ตอนที่ 111

บทที่ 111 : เจตจำนงของเต๋าสวรรค์

ด้วยการปรากฎขึ้นของพระธาตุหยกพระโพธิสัตว์ ผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนจึงรีบเดินไปที่ชายแดนระหว่างหยูโจวและหยงโจว

ใครๆ ต่างก็ต้องการจะฉกฉวยเอาสมบัติที่หายากนี้ไปเป็นของตน

โดยเฉพาะพุทธสาวก

อารามดอกปทุมในเฟิงโจว, อารามมหาจำเริญ, สักแดนบริสุทธิ์ในหลูโจว, วัดมหาเมตตาในบาโจว… สำนักพุทธชั้นนำทั้งหมดส่งยอดฝีมือระดับแนวหน้าของตนออกมาเพื่อแย่งชิงมัน

นอกจากนี้ มันก็ยังมียอดฝีมือขอบเขตเซียนเทียนอีกจำนวนมากที่ไปทดสอบชะตากรรมและเสี่ยงโชค

ท้ายที่สุดแล้ว เพื่อสมบัติอันล้ำค่า ไม่ว่าใครต่างก็ต้องการจะครอบครองมันในท้ายที่สุด

อย่างไรก็ตาม กองกำลังทั้งหมดเหล่านี้ก็ไม่ใช่คู่มือของโถงพุทธมามกะเป่าหลินเลย การปรากฏตัวของผู้ฝึกตนขอบเขตเทพหกคนได้ปราบปรามทุกคนลงโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ โถงพุทธมามกะเป่าหลินกำลังจะได้รับพระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์ เรื่องตลกก็ได้เกิดขึ้น

กระดูกหยกของพระโพธิสัตว์นี้สามารถเคลื่อนไหวได้! และดูเหมือนมันจะไม่ยอมรับโถงพุทธมามกะเป่าหลินป็นอย่างมาก

ตราบใดที่มีคนจากโถงพุทธมามกะเป่าหลินเข้ามาใกล้ มันก็จะลอยขึ้นและบินหนีไป หลังจากบินมาได้ไกลแล้ว มันก็จะหล่นลงอีกครั้งและกลับมาเป็นพระธาตุหยกดังเดิม

สถานการณ์ที่แปลกประหลาดดังกล่าวไม่เพียงแต่จะทำให้ “พระศักดิ์สิทธิ์” ของโถงพุทธมามกะเป่าหลินต้องตกตะลึงเท่านั้น แต่มันยังทำให้ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่เข้ามาร่วมสนุกต้องตกตะลึงไปด้วย ในเวลาเดียวกัน จิตใจของพวกเขาก็เร่าร้อนมากขึ้นเช่นกัน

สมบัติเลือกนายมีอยู่จริง!

เมื่อพระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์ปฎิเสธโถงพุทธมามกะเป่าหลิน นั่นจึงหมายความว่าคนอื่นๆ จะมีโอกาสที่จะได้รับพระธาตุนี้ใช่หรือไม่?

นี่หมายความว่าพวกเขามีโอกาสที่จะได้กลายเป็นพระอรหันต์ด้วยหรือไม่!

ด้วยเหตุนี้เอง จำนวนคนที่เข้าร่วมเพื่อแย่งชิงพระธาตุหยกพระโพธิสัตว์จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้า แม้แต่คนธรรมดาที่ไม่รู้วรยุทธ์ก็ยังมาร่วมสนุกด้วย

นี่เป็นเรื่องปกติ

ในเรื่องราวของนักเล่าเรื่อง เคล็ดวิชาลับมากมายก็ล้วนถูกฝึกจนโด่งดังได้โดยเด็กโง่ที่ไม่รู้จักวรยุทธ์

และพระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์ชิ้นนี้เองก็น่าจะคล้ายคลึงกัน

ภายใต้ความโกลาหลที่เกิดจากพระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์ชิ้นนี้ ทั้งหยูโจวก็ตกอยู่ในความโกลาหล มันเกือบจะเป็นฉากเกมซ่อนหาไล่จับขนาดใหญ่

ทั้งคนธรรมดาตลอดไปจนถึงผู้ฝึกตนขอบเขตเทพ ทุกคนล้วนวิ่งตามพระธาตุไปมาราวกับหมาวิ่งไล่กระดูก

ไม่มีใครสงสัยเบื้องหลังของพระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์นี้เลย

ท้ายที่สุดแล้ว ความล่อตาล่อใจของมันก็สามารถทำให้ผู้คนตาบอดได้

นอกจากนี้ ใครกันจะสามารถปลอมมันขึ้นมาได้?

มันไม่มีคนแบบนี้บนโลกแน่นอน!

….

