ตอนที่ 297 : มรดกผู้กล้าของเฟิงลั่ว (1)

มรดกผู้กล้า?!

เมื่อเฟิงลั่วได้ยินคำพูดของโจวโจว สิ่งแรกที่เขาคิดอยู่ในใจก็คือ ‘ท่านลอร์ดพูดบ้าอะไรอยู่เนี่ย…’

มรดกผู้กล้ามันคืออะไรกัน? มันจะไปเลือกเฉยๆ แบบนั้นได้ยังไง?

จากนั้นเขาก็ได้สติและตำหนิว่าความคิดนี้ของเขาเป็นการดูหมิ่นท่านลอร์ดอยู่นิดหน่อย

จากนั้นเขาก็ลังเล

หรือว่า… มันจะเป็นเรื่องจริง?

ยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับมันเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นเขาจึงตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ

เช่นเดียวกับความคาดหวัง ความกังวลใจ และความปรารถนา

ทั้งสองคนมาถึงทางเข้าของโถงวิญญาณผู้กล้า

จากนั้นเขาก็เห็นมนุษย์สูงสามเมตรที่มีดวงตาสีม่วงขวางทางอยู่

มันคือผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับ!

“หยุดก่อน!”

ผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับพูดออกมาอย่างเยือกเย็น

“คาราวะท่านผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับ!”

โจวโจวกล่าวด้วยความเคารพ

เฟิงลั่วที่อยู่ข้างหลังของเขาตอบสนองในทันทีและก้มหัวลง

“เป็นเจ้านั่นเอง เจ้ามาที่นี่เพื่อรับมรดกผู้กล้างั้นเหรอ?”

ผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับมองมาที่โจวโจวและพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดน้อยลง

แม้ว่าเขาจะประจำการอยู่ที่โถงวิญญาณผู้กล้ามาตลอด แต่เขาก็ยังได้ยินมาว่าอีกฝ่ายได้ปราบลอร์ดสรรพเผ่าพันธุ์คนอื่นๆ และเลื่อนอันดับขึ้นสู่อันดับเทวะขั้นสูง

แม้ว่าเขาจะดูเข้มงวด แต่จริงๆ แล้วเขาก็ชื่นชมอัจฉริยบุคคลที่น่าภาคภูมิใจคนนี้มากทีเดียว เขาถือว่าอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในเสาหลักในอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์เลย

“ไม่ขอรับ แต่ข้าคิดว่าคนที่อยู่ข้างหลังข้าน่าจะมีศักยภาพและความแข็งแกร่งที่ดี ดังนั้นข้าจึงอยากมาที่นี่และให้ผู้อาวุโสในโถงวิญญาณผู้กล้าดูว่าจะมีใครยอมมอบมรดกผู้กล้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้กับเขาไหม”

โจวโจวกล่าว

เมื่อเฟิงลั่วได้ยินเช่นนี้ เขาก็ยืดแผ่นหลังขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาไม่อยากทำให้ท่านลอร์ดของเขาต้องอับอาย

เขารู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่จ้องมองมาที่เขา

สายตานี้ได้สำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนที่จะถอนกลับมา

“ไม่เลว เขาน่าจะสามารถสืบทอดมรดกผู้กล้าระดับมหากาพย์ได้”

ผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับถอนสายตากลับมาและกล่าว

เขาประหลาดใจเล็กน้อย

เด็กคนนี้รายล้อมไปด้วยเหล่าผู้มีพรสวรรค์จริงๆ

คนแรกที่เขาพามาด้วยก็มีพรสวรรค์ถึงระดับนี้แล้วเหรอ?

โจวโจวคิดอยู่ชั่วขณะและถามว่า

“ท่านผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับ เจ้าวิหารไป่ได้มอบโอกาสให้พวกเราในการสืบทอดมรดกผู้กล้าระดับมหากาพย์ แต่ถ้าลูกน้องของข้าได้รับการยอมรับจากท่านผู้อาวุโสวิญญาณผู้กล้าระดับตำนานหรือระดับสูงกว่าล่ะ เขาจะมีโอกาสได้รับมรดกผู้กล้าระดับที่สูงขึ้นได้ไหม?”

ผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับมองมาที่เฟิงลั่ว จากนั้นก็โจวโจว จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมาและไม่ได้พูดอะไร

สีหน้าของเฟิงลั่วและโจวโจวแข็งค้างไป

ทั้งสองคนเข้าใจความหมายเบื้องหลังของรายยิ้มนี้ได้ในทันที

เฟิงลั่วคงจะได้รับการยอมรับจากจิตวิญญาณผู้กล้าในระดับนั้นเท่านั้น

เมื่อผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับเห็นเช่นนี้ เขาก็คิดอยู่ชั่วขณะและอธิบายเพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายความมั่นใจของพวกเขา

“ศักยภาพและโครงสร้างร่างกายของคนผู้นี้ไม่เลวเลย มันน่าจะมากเกินพอแล้วที่จะได้รับการยอมรับจากวิญญาณผู้กล้าระดับมหากาพย์ แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดีที่จะได้รับการยอมรับจากวิญญาณผู้กล้าในระดับสูงกว่านี้ แต่ถ้ามันเกิดเรื่องแบบนั้นจริงๆ เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราก็ย่อมไม่ปล่อยให้ผู้กล้าที่มีพรสวรรค์เช่นนี้สูญเปล่าไป”

“พวกเราจะปิดมรดกผู้กล้านั้นไว้ชั่วคราวและให้ผู้สืบทอดได้สั่งสมความดีความชอบในเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกเขาสะสมความดีความชอบเพียงพอและบุคคลนี้ได้รับการยอมรับจากเบื้องบนของเผ่าพันธุ์มนุษย์เราแล้ว พวกเราก็จะเปิดมรดกผู้กล้านั้นอีกครั้งและให้เขาได้สืบทอดมรดกผู้กล้านั้นอย่างเป็นทางการ”

โจวโจวพยักหน้าเล็กน้อย

นี่ถือว่ายอมรับได้

สำหรับความจริงที่ว่าเฟิงลั่วจะไม่สามารถสืบทอดมรดกผู้กล้าระดับตำนานหรือสูงกว่าได้หรือไม่นั่น โจวโจวก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังโกหกเขา

เพราะมนุษย์ยอดฝีมือผู้นี้ที่แม้แต่ร็อบยังต้องเรียกว่าท่าน ความแข็งแกร่งของเขาก็น่าจะต้องอยู่ในระดับเทพแน่ๆ

ตัวตนเช่นนี้ที่ประจำการอยู่ที่โถงวิญญาณผู้กล้ามานานหลายปีย่อมต้องเคยเห็นผู้สืบทอดมรดกผู้กล้ามานับไม่ถ้วน

การประเมินของเขาย่อมไม่น่าจะผิดพลาด

สำหรับเฟิงลั่วที่อยู่ด้านหลังของเขา เขาไม่ได้สนใจมากนักว่ามันเป็นมรดกผู้กล้าระดับมหากาพย์หรือระดับตำนาน

เขารู้สึกว่ามันดีมากแล้วที่เขาสามารถเลือกมรดกผู้กล้าได้ ทำไมเขาต้องเลือกมากด้วย?

“พวกเจ้าสองคนจะเข้าไปเลยไหม?”

ผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับกล่าว

“ขอรับ!”

โจวโจวพยักหน้ารับ

ผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับพยักหน้า จากนั้นเขาก็โบกมือขวาของเขาและบอกให้อัศวินที่อยู่ทั้งสองด้านของประตูเปิดประตูโถงวิญญาณผู้กล้า

“เข้าไปได้ อย่าลืมว่าต้องระวังคำพูดและการกระทำของพวกเจ้าต่อหน้าเหล่าวิญญาณผู้กล้า”

เขากล่าว

“ขอรับ!”

โจวโจวพยักหน้ารับ

จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในโถงวิญญาณผู้กล้าพร้อมกับลั่วเฟิง

ในโถงวิญญาณผู้กล้า

มันมีวิญญาณผู้กล้ากว่า 300 ตนกำลังลอยอยู่เหนือศิลาสงบวิญญาณพร้อมกับหลับตาอยู่

แรงกดดันบางๆ จากเหล่าผู้กล้าทำให้เฟิงลั่วที่อยู่ด้านหลังของโจวโจวเครียดขึ้นมาทันที

สำหรับโจวโจวงั้นเหรอ?

