ตอนที่ 115

บทที่ 115 : เจตจำนงแห่งสวรรค์ เรียกข้าว่าฮุ่ยฉี!

หลังจากที่อู๋หยินออกมาจากห้องโถงด้านในของสำนักงานว่าการ เขาก็รู้สึกงุนงง

เขากำลังสับสนเล็กน้อย

เหตุใดผู้ว่าการจึงรีบร้อนเช่นนี้ ทำไมเขาถึงต้องรีบดำเนินการและทำให้โลกทั้งใบรู้จักเขา? แล้วทำไมเขาถึงยังกล่าวอีกว่าเขาต้องการที่จะจับเซียนและพระอรหันต์ทั้งหมดเพื่อนำมารับบทลงโทษ?

สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?

นั่นคือเซียนและพระอรหันต์!

แม้ว่าอู๋หยินจะเคยได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับซุยเฮ็ง แต่ในความเข้าใจของเขา เซียนและพระอรหันต์จากโลกเบื้องบนเองก็น่าจะมีพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างกัน

ดังนั้นแม้ว่าผู้ว่าการจะมีพลังของเทพเซียนอยู่ในครอบครองจริงๆ แต่เขาจะสามารถจัดการกับเหล่าเทพเซียนและพระอรหันต์ด้วยกันเองได้อย่างไร?

หรือผู้ว่าการจะมีแผนอื่นจริงๆ?

อู๋หยินไม่สามารถเข้าใจได้

“ ท่านอู๋ ท่านดูมีข้อสงสัยนะ” จางซูหมิงปรากฎตัวขึ้นข้างๆ อู๋หยินและหัวเราะเบาๆ

“ ผู้สมบูรณ์แบบจาง!” อู๋หยินรีบป้องมือของเขาและโค้งคำนับ ทัศนคติของเขาที่มีต่อจางซูหมิงนั้นเต็มไปด้วยความเคารพอย่างมาก

ในความคิดของคนส่วนใหญ่ ตำหนักเต๋าอี้ก็เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยตำนานเล่าขาน

ตำนานเล่าว่าในยุคโบราณรกร้าง นักพรตเต๋าแห่งตำหนักเต๋าอี้คือผู้ที่ลงมาจากภูเขาบุหงาบูรพาและสอนเหล่าสามัญชนให้รู้จักการทำฟาร์ม ตกปลา และล่าสัตว์ พวกเขาสอนจักรพรรดิหลายองค์และชี้แนะแนวทางการพัฒนาซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรม

ในแง่หนึ่ง มันก็ไม่ผิดเลยที่จะบอกว่าตำหนักเต๋าอี้เป็นแหล่งกำเนิดของอารยธรรมบนโลกใบนี้

นอกจากนี้ ตำหนักเต๋าอี้ยังทรงพลังเป็นอย่างมาก หลังจากสมัยโบราณที่ได้ผ่านพ้นไป พวกเขาก็ไม่เคยแทรกแซงการเปลี่ยนแปลงของอำนาจในโลกและอยู่ห่างจากเรื่องทางโลกมาเสมอ

ด้วยเหตุนี้เอง ตำหนักเต๋าอี้จึงมีชื่อเสียงสูงมาก ไม่ว่าจะทั้งในราชสำนักหรือในหมู่สามัญชน

และในฐานะเจ้าสำนัก สถานะของจางซูหมิงก็จึงได้รับความเคารพอย่างมาก และแม้ว่าเขาจะไปที่นครหลวงในทวีปกลาง แต่เขาก็จะยังคงได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบันอยู่ดี

“ ท่านกำลังสงสัยเกี่ยวกับแผนของท่านผู้ว่าการใช่ไหม?” จางชูหมิงยิ้ม

แม้ว่าเขาจะเคารพซุยเฮ็งในฐานะเซียน แต่มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนอื่นจะพบว่ามันแปลกหากเขาจะเรียกซุยเฮ็งแบบนั้นต่อหน้าคนอื่น ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเขาพูดกับคนอื่น เขาจึงยังคงเรียกซุยเฮ็งว่าเป็นผู้ว่าการ

“…” ความคิดของอู๋หยินถูกเปิดเผยโดยจางซูหมิง และหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “ ท่านผู้สมบูรณ์แบบจาง ข้ารบกวนท่านช่วยมาที่บ้านของข้าเพื่อพูดคุยกันสักหน่อยจะได้ไหม?”

“ แน่นอน” จางซูหมิงพยักหน้าและยิ้ม

เขาเป็นฝ่ายที่จะริเริ่มพูดคุยกับอู๋หยิน

เขาต้องการให้อู๋หยินเข้าใจว่าซุยเฮ็งเป็นการดำรงอยู่แบบไหนและทำไมเขาถึงกล้าพูดว่าเขาจะกำจัดเซียนและพระอรหันต์จากโลกเบื้องบนทั้งหมด

นี่ไม่ใช่คำสั่งของซุยเฮ็ง แต่มันเป็นการวิเคราะห์ของจางซูหมิงเกี่ยวกับ “เจตจำนงสวรรค์”

อู๋หยินเป็นข้าราชการในเฟิงโจว และยังเป็นข้าราชการคนสำคัญที่ช่วยผู้ว่าการซุยในการจัดการเรื่องทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ซุยเฮ็งก็ไม่ได้อธิบายหรือแสดงพลังอะไรให้อีกฝ่ายดู นี่หมายความว่า ซุยเฮ็งอาจจะกำลังต้องการให้เขาแสดงบทบาทหรืออธิบายแง่มุมบางอย่างของซุยเฮ็งที่เขารู้สึกให้อีกฝ่ายได้ทราบ

สิ่งที่จางซูหมิงต้องการจะทำคือการทำให้อู๋หยินซึ่งเป็น "เครื่องมือ" นี้สามารถถูกใช้งานได้อย่างสะดวกมากขึ้นเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องคาดเดามั่วซั่วและทำให้แผนการของเทพเซียนซุยล่าช้าโดยไม่จำเป็น

ท้ายที่สุดแล้ว หากซุยเฮ็งต้องการจะจัดการเรื่องกับเหล่าเซียนและพระอรหันต์จากโลกเบื้องบน เขาก็เพียงแค่ต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นก่อนจะลบพวกเขาทั้งหมดออกไป

และเมื่อเร็วๆ นี้ ทูตสวรรค์จากโลกเบื้องบนจำนวนมากก็ได้ลงมา แม้แต่โถงพุทธมามกะเป่าหลินเองก็ยังมีบุตรวิญญาณลงมา

อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่มีข่าวใดๆ จากตำหนักเต๋าอี้

มันมีโอกาสสูงมากที่มันจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับโลกเบื้องบน และอันที่จริง ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว จางชูหมิงก็ตระหนักได้ลางๆ จากการสนทนากับบรรพบุรุษของเขาแล้วว่าสถานการณ์ในโลกเบื้องบนนั้นไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

หลังจากได้เป็นเจ้าสำนัก ช่องทางรับส่งข้อมูลของเขาก็กว้างขึ้นมาก และเขาก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดานี้มากขึ้น

เขาเดาไปแม้กระทั่งว่าในระหว่างการต่อสู้ของสำนักเซียนอรุณเมื่อร้อยปีก่อน เพราะเซียนปฐพีแห่งตำหนักเต๋าอี้ต้องการจะยืนหยัดอยู่ข้างเดียวกับสำนักเซียนอรุณเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เหล่าเซียนและพระอรหันต์จากโลกเบื้องบนหยุดโจมตี ดังนั้นพวกเขาจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้

สำนักเซียนอรุณทรงพลังมาก และมันก็ไม่มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะคิดผนึกกำลังกับเหล่าเซียนและพระอรหันต์แห่งโลกเบื้องบน ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงเป็นคู่หูที่ดีที่สุดของตำหนักเต๋าอี้อย่างไม่ต้องสงสัย

น่าเสียดายที่เทวาได้ลงมือโจมตีในท้ายที่สุด

“ อย่างไรก็ตาม เซียนและพระอรหันต์แห่งโลกเบื้องบนก็คงจะไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อนว่าเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบจะมีอาจารย์ และนอกจากนี้ อาจารย์ของนางก็ยังมีชีวิตอยู่และยังเป็นราชาสวรรค์อีก!”

ในตอนนี้ นี่ก็คือสิ่งที่จางซูหมิงคิด

บางครั้งเขาก็รู้สึกอยากจะเห็นความพังพินาศเมื่อพวกเซียนและพระอรหันต์จากโลกเบื้องบนลงมาเช่นกัน

….

ภายในที่พักของอู๋หยิน

“ ผู้สมบูรณ์แบบจาง โปรดอธิบายให้กระจ่างด้วย” อู๋หยินโค้งคำนับให้กับจางซูหมิงด้วยความเคารพและถามด้วยสีหน้าจริงจังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “ ทำไมท่านผู้ว่าการถึงรีบร้อนนัก? เขาถึงกับกล่าวว่าเขาต้องการที่จะล้างบัญชีกับเหล่าเซียนและพระอรหันต์แห่งโลกเบื้องบนด้วยซ้ำ ท่านจะต้องรู้…”

“ อย่ากังวลมากเกินไปเลย” จางซูหมิงโบกมือและหยุดอู๋หยิน และแทนที่จะตอบคำถาม เขาก็ถามแทนว่า “ ท่านอู๋รับผิดชอบอำนาจทางการเมืองของรัฐ อำนาจของท่านนั้นยิ่งใหญ่มาก แต่อำนาจนี้มาจากไหน?”

“ แน่นอน มันมาจากท่านผู้ว่าการรัฐ” อู๋หยินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เขาก็ยังตอบ

“ ถ้าอย่างนั้น แล้วอำนาจของท่านผู้ว่าการรัฐมาจากไหน?” จางซูหมิงยังคงถามต่อไป

“ มันมาจากการสนับสนุนของตำหนักเต๋าอี้หรือไม่ก็มาจากการรับรองของผู้ว่าการรัฐคนอื่น…” อู๋หยินรู้สึกงงงวยมากยิ่งขึ้น “ นอกจากนี้ มันก็ยังมีคำสั่งของจักรพรรดิ”

“ แล้วเหตุใดตำหนักเต๋าอี้, ผู้ว่าการรัฐคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งจักรพรรดิจึงสามารถให้อำนาจแก่ท่านผู้ว่าการเช่นนั้นได้ล่ะ?” จางชูหมิงยิ้ม

“…” อู๋หยินตกตะลึง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดด้วยเสียงต่ำ “ เพราะพวกเขามีทหาร ความมั่งคั่ง วรยุทธ์ และความแข็งแกร่งที่ทรงพลัง ใช่ พวกเขามีอำนาจที่ทรงพลัง”

“ ถูกต้อง” จางซูหมิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและถามว่า “ แล้วเซียนคืออะไร และพระอรหันต์คืออะไร"

“ นี่…” อู๋หยินรู้สึกคลุมเครือว่าจางชูหมิงต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่แน่ใจนัก ดังนั้นเขาจึงตอบต่อไป “ เซียนและพระอรหัรต์คือผู้ที่มีพลังที่เหนือกว่ามนุษย์!”

“ ถูกต้อง แล้วเหตุใดท่านผู้ว่าการรัฐจึงไม่พึ่งพาตระกูลหรือสำนักใหญ่ที่มีอำนาจ หรือแม้แต่เซียนและพระอรหันต์เพื่อจัดการกับพวกเขาล่ะ?” จางซูหมิงยิ้มถามและทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ดูเคร่งขรึมขึ้น “ นั่นก็เพราะท่านผู้ว่าการคือเจตจำนงแห่งสวรรค์ยังไงล่ะ!”

“ จะ.. เจตจำนงแห่งสวรรค์?!” อู๋หยินตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่จางซูหมิงกำลังพูด

“ ท่านอู๋ งั้นข้าขอถามท่านอีกคำถาม” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของ จางซูหมิงอีกครั้ง “ หากมีคนที่มีพละกำลังมากเสียจนสามารถเคลื่อนภูเขาและถมน้ำทะเล คว่ำจักรวาล และทำลายกองทัพที่แข็งแกร่งนับล้านได้ด้วยการสะบัดนิ้วของเขา!”

“ คนเช่นนี้จะไม่ถูกนับว่าเป็นเจตจำนงแห่งสวรรค์หรือ? เขาอยู่เหนือทุกตระกูล ทุกสำนัก และแม้แต่ราชวงศ์ แบบนั้นแล้วเขาจะไม่สามารถจัดการกับพวกเขาได้จริงๆ หรอ?”

“ ผู้สมบูรณ์แบบจาง นี่ท่านกำลังหมายความว่าแม้แต่ในหมู่เซียนและพระอรหันต์ ท่านผู้ว่าการรัฐก็ยังคงเป็นตัวตนที่อยู่เหนือทุกสิ่งอย่างงั้นหรอ?” ดวงตาของอู๋หยินเบิกกว้างขึ้น เขาเป็นนักวิชาการ และความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับวรยุทธ์นั้นก็หยุดอยู่แค่ที่ขอบเขตเทพเท่านั้น

“ ตัวตนที่ทรงพลังอย่างท่านผู้ว่าการนั้นสามารถเรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งสวรรค์” จางซูหมิงโค้งคำนับไปทางสำนักงานว่าการและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ ราชาแห่งสวรรค์ พระองค์ทรงเป็นเจตจำนงแห่งสวรรค์และเป็นผู้ครอบครองและปกครองทุกสิ่ง!”

“…” ปากของอู๋หยินอ้าค้างในขณะที่เขามองไปทางสำนักงานว่าการด้วยความเหลือเชื่อ เขาพึมพำด้วยความงุนงง “ ถ้าอย่างนั้น ก่อนหน้านี้ข้าก็กำลังสงสัยในตัวสวรรค์อย่างงั้นหรอ?”

ในที่สุดเขาก็รู้สึกตัว

ด้วยร่างที่ทรงพลังอย่างซุยเฮ็งที่คอยสนับสนุนเขา ไม่ว่ามันจะเป็นคำสั่งแบบไหน เขาก็ควรจะมีแต่ต้องทำไปตามนั้นเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็ยังไม่ใช่แค่คำสั่งจากผู้ว่าการรัฐ

แต่มันเป็นเจตจำนงแห่งสวรรค์!

….

มณฑลลั่วอันตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเฟิงโจว มันอยู่ใกล้กับมณฑลหยุนชู มันถูกพิจารณาว่าเป็นเขตชายแดนทางตอนเหนือของต้าจิน

ตอนนี้ยังไม่ถึงฤดูหนาว แต่หิมะก็เริ่มตกหนักแล้วที่นี่ เมื่อฮุ่ยฉีและเฉินตงมาถึง โลกก็กลายเป็นสีขาวไปแล้ว รอบตัวพวกเขาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีเงิน และมันก็ดูงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้

ถึงอย่างนั้น พวกเขาสองคนก็ไม่มีอารมณ์จะมาหยุดดู

“ดูนั่นสิ” ฮุ่ยฉีชี้ไปที่ป่าอันห่างไกล มีกลุ่มคนกำลังนั่งอยู่นอกป่า ราวกับว่าพวกเขากำลังนั่งอยู่ในหิมะและให้ความอบอุ่นแก่ตัวเอง

อย่างไรก็ตาม มันก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีเปลวเพลิงอีกแล้ว มันเหลือก็แต่กองฟืนเท่านั้น พวกเขาทั้งหมดยืนพิงต้นไม้และไม่ขยับเขยื้อน มันไม่มีแม้แต่คนที่ลุกไปเติมไฟ

“ พวกเขาตายกันหมดแล้ว” การแสดงออกของเฉินตงดูมืดมนอย่างหาที่เปรียบมิได้ เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าคนกลุ่มนั้นถูกแช่แข็งจนตาย “ นี่มันกลุ่มที่เท่าไหร่แล้วนะ”

“ มันครบ 30 กลุ่มแล้วใช่ไหม?” ฮุ่ยฉีมองไปทางเมืองหลวงของมณฑลลั่วอันและกล่าวเย้ยหยัน “ หลังจากที่เรามาถึงลั่วอัน เราก็เพิ่งจะเดินผ่านมาได้เพียงสองเมืองเท่านั้น แต่กระนั้นเราก็ได้พบกับกลุ่มคนที่ถูกแช่แข็งจนตายมาแล้ว 287 คน!”

“ ผู้ว่าการมณฑลลั่วอัน มันสมควรตายจริงๆ!” เฉินตงพูดด้วยเสียงต่ำ “ ข้าเดาว่าผู้คนในเมืองเองก็คงจะมีสภาพไม่ดีไปกว่ากันเท่าไหร่นัก”

“ ครั้งสุดท้ายที่ข้ามาที่มณฑลลั่วอัน หิมะก็ยังไม่เริ่มตก แต่กระนั้นมันมีคนนอนแข็งตายแล้ว” ฮุ่ยฉีส่ายหัวและพูดว่า “ ท่านสามารถเตรียมรับทหารของมณฑลลั่วอันมาได้เลย!”

“ ไอ้หมาตัวนี้จะต้องตาย และถ้ามันไม่ตาย ใครก็อย่าเรียกข้าว่าฮุ่ยฉี!”

….

ลมหนาวโหยหวนในมณฑลลั่วอัน

หิมะกำลังตกหนัก

และยิ่งในตอนกลางคืน มันก็ยิ่งหนาว ขอทานจำนวนนับไม่ถ้วนนอนหดตัวและบางรายก็นอนตัวแข็งนิ่งราวกับจะไม่มีโอกาสได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว

ถึงกระนั้น ภายในสำนักงานเทศมณฑล เตาผิงกว่า 30 เตาก็กำลังลุกไหม้อยู่อย่างอบอุ่นและสว่างไสว

ผู้ว่าการมณฑลเหรินหยวนคุยสวมเสื้อผ้าเพียงชั้นเดียว เขานั่งดื่มชาร้อนข้างกองไฟและกำลังพักผ่อนอย่างสบายกายสบายใจ

ที่นั่งอยู่ข้างเขาคือเว่ยเซียง

นอกจากสองคนนี้แล้ว มันก็ยังมีพระภิกษุอีกรูปหนึ่งด้วย เขาดูใจดีและมีเมตตา และดูเหมือนจะมีรอยยิ้มปรากฎอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา

เขาเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเทพจากโถงพุทธมามกะเป่าหลิน

พระคงซี!

ไม่กี่วันก่อน บุตรวิญญาณจากโลกเบื้องบนได้ลงมาที่โถงพุทธมามกะเป่าหลินและออกจากวัดมาพร้อมกับพระตูฟาเพื่อเข้าร่วมในการชิงพระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์

ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงไม่มีความจำเป็นสำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตเทพธรรมดาๆ เช่นเขาที่จะอยู่ในหยงโจวต่อไป

และโดยธรรมชาติแล้ว เขาจึงหันมาปฏิบัติภารกิจเดิมของเขาต่อไปเพื่อมุ่งหน้าไปยังเฟิงโจวเพื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับซุยเฮ็ง

อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากที่พระคงซีได้มาถึงเฟิงโจว เขาก็ได้รับเชิญไปที่คฤหาสน์ของผู้ว่าการมณฑลลั่วอันโดยเหรินหยวนขุยและเว่ยเซียง

พวกเขาคอยบอกเขาเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่ซุยเฮ็งได้ทำ

อย่างไรก็ตาม ในสายตาของผู้ฝึกตนขอบเขตเทพ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

มันไม่คุ้มที่จะสนใจเลย

ประเด็นหลักคือการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับซุยเฮ็งและอะไรคือจุดประสงค์ของตำหนักเต๋าอี้ในการสนับสนุนซุยเฮ็ง

เหรินหยวนคุยและเว่ยเซียงต่างก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย พวกเขามีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น และนั่นคือการกำจัดซุยเฮ็ง!

มีเพียงการกำจัดซุยเฮ็งเท่านั้นที่จะสามารถทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้นมาได้

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนก็รู้ดีว่าว่าความแข็งแกร่งที่ซุยเฮ็งแสดงออกมานั้นทรงพลังมาก ดังนั้นพวกเขาจึงมีแต่ต้องใช้ผู้ฝึกตนขอบเขตเทพ

“ พระศักดิ์สิทธิ์ โปรดอย่าคิดว่าการกระทำของซุยเฮ็งนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ” ในที่สุดเหรินหยวนคุยก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาเดินไปหาพระคงซีและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ ซุยเฮ็งคนนั้นกำลังเลียนแบบการกระทำของหงหวู่เมื่อตอนนั้น!”

“ หงหวู่?!” ดวงตาของคงซีเบิกกว้างเมื่อได้ยินชื่อนี้ เขามองไปที่ผู้ว่าการลั่วอันด้วยความตกใจและพยักหน้าในทันที เขาพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ ดูเหมือนซุยเฮ็งคนนี้จะสมควรถูกฆ่าจริงๆ พรุ่งนี้เราออกเดินทางกันเถอะ”

คำว่า “หงหวู่” นี้เป็นดั่งฝันร้ายของผู้มีอำนาจทุกคนบนโลก

ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงมีแต่ต้องฆ่า!

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ฮุ่ยฉีและเฉินตงก็ได้มาถึงยังหน้าสำนักงานเทศมณฑลลั่วอันแล้ว