ตอนที่ 274

บทที่ 274 : ตำหนักจุนเทียน

ภายใต้การนำทางของมนุษย์น้ำแข็ง ซุยเฮ็งและหลี่เฉิงก็มาถึงตำหนักที่งดงามที่สุดในเมืองใต้ดิน

นี่เป็นจุดที่สูงที่สุดในเมืองใต้ดินทั้งหมด

หากใครยืนอยู่หน้าตำหนักและมองลงมา พวกเขาก็จะสามารถมองเห็นเมืองใต้ดินเกือบทั้งหมดได้

หลังจากที่มนุษย์น้ำแข็งจากไป หลี่เฉิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ ท่านประมุขเซียน ข้าไม่คิดเลยว่ามนุษย์น้ำแข็งเหล่านี้จะปฏิบัติต่อเราราวกับเราเป็นเทพจากสวรรค์”

“ ดวงวิญญาณของพวกมันมีข้อบกพร่อง ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถแยกแยะรูปลักษณ์ของเผ่าพันธุ์อื่นได้ดีนัก” ซุยเฮ็งยิ้ม “ ในสายตาของพวกมัน รูปลักษณ์ของเราก็ไม่ได้มีความแตกต่างกัน”

“ มันมีเผ่าพันธ์เช่นนั้นด้วยหรอ?” ดวงตาของหลี่เฉิงเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

“ จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจจนเกินไปหรอก” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ก็ยังทำให้งานของเราง่ายขึ้นเยอะ”

“ หากไม่ใช่เพราะพวกมันเป็นฝ่ายพาเรามาที่นี่เอง มันก็คงจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับเราที่จะค้นพบภาพจิตรกรรมฝาผนังที่แกะสลักอยู่ภายในตำหนักแห่งนี้ด้วยตัวเราเอง”

เมื่อมาถึงตำหนักแห่งนี้ พวกเขาก็สังเกตเห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สลักอยู่บนกำแพงผลึกน้ำแข็ง

จากเนื้อหาของคำอธิบาย นานมาแล้ว เทพสวรรค์ได้ลงมายังโลกที่รกร้างแห่งนี้และสอนสิ่งมีชีวิตที่ยังอยู่ในความโง่เขลาให้ได้เริ่มต้นอารยธรรมขึ้นมา

เทพสวรรค์ที่ปรากฎในภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้นมีความคล้ายคลึงกับรูปปั้นภายนอกเป็นอย่างมาก มันน่าจะเป็นเทพสวรรค์ที่มนุษย์น้ำแข็งเหล่านี้บูชา

เนื้อหาในตำนานไม่ได้หวือหวาอะไร พวกมันเป็นตำนานที่เล่าถึงบรรพบุรุษ สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดสำหรับซุยเฮ็งคือชื่อของเทพสวรรค์ที่บันทึกไว้บนฝาผนัง

นามสกุลของเทพสวรรค์คือโจว และชื่อของเขาก็คือจุนเทียน

ก่อนหน้านี้ ซุยเฮ็งได้รู้มาจากหงหยงว่าเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่เดินทางออกมาจากดาวเต๋าโจวนั้นมีนามสกุลว่าโจว

โจวจุนเทียน!

นี่อาจเป็นชื่อของเทพผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นก็ได้

ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าของซุยเฮ็งก็เผยให้เห็นความประหลาดใจ เขาตกตะลึงเล็กน้อยในใจและคิดกับตัวเองว่า “ นี่มัน..”