จางซูหมิงเองก็ไม่ได้สงสัยในความถูกต้องของพระธาตุหยก แต่เขาก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการแข่งขัน

ประการแรก เขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักเต๋า ดังนั้นมันจึงน่าอายเกินไปสำหรับเขาที่จะไปแย่งชิงพระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์ของสำนักพุทธ ถ้าเขาทำเช่นนั้น เขาก็คงจะไม่มีหน้าไปพบกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ และดีไม่ดี เขาก็อาจจะถูกทุบตีจนตายเลยก็ได้

ประการที่สอง ในความคิดของเขา การไปที่เฟิงโจวเพื่อพบกับเทพเซียนที่เดินอยู่ในโลกมนุษย์นั้นก็มีความสำคัญมากกว่าการไปแย่งชิงพระธาตุหยกอย่างเห็นได้ชัด

ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงบินไปบนอากาศและมาถึงเหนือมณฑลลู่อย่างรวดเร็ว

เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อซุยเฮ็ง จางซูหมิงจึงไม่ได้บินต่อ ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังต้องการที่จะเห็นทะเลสาบและแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่นอกเมือง

ลมคำรามบนท้องฟ้าเหนือเมฆและทำให้แขนเสื้อของเขากระพือ

แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถเป่าผมของเขาได้

ใช่แล้ว จางชูหมิงบินได้

นี่เป็นหนึ่งในความสามารถของขอบเขตเทพที่เขามี

สำนักเต๋าอี้เป็นกองกำลังที่ทรงพลังที่เพรียบพร้อมด้วยมรดกที่ตกทอดมาเป็นเวลานับหมื่นปี นอกจากนี้ รากฐานของพวกเขาก็ยังยิ่งใหญ่กว่าสำนักใดๆ

หนึ่งในนั้นสะท้อนให้เห็นในการฝึกตนขอบเขตสมบัติเทวะในร่างกายของพวกเขา

แม้ตระกูลโบราณอย่างตระกูลที่โด่งดังทั้งเจ็ดจะสามารถปลุกสมบัติในร่างกายของพวกเขาขึ้นมาได้ แต่พวกเขาก็สามารถเปิดได้เพราะโชคช่วยเท่านั้น

แต่กลับกัน ตำหนักเต๋าอี้นั้นแตกต่างออกไป

มรดกหมื่นปีทำให้พวกเขาสะสมประสบการณ์การฝึกตนมาเป็นจำนวนมาก

เมื่อถึงจุดนี้ พวกเขาก็สามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำแล้วว่าจะเปิดสมบัติเทวะชิ้นใดในร่างกายของพวกเขา และพวกเขาก็ยังสามารถกำหนดได้อีกว่าพวกเขาจะได้รับความสามารถประเภทใด

ตัวเลือกแรกของคนส่วนใหญ่คือ “วายุราชัน” และ “ย่างก้าวเมฆา”

ความสามารถทั้งสองนี้สามารถทำให้ผู้คนบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและเดินทางหลายพันลี้ในหนึ่งวันได้ ดังนั้นเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนขอบเขตเทพทั่วไปแล้ว พวกเขาจึงสามารถพิจารณาได้ว่ามีความแข็งแกร่งมากกว่า

นอกจากนี้ คนธรรมดาก็จะมีความสามารถเพียงสองถึงสามอย่างเท่านั้น

แต่ในทางกลับกัน ตำหนักเต๋าอี้ก็ได้ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ที่สะสมมา 10,000 ปีและสรุปลักษณะที่คล้ายคลึงกันของสมบัติเทวะต่างๆ พวกเขาสามารถวิเคราะห์ความเข้ากันได้ของสมบัติเทวะต่างๆ และปลดล็อกให้พวกมันร่วมมือกันได้

สิ่งนี้ทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตเทพของตำหนักเต๋าอี้โดยทั่วไปจึงมีความสามารถถึงเก้าอย่าง และบางคนก็สามารถฝึกฝนได้ถึง 12 อย่าง

ในแง่หนึ่ง แม้ว่าทุกคนจะอยู่ในขอบเขตเทพ แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตเทพของตำหนักเต๋าอี้ก็ไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนขอบเขตเทพคนอื่นๆ อีกต่อไป

“ ช่างน่าเหลือเชื่อ!”

