ตอนที่ 132

บทที่ 132 : กระบี่ศักดิ์สิทธิ์กลับบ้าน กะโหลกประหลาด

กระบี่เทวะหงหวู่ทรงพลังแค่ไหน?

ในตำนานที่เล่าลือกันในทุ่งหญ้า มันกล่าวกันว่ามันมีพลังเซียนชั้นยอด

เมื่อเผชิญหน้ากับปราณกระบี่จากกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่เซียนและพระอรหันต์บนฟ้าก็ยังต้องตาย และแค่เศษพลังของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงพอแล้วที่จะสามารถใช้ฆ่าผู้ฝึกตนขอบเขตเทพได้ทันที

หลังจากได้รับกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นี้มา ชานหยูก็แทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะได้ทดสอบพลังของมัน

ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว กำแพงอิฐสูง 100 ฟุตและหนา 30 ฟุตก็ยังสามารถพังทลายลงได้!

มันง่ายดายมาก

อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ากองทัพอันเกรียงไกรที่เขาคิดว่าจะชนะการต่อสู้และกวาดล้างไปทั่วทางใต้จะพังทลายลงตั้งแต่การโจมตีครั้งแรก

มันไร้สาระเกินไป!

นี่คือกองกำลังเกือบ 300,000 นาย มันมากเกินพอแล้วที่จะบุกทะลวงนครหลวง แบบนั้นแล้วพวกเขาจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายได้อย่างไร!

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีกันไม่ถึง 10,000 คน!

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ชานหยูก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาตัดสินใจใช้กระบี่เทวะหงหวู่เพื่อโจมตีกำแพงตรงหน้าเขาโดยตรง

เมื่อกระบี่หงหวู่ถูกชักออกมา ปราณกระบี่อันไร้ขอบเขตทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มันทำให้ฮุ่ยฉีและปรมาจารย์ 8,000 คนที่กำลังกลับไปที่เมืองรู้สึกตื่นตระหนก

พวกเขาหันศีรษะกลับไปโดยไม่รู้ตัวเพื่อมองไปทางข้างหลังพวกเขา

กระบี่ศักดิ์สิทธิ์กำลังชูอยู่ในฝ่ามือของผู้นำเผ่าอนารยชน มันถูกยกขึ้นสูงและกำลังจะฟันลงมา

แสงแดดส่องมาจากด้านหลังและสะท้อนออร่ากระบี่อันศักดิ์สิทธิ์

มันทำให้กระบี่ดูสว่างและแพรวพราวอย่างหาที่เปรียบมิได้!

มันดูราวกับมีอำนาจพอที่จะฆ่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก!

ฮุ่ยฉีและคนอื่นๆ หน้าซีดลงด้วยความตกใจในทันที

แค่มองแวบเดียวหัวใจของพวกเขาก็แทบจะหยุดเต้น

ถ้ากระบี่เล่มนี้ฟันลงมาจริงๆ มันจะทรงพลังขนาดไหน!

“ ถอย! ถอยเร็วเข้า!!”

ฮุ่ยฉีหมุนเวียนพลังปราณของเขาและตะโกนด้วยพลังทั้งหมดที่มี

ปรมาจารย์ทั้ง 8,000 คนยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ชั่วขณะหนึ่ง วิญญาณของพวกเขาก็เกือบจะหลุดออกจากร่าง

ความสุขจากการไล่ล่าศัตรูได้หายไปหมดแล้ว

พวกเขารู้สึกเย็นวาบขึ้นสันหลัง

พลังปราณในร่างกายของพวกเขาไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งในขณะที่พวกเขาดึงความเร็วที่เร็วที่สุดออกมา

พวกเขาต้องเข้าเมืองให้ได้โดยเร็วที่สุด!

ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้ตายแน่!

“ ช้าเกินไปแล้ว!” ชานหยูหัวเราะเสียงดังในขณะที่เขาฟาดกระบี่ในมือลง

เคล้งงง!

ทันใดนั้นก็มีเสียงกระบี่ดังขึ้น แต่กระนั้นมันก็ไม่มีเจตนาฆ่าใดๆ มันกลับเต็มไปด้วยออร่าแห่งความสุขแทน

ฉากที่แปลกประหลาดนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที

เกิดอะไรขึ้นกับกระบี่เทวะหงหวู่?

คนแรกที่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติคือชานหยู เขาตระหนักได้ว่ากระบี่ศักดิ์สิทธิ์ในมือของเขาไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป!