การฝึกตนของเขากำลังเพิ่มขึ้น

นี่เป็นเพียงข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทพผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น ชื่อของเขาอาจไม่มีจริงด้วยซ้ำ

แต่กระนั้น มันก็ยังมีผลตอบรับจากการสำรวจสิ่งแปลกใหม่

แม้ว่ากำไรนี้จะเล็กน้อยมากและอาจกล่าวได้ว่าแทบไม่มีนัยสำคัญ แต่กระนั้นมันก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ได้ว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของ ซุยเฮ็งนั้นถูกต้อง เทพผู้ยิ่งใหญ่คนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความลับอันยิ่งใหญ่ และอิทธิพลของเขาก็จะต้องลึกล้ำมากอย่างแน่นอน

บางทีเขาอาจจะไม่ใช่แค่ผู้ขึ้นสวรรค์คนสุดท้ายก่อนสวรรค์ถล่มเท่านั้น แต่เขายังอาจจะเกี่ยวข้องกับการถล่มล่มสลายของสวรรค์อีกด้วย

“ ข้าชักจะอยากเห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายซะแล้วสิ” ซุยเฮ็งหัวเราะเล็กน้อย “ นี่คือบุคคลที่ไม่ธรรมดา ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังจะพาเราไปถึงไหนกันนะ?”

“ ถ้าเขาได้รู้ว่าเขาสามารถทำให้ท่านสนใจได้ เขาก็คงจะรู้สึกเป็นเกียรติมาก” หลี่เฉิงยิ้ม

นั่นคือสิ่งที่เขาคิดจริงๆ มันไม่ใช่คำชม

ในใจของหลี่เฉิง ระดับการฝึกตนของซุยเฮ็งนั้นก็สูงมากแล้ว แม้ว่าจะมีคนบอกเขาว่าซุยเฮ็งเป็นผู้ดำรงอยู่บนจุดสูงสุดขอบเขตที่เก้าของโลกเซียน เขาก็จะเชื่อโดยไม่ลังเลใดๆ

เมื่อเทียบกับการดำรงอยู่ดังกล่าวแล้ว สิ่งที่เรียกว่าเทพผู้ยิ่งใหญ่นั้นก็ไม่มีค่าอะไรเลย

“ ฮ่าฮ่า ไม่จำเป็นต้องรู้สึกเป็นเกียรติก็ได้ ข้าแค่ต้องการให้เขานำผลกำไรมาให้ข้ามากขึ้นก็เท่านั้นเอง” ซุยเฮ็งหัวเราะเบาๆ จู่ๆ เขาก็หันไปมองข้างนอก “ มีคนกำลังมาที่นี่”

….

ผู้อาวุโสของมนุษย์น้ำแข็งนั้นมีขนาดตัวใหญ่มาก อย่างน้อยมันก็ใหญ่เป็น 3 เท่าของมนุษย์น้ำแข็งธรรมดา

แม้ว่าขอบเขตการฝึกตนของมันจะเทียบเท่าเพียงขอบเขตเทพลึกลับไท่อี้ แต่ในแง่ของความแข็งแกร่งที่แท้จริง มันก็น่าจะมีมากกว่ามนุษย์น้ำแข็งในระดับเดียวกันสองเท่า

“ องค์เทพสวรรค์ผู้ทรงเกียรติ! ในที่สุดท่านก็ลงมาอีกครั้ง!”

เมื่อผู้อาวุโสมนุษย์น้ำแข็งเห็นซุยเฮ็งและหลี่เฉิง เขาก็คุกเข่าลงในทันที “ เราเก็บของที่ท่านทิ้งไว้เมื่อ 400 ปีที่แล้วเอาไว้อย่างดี พวกมันไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย เชิญท่านโปรดตรวจสอบ”

ในขณะที่เขาพูด เขาก็ถืออัญมณีสีฟ้าด้วยมือทั้งสองข้างและยกมันขึ้นเหนือหัวของเขา

อัญมณีนี้กลมและอบอุ่น มันค่อนข้างใหญ่ ขนาดของมันเท่ากับไข่ห่าน มีแสงดาวสีเงินจางๆ อยู่ในนั้น และมันก็ดูสวยงามมาก

ไม่ต้องพูดถึงผลกระทบที่เฉพาะเจาะจงเลย เพียงแค่รูปลักษณ์นี้เพียงอย่างเดียวก็ถือเป็นสมบัติล้ำค่าแล้ว