จางซูหมิงยืนอยู่บนก้อนเมฆและจ้องมองไปที่ทะเลสาบและแม่น้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล เขาอดไม่ได้ที่จะชมเชย “ ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าฉากตรงหน้านี้จะถูกสร้างขึ้นมาภายในชั่วพริบตาเดียว”

ในฐานะยอดฝีมือขอบเขตเทพที่ได้ปลดล็อกสมบัติเทวะเก้าอย่างแล้ว เขาก็รู้ดีว่าขีดจำกัดของความแข็งแกร่งของเขาอยู่ที่ใด

ถ้าเขาพึ่งพละกำลังของตัวเองเพื่อปลดปล่อยกระบวนท่าเดียว แม้ว่าเขาจะยอมเสี่ยงชีวิต แต่เขาก็จะสามารถถล่มพื้นดินได้แค่ในระยะหนึ่งพันฟุตเท่านั้น

นอกจากนี้ มันก็ยังจะถล่มลงไปได้ลึกเพียงแค่ 2-33 ฟุต

อย่างไรก็ตาม ตามคำอธิบายในจดหมายของโจวหงอี้ หลุมนี้ก็ทอดยาวหลายลี้ มันมีความลึกถึง 3,000 ฟุต และแม้แต่ภูเขาลูกเล็กๆ ก็ยังไม่สามารถถมมันจนเต็มได้!

นี่เป็นพลังแบบใดกัน?

มันน่าเหลือเชื่อเกินไป!

สิ่งที่น่าขันยิ่งกว่าคือพลังที่ทำให้เกิดสถานการณ์นี้นั้นเป็นเพียงกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกเปิดใช้งานผ่านโจวหงอี้

นี่มันไร้สาระเกินไป!

ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดที่จริงจังของโจวหงอี้ เขาก็คงจะไม่มีทางเชื่อแน่นอน

ในฐานะเจ้าสำนักของตำหนักเต๋าอี้ จางซูหมิงก็ไม่เพียงแต่จะรู้ขีดจำกัดของความสามารถของเขาเท่านั้น แต่เขายังรู้ถึงขีดจำกัดของเซียนมนุษย์หรือแม้แต่เซียนปฐพีด้วย

เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับเซียนสวรรค์ในระดับที่สูงมาก และในความเป็นจริง เมื่อร้อยปีที่แล้ว เขาก็เคยเห็นการโจมตีของเซียนสวรรค์ด้วยซ้ำ

พลังที่สั่นสะเทือนโลกนั้นยังคงสดใหม่อยู่ในใจของเขา

แต่ถึงกระนั้นมันก็เทียบไม่ได้กับฉากที่น่าอัศจรรย์ใจนี้เลย

“ ข้าสงสัยเหลือเกินว่าผู้ว่าการมณฑลลู่คนนี้จะเป็นคนแบบไหน เนื่องจากเขามีพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ เหตุใดเขาจึงมาที่นี่เพื่อเป็นผู้ว่าการตัวเล็กๆ และยังต้องการจะเป็นผู้ว่าการรัฐอีกด้วย”

จางซูหมิงค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นและมองไปที่สำนักงานเทศมณฑลโดยไม่รู้ตัว

อันที่จริง เมื่อจางซูหมิงมาถึงนอกมณฑลลู่ ซุยเฮ็งก็สามารถสัมผัสได้ถึงการมาถึงของเขาแล้ว

ปฏิกิริยาแรกของเขาคือความประหลาดใจ

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับคนที่บินได้ในโลกนี้

นอกจากนี้ จากระดับแก่นแท้ของเขา มันก็ดูเหมือนว่าเขาจะเทียบเท่ากับขอบเขตสกัดปราณขั้นเจ็ด อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของเขานั้นก็แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตเทพของตระกูลหวังมากกว่าสิบเท่า

จางซูหมิงอาจกล่าวได้ว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่เขามาถึงโลกนี้

“ น่าสนใจ”

ซุยเฮ็งมองดูอีกฝ่ายด้วยความสนใจและใช้พลังปราณเพื่อข้ามท้องฟ้า 10,000 ฟุตในทันที เขาจ้องมองไปที่จางซูหมิง

ในเวลาเดียวกัน จางชูหมิงซึ่งกำลังมองดูมณฑลลู่จากระยะไกลก็ตัวแข็งทื่อ

ร่างกายของเขาเย็นไปหมด และแขนขาของเขาก็แข็งทื่อ

เขาสัมผัสได้ว่าสายตาอันยิ่งใหญ่และลึกล้ำอย่างไม่รู้จบกำลังจ้องมองมาที่เขาอยู่ และมันก็ทำให้เขาขยับไม่ได้ในทันที

สายตานี้คืออะไรกัน?

จางซูหมิงไม่สามารถหาคำที่เหมาะสมเพื่ออธิบายได้

เขารู้สึกเพียงว่าความกว้างใหญ่อันไร้ขอบเขตนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถเข้าถึงได้

ถ้าจะให้บรรยาย มันก็คงมีเพียงคำเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขา

เต๋าสวรรค์!

มันคือเจตจำนงของเต๋าสวรรค์!

ในขณะที่ซุยเฮ็งกำลังมองเขาด้วยพลังปราณของตน จางซูหมิงก็สัมผัสได้ว่าเต๋าสวรรค์อันไร้ตัวตนและหยั่งรากลึก ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นและมองลงมาที่เขา

มีเพียงคำอธิบายนี้เท่านั้นที่จะสามารถอธิบายความรู้สึกที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ได้

จางซูหมิงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าภายใต้การจ้องมองนี้ วิญญาณและร่างกายของเขาก็เริ่มพังทลายลง

เขาไม่สามารถทนต่อการจ้องมองของสวรรค์ได้!

ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลเช่นนี้ ชีวิตของเขาก็เปราะบางราวกับเปลวเทียนท่ามกลางลมพายุ มันสามารถถูกดับได้ทุกเมื่อ

อย่างไรก็ตาม จางซูหมิงก็รู้สึกโชคดีที่สายตานี้มองมาที่เขาเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น

จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาดังขึ้นที่ข้างหู”

“ มาพบข้าที่สำนักงานเทศมณฑล”

เสียงของเขานุ่มนวลและอ่อนโยนมาก ถึงอย่างนั้น มันก็ยังสามารถระงับเสียงลมที่รุนแรงบนท้องฟ้าได้

จางซูหมิงได้ยินอย่างชัดเจนและถอนหายใจด้วยความโล่งอกในทันที

ราวกับว่าเขาได้รับการอภัยโทษ

ในขณะเดียวกัน เขาก็ดีใจมาก

โชคดีที่เขาไม่ได้บินเข้าไปในมณฑลลู่

มิฉะนั้นแล้ว ผลที่ตามมาก็อาจจะไม่ใช่แบบนี้

….

ไม่นาน จางซูหมิงก็มาถึงสำนักงานเทศมณฑล

เขาเห็นซุยเฮ็งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ

แม้ว่าโจวหงอี้จะกล่าวถึงในจดหมายของเขาแล้วว่าซุยเฮ็งนั้นดูเด็กมาก แต่เขาก็ยังประหลาดใจมากเมื่อได้เห็นอีกฝ่าย

เพื่อที่จะสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย มันก็เป็นไปได้ไหมที่เหล่าเซียนจะมีหนทางที่จะฟื้นคืนความเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมาได้?

“ ผู้สมบูรณ์แบบจาง ขอโทษด้วยที่ข้าไม่ได้ออกไปต้อนรับเจ้า” ซุยเฮ็งยืนขึ้นและยิ้ม

“ ข้ามิกล้า ข้ามิกล้า” จางซูหมิงรีบโค้งคำนับและกล่าวขอโทษ “ นักพรตน้อยคนนี้ไร้มารยาท ข้าถึงได้บินอยู่เหนือที่พักอาศัยของท่าน กรุณายกโทษให้ข้าด้วย”

ทัศนคติของเขาถ่อมตัวมาก เขายังเรียกตัวเองว่านักพรตน้อย

“ ฮ่าฮ่า ผู้สมบูรณ์แบบจางอย่าไปคิดมาก ข้าไม่ใช่คนใจแคบแบบนั้น” ซุยเฮ็งยิ้มและพูดว่า “ มันหายากมากที่จะได้เห็นผู้ฝึกตนขอบเขตเทพที่สามารถบินได้ ดังนั้นข้าจึงเผลอมองเจ้าอยู่นาน เอาล่ะ นั่งลงเถอะ”

“ ขอบคุณท่านเทพเซียนผู้สูงส่ง” ในตอนนี้ จางซูหมิงก็รู้สึกโล่งใจมาก เขาผ่อนคลายมากและนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ

“ ข้าคงต้องรบกวนผู้สมบูรณ์แบบจางเกี่ยวกับเรื่องของเฟิงโจวด้วย” ซุยเฮ็งยังคงยิ้มอยู่

“ ตราบเท่าที่ข้าสามารถช่วยท่านได้ มันก็จะเป็นเกียรติแก่ข้าอย่างมาก” จางซูหมิงรีบลุกขึ้นยืน

ตอนนี้เขารู้สึกหวาดกลัวจริงๆ เมื่อซุยเฮ็งพูดอย่างสุภาพกับเขา เขาก็รู้สึกอึดอัดไปทั่ว

“…” ซุยเฮ็งจับหน้าผากของเขาเบาๆ เมื่อเขาเห็นสิ่งนี้ แต่เขาก็ไม่ได้เน้นย้ำอะไรอีกต่อไป ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนหัวข้อ “ ข้าได้ยินมาว่าผู้สมบูรณ์แบบจางได้เคยเห็นการต่อสู้ที่ภูเขาคังเฉิงเมื่อร้อยปีก่อน เจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยจะได้ไหม”