ในฐานะราชาผู้พิฆาตมังกร เขาก็ยังไม่รู้สึกอะไรเมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันของพวกเขาเลย

“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเข้าไป”

โจวโจวหยุดลงในทันใดและพูดออกมา

แม้ว่าเฟิงลั่วจะไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาก็ยืนอยู่กับที่อย่างเชื่อฟัง

หลังจากนั้นไม่นาน โจวโจวก็มองไปยังวิญญาณผู้กล้าผู้ไร้อารมณ์ที่อยู่รอบๆ ตัวของเขาและอดรู้สึกเจ็บใจอยู่เล็กๆ ไม่ได้

เขาเองก็มีความใจแคบอยู่นิดหน่อย

ดูเหมือนว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีไหวพริบเหมือนกับเขา

“ลุยเลย มันมีวิญญาณผู้กล้าทั้งหมด 312 ตนในโถงวิญญาณผู้กล้า เจ้าแค่ต้องไปยืนอยู่ตรงหน้าของวิญญาณผู้กล้าแต่ละตนสักพัก ถ้าวิญญาณผู้กล้าตนไหนรู้สึกว่าเจ้าเหมาะสมกับมรดกผู้กล้าของตน พวกเขาก็จะลืมตาขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็จะสามารถเลือกยอมรับมรดกผู้กล้าของพวกเขาได้”

“ไม่ต้องรีบเลือก ถ้ามันมีวิญญาณผู้กล้าหลายคนที่เลือกเจ้า นั่นก็หมายความว่าพวกเขาทุกคนยอมรับเจ้าเป็นผู้สืบทอด เมื่อเวลานั้นมาถึงก็ให้เลือกมรดกผู้กล้าระดับมหากาพย์ที่ดีที่สุด”

โจวโจวย้ำ

“ขอรับท่านลอร์ด!”

เฟิงลั่วกล่าวด้วยความเคารพ

จากนั้นเขาก็สงสัยเล็กน้อย

“ท่านลอร์ด ท่านเคยมาที่นี่มาก่อนใช่ไหมขอรับ?”

“อืม”

“มันมีวิญญาณผู้กล้ากี่ตนที่เลือกท่านลอร์ดขอรับ?”

เฟิงลั่วอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวโจว เขาก็ย่อมรู้ว่ายิ่งมีวิญญาณผู้กล้าลืมตามากเท่าไร มันก็ถือว่ายิ่งดีเท่านั้น

“ทุกตน”

โจวโจวเดินเข้าไปในโถงวิญญาณผู้กล้าโดยไม่หันกลับมามอง มีเพียงแค่เฟิงลั่วเท่านั้นที่จ้องมองโจวโจวด้วยดวงตาที่เบิกกว้างที่เหลืออยู่

โจวโจวเข้าไปหาวิญญาณผู้กล้าตนหนึ่ง

วิญญาณผู้กล้าตนนี้ย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจอมเวทตะวันสาดแสงชางฉิงที่มีโชคชะตาผู้กล้าระดับมหากาพย์ แต่ก็ถูกสังหารไปนานแล้วโดยศัตรูบนสมรภูมิ

“ฉันมีคริสตัลสีชาดระดับจิตศรัทธาอยู่ในมือแล้ว หลังจากแปลงมันเป็นคริสจัลเทวะศรัทธาระดับจิตศรัทธาแล้วและได้รับข้าวของบางอย่างของชางฉิงจากวิหารอัศวิน ฉันก็จะไปหาแครอลเพื่อชุบชีวิตเขา แต่…”

โจวโจวขมวดคิ้วเล็กน้อยและครุ่นคิด

ถ้าเขาไม่ได้พบกับมังกรอัสนีกลืนนภา เขาก็คงจะต้องทำแบบนี้แน่ๆ

อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้พบกับมังกรอัสนีกลืนนภามาและเสียคัมภีร์ต้านมรณะไปแล้ว นี่ทำให้เขาต้องประเมินความคิดในการคืนชีพชางฉิงใหม่

เขาอยากจะแลกเปลี่ยนคัมภีร์ต้านมรณะอีกสักอันก่อน เพราะสิ่งนั้นสามารถช่วยชีวิตของเขาได้

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงตัดสินใจ

มันคงจะดีกว่าที่จะยังไม่คืนชีพชางฉิง

เขายังคงรู้สึกว่าความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

มันไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเรื่องการคืนชีพผู้กล้าและทำข้อตกลงกับวิหารอัศวิน

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เฟิงลั่วก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วและมายืนอยู่ตรงหน้าของโจวโจวพร้อมด้วยความตื่นเต้นบนใบหน้าของเขาเล็กน้อย

“ท่านลอร์ด ข้าพบมรดกผู้กล้าที่เหมาะสมกับข้าแล้ว”

เขาพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น