กระบี่เทวะหงหวู่ที่มีพลังเซียนอันสูงส่งได้หยุดเคลื่อนไหวแล้ว!

ราวกับมันถูกแช่แข็งในอากาศ!

ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังไม่สามารถเหวี่ยงมันได้เลย!

“ เกิดอะไรขึ้น?!”

เหงื่อเย็นไหลออกมาจากหน้าผากของชานหยู

กระบี่เทวะหงหวู่นี้เป็นที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา

ถ้าเกิดอะไรขึ้นในเวลานี้ เขาก็คงเสร็จแน่!

พวกเขาระดมกำลังทหารหลายแสนนายเพื่อเดินทัพไปทางใต้ แต่สุดท้ายเขาก็กลับพ่ายแพ้ และแม้ว่าทหารบางส่วนจะเอาตัวรอดได้ในระหว่างการล่าถอย แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังจะต้องถูกฆ่าโดยผู้นำของเผ่าอื่นๆ อย่างแน่นอนเมื่อพวกเขากลับไปที่ทุ่งหญ้า!

“ ถอย! ถอยกันก่อน!”

ชานหยูเป็นกังวลอย่างมาก เขาพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะเหวี่ยงกระบี่เทวะหงหวู่ แต่กระนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์

กระบี่เทวะหงหวู่ยังคงไม่เคลื่อนไหว

“ กลับมา”

ในขณะนี้ เสียงของซุยเฮ็งก็ดังมาจากกำแพงเมือง

เสียงของเขาอ่อนโยนมาก ราวกับว่าเขากำลังเรียกเด็กน้อยที่ออกไปเล่นข้างนอกบ้านจนดึกดื่น ผู้คนนับแสนทั้งในและนอกเมืองต่างก็ได้ยินเขา

ชานหยูเองก็ได้ยินมันโดยธรรมชาติเช่นกัน

นอกจากนี้ เขาก็รู้สึกว่ากระบี่เทวะหงหวู่ในมือของเขานั้นดูเหมือนจะถูกเรียกโดยบางสิ่ง มันดิ้นหลุดออกจากฝ่ามือของเขาในทันทีและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

มันบินตรงไปยังกำแพงเมืองของมณฑลหยุนชู

ฉวัดเฉวียน!

กระบี่เทวะหงหวู่ปล่อยเสียงสั่นสะเทือนดังลั่นออกมา

ในเวลาเดียวกัน อารมณ์ที่รุนแรงอย่างมากก็ได้แผ่ออกมาจากมัน

นี่เป็นอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความสุขและความคับแค้นใจ

ราวกับมันเป็นเด็กที่หายไปนานหลายปีและได้พบกับพ่อแม่ของมันในที่สุด

ซุยเฮ็งยืนอยู่บนกำแพงเมืองและยื่นมือขวาไปทางกระบี่เทวะหงหวู่

และภายใต้การจ้องมองที่เหลือเชื่อของทุกคน กระบี่เทวะหงหวู่ที่แต่เดิมอยู่ในมือของชานหยูก็หลุดออกมาจากมือของ “เจ้านาย” ของมันและบินไปที่ฝ่ามือของเขา

คลื่น!

กระบี่เทวะหงหวู่สั่นเบาๆ ในฝ่ามือของซุยเฮ็งและเผยให้เห็นถึงความใกล้ชิด

“ ข้ารู้แล้ว”

ซุยเฮ็งลูบกระบี่เบาๆ และสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลง เขามีความเข้าใจในใจทันที

นี่คือกระบี่ที่เขาได้มอบให้หงฟู่กุ่ยในตอนนั้น

แต่มันก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด

เมื่อ 300 ปีที่แล้ว ครั้งหนึ่งซุยเฮ็งเคยแนบพลังปราณของเขาเข้ากับกระบี่เหล็กและมอบมันให้กับหงฟู่กุ่ยซึ่งกำลังจะออกจากพื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้น

เนื่องจากพลังปราณในกระบี่นั้นสามารถใช้ได้เพียงเก้าครั้ง เดิมทีเขาจึงคิดว่ากระบี่เล่มนี้จะหมดพลังลงไปแล้ว

ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เคยได้ยินตำนานกระบี่เทวะหงหวู่มาก่อน

ตอนนี้เขาได้รับกระบี่เล่มนี้มาแล้ว และในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เนื่องจากใน 21 ขั้นของเซียนและมนุษย์ เซียนมนุษย์จึงเทียบเท่ากับขอบเขตสกัดปราณขั้นแปด และมันก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพสำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตเทพ

ในระบบการฝึกตน การพัฒนาไปสู่ขั้นเจ็ดได้นั้นก็เป็นการพัฒนาในเรื่องของคุณภาพ

สิ่งนี้ทำให้ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนขอบเขตเทพของโลกใบนี้อ่อนแอกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตสกัดปราณขั้นเจ็ดจริงๆ มาก

ด้วยเหตุนี้เอง หากหงฟู่กุ่ยใช้พลังปราณทั้งเก้าครั้งที่ซุยเฮ็งมอบให้ เขาก็จะสามารถฆ่าผู้ฝึกตนขอบเขตเทพหลายหรือสิบคนได้ในแต่ละครั้ง และแม้แต่เซียนมนุษย์ก็ยังต้องหลีกเลี่ยงเขา

ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงมีโอกาสไม่มากนักที่เขาจะต้องใช้พลังมหาศาลเช่นนี้ และเมื่อหงฟู่กุ่ยหายตัวไป กระบี่เล่มนี้ก็ได้ถูกใช้เพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น

ต่อมาเมื่อมีการก่อตั้งต้าจินขึ้น มันก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นสมบัติของชาติและถูกเก็บไว้ในโถงสมบัติและมันก็ไม่เคยถูกใช้อีกเลย

และด้วยการที่กระบี่เหล็กธรรมดาเล่มนี้ได้เก็บร่องรอยของพลังปราณของซุยเฮ็งเอาไว้เกือบ 300 ปี ดังนั้นมันจึงได้รับการหล่อเลี้ยงจนก่อเกิดเป็นวิญญาณในที่สุด!

พูดง่ายๆ ก็คือกระบี่เล่มนี้ได้สร้างจิตวิญญาณขึ้นมาแล้ว!

อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณนี้ก็ยังคงอยู่ในระดับพื้นฐานมาก มันคล้ายคลึงกับทารกวัยแรกเกิด

ตอนนี้มันยังเด็กมาก

มันสามารถดูดซับพลังแก่นแท้แห่งสวรรค์และปฐพีและปรับแต่งมันเป็นพลังปราณได้เท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังทำให้พลังปราณของมันที่กำลังจะหมดไปเกิดเหลือล้นขึ้นมา

ตอนนี้มันมีพลังปราณบรรจุอยู่ในนั้นมากกว่าตอนที่เขามอบให้กับหงฟู่กุ่ยตอนแรกเสียอีก!

ตอนนี้เขาสามารถใช้งานมันได้อย่างน้อยอีก 40 ถึง 50 ครั้ง

แน่นอนว่าตอนนี้กระบี่เล่มนี้ได้กลับมาอยู่ในมือของซุยเฮ็งแล้ว และมันก็จะไม่ใช้พลังปราณที่สั่งสมมาอย่างอุตสาหะอย่างแน่นอน

“ นี่คือวิญญาณกระบี่ที่ได้รับการหล่อเลี้ยงมาจากพลังปราณของฉันหรอ? วัตถุซึ่งไร้ชีวิตได้ให้กำเนิดจิตวิญญาณขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ?” ซุยเฮ็งตกใจเล็กน้อยหลังจากที่เข้าใจสถานการณ์ของกระบี่เล่มนี้

เขาคิดถึงกระบวนการก่อเกิดวิญญาณ

หากมีใครต้องการจะทะลวงผ่านไปยังขอบเขตรวมวิญญาณหลังจากไปถึงระดับขอบเขตแก่นแท้ทองคำ เขาก็จะต้องให้กำเนิดจิตวิญญาณในแก่นแท้ทองคำและปล่อยให้แก่นแท้ทองคำมีชีวิตขึ้นมาซะก่อน

“ ถ้าฉันบ่มเพาะวิญญาณกระบี่นี้อย่างระมัดระวัง มันก็จะสามารถใช้อ้างอิงสำหรับการบ่มเพาะวิญญาณของฉันในอนาคตได้หรือไม่?” ซุยเฮ็งมีความสุขมาก “ ฉันสามารถลองดูได้!”

ในขณะนี้ ซุยเฮ็งก็มีความสุขมาก แต่ขณะเดียวกัน ที่ด้านนอกเมือง ใบหน้าของชานหยูก็ซีดเผือกและเขาก็ตื่นตระหนก

หลังจากที่สูญเสียกระบี่เทวะหงหวู่ไป เขาก็ตกอยู่ในความตื่นตระหนกอย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้น ความตื่นตระหนกนี้ก็ยังไม่ได้มาจากเมืองหยุนชูที่อยู่ข้างหน้าเขา หรือจากซุยเฮ็งผู้ซึ่งเอากระบี่ไป

แต่มันมาจากจ้าวอู๋ซูในกองทัพที่กำลังตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายแทน

ในตอนที่ชานหยูสูญเสียกระบี่ไป เขาก็สัมผัสได้ถึงการจ้องมองที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่า

“ ไม่นะ เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ต้องการจะฆ่าข้า! มันอยากได้ตำแหน่งชานหยูของข้า ตอนนี้ข้าไม่มีองครักษ์ส่วนตัวอยู่กับตัว แต่มันก็มีองครักษ์ขอบเขตเทพสองคนอยู่ข้างๆ ให้ตายเถอะ!”

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ชานหยูก็ไม่ได้คิดที่จะหันหลังกลับและหลบหนี เขาเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็วและพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับความวุ่นวาย

อย่างไรก็ตาม จ้าวอู๋ซูและองครักษ์สองคนที่อยู่ข้างๆ เขาก็ได้ล็อคเป้าเขาเอาไว้นานแล้ว

ไม่ว่าชานหยูจะซ่อนตนอย่างไร แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะรอดพ้นจากสายตาของผู้ฝึกตนขอบเขตเทพสองคน ในไม่ช้า เขาก็ถูกพวกเขาไล่ตามจนทัน

เมื่อเห็นว่าชีวิตของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย ในที่สุดชานหยูก็ทนไม่ได้อีกต่อไป

ทันใดนั้นเขาก็หยิบกำไลหัวกระโหลกออกมาจากกระเป๋าแล้วโยนมันขึ้นไปบนท้องฟ้า

“ นายท่านช่วยข้าด้วย!”

ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค

จู่ๆ กำไลหัวกระโหลกก็ปล่อยควันสีม่วงดำออกมาอย่างรุนแรงและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ไม่นาน มันก็เปลี่ยนจากสร้อยข้อมือเป็นสร้อยคอ

กะโหลกบนนั้นขยายตัวชัดเจนขึ้นเช่นกัน

เห็นได้ชัดว่านี่คือกระโหลกของมนุษย์จริงๆ

เปลวเพลิงสีม่วงดำเผาเบ้าตาของกะโหลก และน้ำตาเลือดสีม่วงดำก็ไหลออกมา

พวกมันดูชั่วร้ายอย่างหาที่เปรียบมิได้

“ ช่วยด้วย ช่วยด้วย!” ชานหยูตะโกนด้วยความสยดสยอง

“ ฮ่าฮ่า แน่นอน แน่นอน! ฮ่าฮ่าฮ่า!” จู่ๆ หัวกะโหลกหัวหนึ่งก็หัวเราะออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว

จากนั้นหัวกะโหลกก็บินลงมาจากสร้อยคอ มันอ้าปากและกัดหัวของผู้ฝึกตนขอบเขตเทพทั้งสอง!

“ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ฮ่าฮ่าฮ่า!”

เสียงหัวเราะที่น่ากลัวยิ่งกว่าดังมาจากสร้อยคอหัวกระโหลก กะโหลกนับสิบอ้าปากและหัวเราะออกมา

ในเวลาเดียวกัน เปลวเพลิงสีม่วงดำก็ลุกโชนบนกะโหลกศีรษะที่อยู่ตรงกลางสร้อยคอ มันเผาไหม้เมฆบนท้องฟ้าแทบจะในทันที มันทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำในรัศมีหลายลี้

กลางวันกลายเป็นกลางคืน!

บนกำแพงเมืองหยุนชู

เฉินตงและเหมิงจางมองดูปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนโลกนี้ด้วยความตกตะลึงและถามพร้อมกันว่า “ ท่านผู้ว่าการ พวกเราควรจะทำอย่างไรดี?!”

พวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งที่ดูชั่วร้ายเช่นนี้มาก่อน

“ ออร่าสีม่วงดำนี้…” ซุยเฮ็งยังคงสงบนิ่ง เขาจ้องมองไปที่เปลวเพลิงสีม่วงดำที่กำลังเผาผลาญเมฆ “ มันดูคุ้นเคยเล็กน้อยแหะ”