทางกลับกัน เขาก็ต้องการจะขอความช่วยเหลือจากซุยเฮ็ง
สถานการณ์ของตำหนักเต๋าอี้ในโลกเบื้องบนนั้นไม่สู้ดีนัก ดังนั้นหากพวกเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกเพียงพอ พวกเขาก็อาจจะได้จบลงแบบสำนักเซียนอรุณ
“ โอ้?” ซุยเฮ็งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้นและถามจางซูหมิง “ ตำหนักเต๋าอี้เองก็มีอยู่ที่โลกเบื้องบนด้วยสินะ”
“ ใช่แล้ว” จางซูหมิงพยักหน้า “ เรียนท่านผู้ว่าการ มีบางอย่างที่ท่านอาจไม่รู้ แม้ว่าตำหนักเต๋าอี้จะมีรากฐานที่ลึกซึ้งที่นี่ แต่เราก็ยังถือได้ว่าเป็นขุมกำลังหน้าใหม่ในโลกเบื้องบนเท่านั้น เราไม่ได้อ่อนแอ แต่รากฐานของเราก็ยังตื้นเขิน นอกจากนี้ เนื่องจากเราเป็นกลุ่มคนนอก ดังนั้นเราจึงมักจะตกเป็นเป้าหมายอยู่บ่อยๆ”
“ คนนอก?” ซุยเฮ็งพูดด้วยความประหลาดใจ “ ตำหนักเต๋าอี้ของเจ้าไม่ใช่คนของโลกเบื้องบนหรอ?”
ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ดูไม่เหมือนว่ามันจะเป็นเช่นนั้น
คนนอกที่แท้จริงควรจะเป็นสำนักเซียนอรุณ แม้แต่ระบบการฝึกตนของพวกเขาก็ยังแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน
“ เปล่าเลย เราเป็นคนท้องถิ่นของโลกใบนี้ แต่มรดกของเรานั้นก็เริ่มต้นมาจากมรดกของเทพเต๋า!”
จางซูหมิงส่ายศีรษะและหายใจเข้าลึกๆ เขาพูดต่อว่า “ ตำหนักเต๋าอี้ดำรงอยู่มาเป็นเวลา 10,000 ปีแล้ว มันตั้งอยู่ก่อนที่จะเกิดอารยธรรมของโลกใบนี้จะเกิดขึ้น”
“ นอกจากนี้ มันก็เป็นตำหนักเต๋าอี้ด้วยซ้ำที่เป็นคนสร้างอารยธรรมแรกเริ่มของโลกใบนี้ขึ้น พวกเราคือผู้ที่เผยแพร่เคล็ดวิชาการฝึกตนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อ 7,000 ปีที่แล้ว บรรพบุรุษที่ได้รับความรู้จากตำหนักเต๋าอี้ก็ได้ก่อตั้งประเทศที่มีอำนาจขึ้น และในเวลานั้น มันก็ยังไม่มีโลกเบื้องบน”
“ แต่ประวัติศาสตร์อันไกลโพ้นที่สุดที่โลกนี้จะสามารถย้อนไปถึงได้นั้นคือราชวงศ์ต้าหยานเมื่อ 3,000 ปีก่อนเท่านั้นเองนี่?” ดวงตาของซุยเฮ็งกะพริบในขณะที่ความคิดมากมายปรากฏขึ้นในใจของเขา เขาพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ หรือว่าโลกเบื้องบนจะเป็นผู้ทำลายอารยธรรมดั้งเดิมที่ถูกสร้างขึ้นโดยตำหนักเต๋าอี้?”
“ ข้าไม่รู้” จางซูหมิงถอนหายใจยาว “ บันทึกของตำหนักเต๋าอี้หลงเหลืออยู่เพียงข้อความไม่กี่บรรทัด เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจทำลายมัน และทุกครั้งที่ทูตจากโลกเบื้องบนลงมา พวกเขาก็มักจะปกปิดเรื่องนี้เอาไว้”
“ อย่างไรก็ตาม ข้าก็ยังสามารถสืบค้นข้อมูลได้มากมายจากเบาะแสบางอย่าง โลกเบื้องบนปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว และตระกูลใหญ่บางตระกูลที่ดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้เองก็ได้ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในเวลานั้น นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังมีเจ้านายอยู่ในโลกเบื้องบน”
“ และในช่วงราชวงศ์ต้าหยานเมื่อ 3,000 ปีก่อน บรรพบุรุษของตำหนักเต๋าอี้ของเราก็ได้ถูกบังคับให้ต้องเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า 'การขึ้นสู่สวรรค์' และมุ่งหน้าไปยังโลกเบื้องบนที่เรียกว่า ‘โลกสูญสวรรค์’ ”
“ ด้วยเหตุนี้เอง สำหรับโลกเบื้องบนแล้ว ตำหนักเต๋าอี้จึงเป็นเพียงคนนอก”
“ ไม่เลย จากเรื่องราวทั้งหมด 'โลกสูญสวรรค์' ต่างหากที่เป็นคนนอกมาโดยตลอด” ซุยเฮ็งยืนขึ้นและกล่าวเย้ยหยัน “ แถมพวกมันยังมีหน้าไปด่าว่าสำนักเซียนอรุณว่าเป็นปีศาจนอกรีตอีก”
เมื่อมาถึงจุดนี้ จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นว่า “ ข้าจำได้ว่าตระกูลหวังแห่งหลางหยาได้อ้างว่าตนเป็นตระกูลขุนนางของราชวงศ์ต้าหยาน และพวกเขาก็เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลที่โด่งดัง เพราะฉะนั้นแล้ว ในครั้งนี้ ทูตสวรรค์ก็น่าจะลงมาหาพวกเขาด้วยใช่ไหม?”
“ มันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น” จางซูหมิงพยักหน้าในตอนแรก จากนั้นเขาก็กล่าวเสริมว่า “ อย่างไรก็ตาม ตระกูลหวังแห่งหลางหยาครั้งหนึ่งก็เคยทำให้กลุ่มหลักของพวกเขาในโลกเบื้องบนโกรธเคือง ดังนั้นมันจึงเป็นเวลา 200 ปีแล้วที่ทูตสวรรค์ไม่ได้ลงมาหาพวกเขา”
“ แล้วเราจะได้รู้กัน” ในขณะที่ซุยเฮ็งพูด เขาก็ได้เดินทางออกไปจากห้องโถงด้านในแล้ว แสงสีทองส่องวาบรอบตัวเขา และเขาก็พุ่งทะลุท้องฟ้าไปในทันที
จางซูหมิงรีบวิ่งไปที่ทางเข้าห้องโถงด้านในและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่กระนั้นเขาก็มองไม่เห็นแสงสีทองอีกต่อไป เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
“ เขาคือราชาสวรรค์จริงๆ สินะ!”
ความเร็วของผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ทองคำนั้นเร็วมาก
เมื่อจางซูหมิงรีบวิ่งไปที่ทางเข้าห้องโถงด้านใน ซุยเฮ็งก็ได้บินออกจากเขตฉางเฟิงไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้น ในเวลาเพียงไม่กี่นาที เขาก็ได้เดินทางข้ามระยะทางกว่า 3,000 ลี้และมาถึงท้องฟ้าเหนือมณฑลหลางหยา
เขามองลงไปที่คฤหาสน์ของตระกูลหวัง...
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved