ตอนที่ 102

บทที่ 102 จัดหาผู้สืบทอด

นอกสำนักงานเทศมณฑล

ประชาชนจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนถนน มันไม่ใช่เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม แต่เพื่อเกลี้ยกล่อมให้ซุยเฮ็งอยู่ต่อ

ในขณะนี้ มันก็ผ่านไปกว่าสิบวันแล้วตั้งแต่หวังฉิงเหอและเซี่ยเป่ยซิงถูกแขวนประจานอยู่บนเสาธงของหอประตูเมือง

ทุกคนรู้เกี่ยวกับจดหมายที่ซุยเฮ็งส่งไปยังมณฑลอื่นๆ แล้ว

และแน่นอนว่าพลเมืองของมณฑลลู่เองก็ย่อมรู้เรื่องนี้เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้เอง ตั้งแต่สามวันที่แล้ว ประชาชนจึงได้มารวมตัวกันที่ด้านนอกสำนักงานเทศมณฑลเพื่อยื่นคำร้องให้ซุยเฮ็งดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ มณฑลลู่ต่อไป

แม้ว่าในตอนที่หลิวหลี่เต๋าจะเป็นผู้ว่าการมณฑล เหล่าสามัญชนก็ยังถือได้ว่าใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างสงบสุข แต่ทุกอย่างก็แตกต่างออกไปเมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน

หลังจากที่ซุยเฮ็งมาถึงที่นี่ เขาก็ได้แบ่งที่ดินของพ่อค้าที่ร่ำรวยและกวาดล้างพ่อค้า ตระกูล สำนักและกองกำลังอื่นๆ ที่รังแกเหล่าสามัญชน และด้วยวิธีนี้ มาตรฐานความเป็นอยู่ของเหล่าสามัญชนจึงได้เพิ่มขึ้นมาจนถึงในระดับที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว

คนธรรมดาทั่วไปย่อมหวังว่าสถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่จะได้รับการจัดการโดยเจ้าหน้าที่ที่แสนดีอย่างซุยเฮ็ง

หลิวหลี่เต๋ารายงานอย่างหมดหนทาง “ นายท่าน ผู้คนทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้ท่านจากไป ข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าเราควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี?”

ซุยเฮ็งยังคงมองดูแผนที่ทั้ง 13 มณฑลของเฟิงโจว เขายิ้มและพูดว่า “ เจ้าเป็นรองผู้ว่าการ เจ้าน่าจะมีความคิดอะไรบ้างแล้วใช่ไหม?”

หลิวหลี่เต๋าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า “ นายท่าน ท่านมีสายตาที่เฉียบแหลม ข้าได้คิดวิธีแก้ปัญหาเอาไว้แล้ว”

ซุยเฮ็งพยักหน้าเบาๆ และพูดว่า “ ว่ามา”

หลิวหลี่เต๋าพูดเสียงเบาว่า “ นายท่าน ผู้คนกังวลว่าหลังจากที่ท่านจากไป หากผู้ว่าการคนอื่นมาแทน ผู้ที่ถูกกวาดล้างไปแล้วก็จะกลับมาโจมตีและทำให้ชีวิตของพวกเขาตกต่ำลงมาอีกครั้งได้”

“ ดังนั้นตราบใดที่ผู้คนรู้ว่าแม้ว่าท่านจะออกไปจากมณฑลลู่ แต่สายตาของท่านก็จะยังคงจับจ้องมายังที่สถานที่แห่งนี้ และคำสั่งก่อนหน้านี้ก็จะยังคงบังคับใช้ที่นี่ ด้วยสิ่งนี้ มันก็น่าจะสร้างความมั่นใจให้กับเหล่าสามัญชนได้แล้ว”

“ เจ้าหมายถึง…” ซุยเฮ็งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและหัวเราะเบาๆ “ เจ้าต้องการให้ข้าคอยดูมณฑลลู่เอาไว้แม้ว่าข้าจะนั่งในตำแหน่งผู้ว่าการรัฐของเฟิงโจวแล้วก็ตามอย่างงั้นสินะ”

“ นายท่าน นี่คือความประสงค์ของประชาชน” หลิวหลี่เต๋าโค้งคำนับและถามว่า “ หลังจากที่ท่านกลายเป็นผู้ว่าการรัฐเฟิงโจว ท่านก็จะสามารถเลียนแบบระบบผู้ว่าการรัฐของต้าจินในสมัยก่อนและตั้งมณฑลลู่ให้เป็นเขตอำนาจโดยตรงของเขตฉางเฟิงได้ถูกไหม”

เขตฉางเฟิงเป็นเมืองหลวงของเฟิงโจว

หากมณฑลลู่อยู่ภายใต้อำนาจของผู้ว่าการรัฐ มันก็จะไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งผู้ว่าการคนใหม่

เขาแค่ต้องให้รองผู้ว่าการและนายอำเภอรับผิดชอบเรื่องการเมืองและการทหารเท่านั้น ในเวลาเดียวกัน เขาก็จะส่งเจ้าหน้าที่มาเพื่อตรวจสอบเป็นระยะๆ

สถานการณ์นี้คล้ายกับสถานการณ์ในตอนที่ต้าจินก่อตั้งขึ้นมาแรกๆ ในเวลานั้น ตำแหน่งนี้ก็ถูกเรียกว่าผู้ตรวจการรัฐด้วยซ้ำ

ในขณะนั้น ต้าจินก็เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาได้ไม่นาน และเพื่อเป็นการแบ่งอำนาจของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ราชสำนักจึงได้แบ่ง 13 รัฐออกเป็น 241 มณฑล ซึ่งทั้งหมดก็เป็นอิสระและเท่าเทียมกัน

ทางการกลางจะส่งผู้ว่าการรัฐไปตรวจสอบกิจการของทางการท้องถิ่นเป็นประจำ และรายงานผลการตรวจสอบต่อราชสำนักเพื่อรักษาเขตอำนาจให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย

ในเวลานั้น อาณาเขตของรัฐก็เป็นเพียงพื้นที่ตรวจสอบ ผู้ว่าการรัฐไม่ได้มีอำนาจในการบริหารหรือการทหารแต่อย่างใด เขาไม่ได้มีสำนักงานอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ เขามีหน้าที่เพียงเยี่ยมชมทุกที่ในเขตอำนาจและรายงานผลกลับไปยังราชสำนักเป็นประจำ

นอกจากนี้ พื้นที่ตรวจสอบก็ยังไม่แน่นอนและจะต้องได้รับการเปลี่ยนสถานที่ในทุกๆ ปี

ภูเขาสูงและถนนยาว การเดินทางนั้นเหน็ดเหนื่อย อำนาจที่พวกเขามีอยู่นั้นเล็กน้อย และผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับก็ไม่ดีนัก

ด้วยเหตุนี้เอง สถานการณ์นี้จึงกินเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษก่อนที่จะสิ้นสุดลง

เนื่องจากมณฑลต่างๆ ล้วนเป็นอิสระ และอำนาจในท้องถิ่นก็กระจัดกระจายกันมากเกินไป พวกเขาจึงไม่สามารถต่อต้านการลุกฮือของกองกำลังปฏิวัติที่มักจะก่อการกบฏได้ นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังไม่สามารถปราบปรามสำนักและตระกูลใหญ่ต่างๆ ได้

ด้วยเหตุนี้เอง ราชสำนักต้าจินจึงทำได้เพียงเปลี่ยนผู้ว่าการรัฐให้มีอำนาจอย่างในปัจจุบัน และอนุญาตให้ตั้งสำนักงานและรับสมัครเจ้าหน้าที่ได้

“ ในสมัยโบราณ ผู้ว่าการรัฐก็มีหน้าที่แค่ทำการตรวจสอบมณฑลภายในรัฐเท่านั้น มันไม่มีกรณีพิเศษที่ผู้ว่าการรัฐจะส่งคนไปตรวจตราผู้ว่าการมณฑล”

ซุยเฮ็งยิ้มและไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวว่า “ มันเป็นไปได้ที่จะจัดตั้งเขตแบบนั้น ข้าจะเรียกมันว่า “เขตฟู่” อย่างไรก็ดี หลิวหลี่เต๋า เจ้าคิดว่าใครจะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้?”

“ แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินฮุ่ยฉี” หลิวหลี่เต๋าเข้าใจได้ทันทีว่าซุยเฮ็งหมายถึงอะไรเมื่อพูดถึงตำแหน่งนี้

ฮุ่ยซีนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว

ในตอนนี้ ฮุ่ยฉีก็รับผิดชอบไป 17 มณฑลแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะซุยเฮ็งส่งเขาออกไปส่งจดหมายในช่วงนาทีสุดท้าย ฮุ่ยฉีก็อาจจะได้รับผิดชอบไปทั้ง 21 มณฑลแล้ว

เพื่อบังคับใช้ประกาศใหม่ของซุยเฮ็งในมณฑลต่างๆ ฮุ่ยฉีจึงได้สร้างความไม่พอใจให้กับตระกูลใหญ่ สำนักและพ่อค้าทั้งหมดในทุกมณฑล พวกเขาหลายส่วนถึงขั้นเขียนชื่อของฮุ่ยฉีไว้บนฝาบ้านและทำการสาปแช่งเขาทุกวันอย่างลับๆ

แน่นอนว่ามันไม่มีที่ว่างสำหรับการคืนดีแล้ว

จริงๆ แล้ว ถ้าเขาไม่รู้ว่าฮุ่ยฉีเป็นมีดที่คมที่สุดของซุยเฮ็ง หลิวหลี่เต๋าเองก็คงจะเกลี้ยกล่อมซุยเฮ็งให้แต่งตั้งฮุ่ยฉีเป็นผู้ว่าการมณฑลลู่คนต่อไปแทนไปแล้ว

และเหล่าสามัญชนก็จะย่อมไม่คัดค้านเป็นแน่

ท้ายที่สุดแล้ว ฮุ่ยฉีก็ไม่เคยสนใจอยู่แล้วว่าใครกันจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา

“ ฮุ่ยฉีเป็นผู้สมัครที่ดีจริงๆ” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ เนื่องจากเรื่องของมณฑลลู่ได้รับการตัดสินแล้ว ทีนี้ก็มาที่เรื่องรองผู้ว่าการ เจ้าจะต้องเลือกผู้สืบทอดให้ดีล่ะ”

“ รองผู้ว่าการ?” หลิวหลี่เต๋าตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเป็นรองผู้ว่าการอยู่ไม่ใช่หรอ?

อย่างไรก็ตาม เขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วและพูดด้วยความประหลาดใจ “ นายท่าน หรือว่าท่านจะพาข้าไปที่ฉางเฟิงด้วย?”

“ หลังจากเลือกผู้สืบทอดที่นี่แล้ว ข้าก็จะพาเจ้าไปด้วย” ซุยเฮ็งหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ ผู้ว่าการรัฐเองก็ต้องการใครสักคนที่จะมาช่วยเขาในเรื่องการบริหารเช่นกัน และเจ้าก็ทำผลงานเอาไว้ได้ดีมากในช่วงนี้ นอกจากนี้ เจ้าก็อย่าลืมไปบอกเฉินตงให้เตรียมหาผู้สืบทอดเอาไว้ด้วยล่ะ”

“ ขอบพระคุณนายท่าน!” หลิวหลี่เต๋าคุกเข่าลงด้วยความตื่นเต้น เขาตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมด เขาไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าเขาจะมีโอกาสได้ไต่ขึ้นไปสูงถึงขั้นนี้!