“ ท่านประมุขเซียน นี่คือศิลาประทับสมุทรดารา” หลี่เฉิงมองไปที่ซุยเฮ็ง และขอความเห็นจากเขา

“ ใช้ได้!” ซุยเฮ็งพยักหน้าเบาๆ

ศิลาประทับสมุทรดาราเป็นสมบัติธรรมพิเศษที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเก็บข้อมูลแผนที่ดวงดาว

หลังจากที่ซุยเฮ็งถืออัญมณีเอาไว้ในมือ เขาก็ใส่พลังปราณเข้าไปข้างใน ทันใดนั้นอัญมณีก็ส่องแสงเจิดจ้า และแสงดาวที่สว่างไสวก็ส่องประกายออกมาจากมัน

แสงดาวเหล่านี้ยังคงร่ายรำอยู่ในความว่างเปล่า เมื่อมันพบที่ที่ควรอยู่ มันก็หยุดลงและกลายเป็นจุดแสงที่เป็นสัญลักษณ์ของดวงดาว

แผนที่ดวงดาวปรากฏขึ้น!

ในชั่วพริบตา ตำหนักขนาดใหญ่ก็กลายเป็นดั่งระบบสุริยะ

ราวกับว่าผู้อาวุโสมนุษย์น้ำแข็งได้เห็นปาฏิหาริย์ ทันใดนั้นมันก็หมอบลงในทันที

“ นี่ถือเป็นแผนที่ขุมทรัพย์รึเปล่าเนี่ย?” ซุยเฮ็งหัวเราะ

หลังจากที่เขาเปิดแผนที่ดวงดาวนี้ เขาก็ได้รับข้อมูลที่สลักอยู่ในศิลาประทับสมุทรดารา และเรียนรู้สาระสำคัญของแผนที่ดวงดาวนี้

แผนที่ดวงดาวนี้ไม่ซับซ้อน และโลกนับไม่ถ้วนกับระบบสุริยะก็ไม่ได้ใหญ่นัก

มันใหญ่กว่าแผนที่ดวงดาวของหลี่เฉิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

มันมี 21 อาณาจักรและระบบสุริยะมากมาย

ในบรรดา 21 อาณาจักรและระบบสุริยะมากมาย ดาวสามดวงก็ได้ถูกทำเครื่องหมายไว้เป็นพิเศษ

นอกจากนี้ มันก็ยังเน้นย้ำว่าดวงดาวเหล่านี้มีสมบัติที่โจวจุนเทียนทิ้งไว้และมีความลึกลับในการเป็นราชาปราชญ์

นี่น่าจะเป็นสิ่งที่หงฟู่กุ่ยและภรรยาของเขาทิ้งเอาไว้เมื่อ 400 ปีก่อน

แต่ทำไมพวกเขาถึงเก็บสิ่งนี้ไว้ในที่แบบนี้?

ซุยเฮ็งรู้สึกงงงวยเล็กน้อยในตอนแรก แต่หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เขาก็เข้าใจเหตุผล เขายิ้มอยู่ในใจและพูดว่า “ นี่เป็นวิธีที่ดีในการไล่ผู้คนออกไปจากดาวสมุทรทมิฬโดยเร็วที่สุด"

ก่อนหน้านี้ เขาได้เรียนรู้จากหงหยงว่าหงฟู่กุ่ยและภรรยาของเขาได้ทิ้งแผนที่ดวงดาวเอาไว้ในแกนกลางของดาวสมุทรทมิฬเพื่อทิ้งไว้ให้หงหยง

ไม่ว่าหงหยงจะมาถึงดาวสมุทรทมิฬได้หรือไม่ พวกเขาก็จะไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้รับแผนที่ดวงดาวนี้ไปอย่างแน่นอน และวิธีที่ดีที่สุดก็คือการนำสิ่งที่น่าดึงดูดใจออกไปและทำให้คนที่มาเยือนดาวสมุทรทมิฬจากไปโดยเร็วที่สุด

สำหรับผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ ความลึกลับของการเป็นราชาปราชญ์นั้นก็เป็นสมบัติที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใดอย่างไม่ต้องสงสัย มันมีโอกาสมากที่พวกเขาจะไม่ลังเลที่จะเข้ามาตรวจสอบอย่างเอาเป็นเอาตาย

ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็จะไม่ค้นพบสถานการณ์ที่แกนกลางของโลกโดยธรรมชาติ

แน่นอนว่าหากหงหยงมาที่นี่และได้รับแผนที่ดวงดาวนี้ หงฟู่กุ่ยและภรรยาของเขาก็จะไม่สูญเสียอะไร เพราะไม่ว่าจะในกรณีใด สิ่งนี้ก็มีไว้สำหรับลูกชายของพวกเขา

“ นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่น่ายินดีจริงๆ แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าสถานที่ทั้งสามแห่งที่เกี่ยวข้องกับโจวจุนเทียนนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม แต่มันก็ยังคุ้มค่าที่จะตรวจสอบ”

ซุยเฮ็งยิ้มและเก็บแผนที่ดวงดาว เขาอารมณ์ดีและพูดกับผู้อาวุโสมนุษย์น้ำแข็งว่า “ เจ้าทำได้ดีมาก”

โจวจุนเทียนมีส่วนเกี่ยวข้องกับความลับมากมาย ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลนี้เป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับเขา มันจะสามารถเพิ่มการฝึกตนของเขาได้อย่างมาก

“ เป็นเกียรติของเราแล้วที่ได้รับใช้องค์เทพสวรรค์ผู้ทรงเกียรติ” ผู้อาวุโสมนุษย์น้ำแข็งคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความเคารพ

“ เจ้ายังจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 400 ปีก่อนได้ไหม?” ซุยเฮ็งยิ้ม

“ แน่นอน ข้าน้อยยังจำได้” ผู้อาวุโสมนุษย์น้ำแข็งพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ เมื่อ 400 ปีที่แล้ว ท่านลงมาที่นี่พร้อมกับเทพสวรรค์อีกองค์ที่เหมือนกับท่าน”

“ นั่นเป็นวันที่เผ่าวิญญาณน้ำแข็งของเราต้องจดจำไปตลอดกาล เผ่าวิญญาณน้ำแข็งของเราซึ่งไม่ได้เห็นความสง่างามจากสวรรค์มาเป็นเวลาหลายแสนปี ในที่สุดก็ได้เห็นเทพสวรรค์ที่น่านับถืออีกครั้ง”

“ แม้ว่าท่านจะไม่ได้ทิ้งคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์เอาไว้เหมือนในตำนาน แต่ท่านก็ได้ทิ้งสัญลักษณ์นี้เอาไว้ นี่คือของขวัญชิ้นใหญ่ที่ส่องทางให้เราก้าวไปข้างหน้า…”

สิ่งที่ตามมาคือการสรรเสริญและการถอนหายใจไม่รู้จบ

ซุยเฮ็งรู้สึกเสียใจที่ถามว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อ 400 ปีก่อน

คำสรรเสริญจากผู้อาวุโสมนุษย์น้ำแข็งนั้นดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด

อย่างไรก็ตาม ซุยเฮ็งก็ยังคงดึงข้อมูลสำคัญบางอย่างออกมาได้

หงฟู่กุ่ยและภรรยาของเขาน่าจะเป็นมนุษย์คู่เดียวที่มาที่นี่ในช่วงหลายแสนปีที่ผ่านมา มันไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะทิ้งศิลาประทับสมุทรดาราเอาไว้ พวกเขาไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมาที่นี่ และนอกจากนี้ พวกเขาก็ยังรีบร้อนและไม่ได้อยู่ที่นี่นาน ด้วยเหตุนี้เอง มนุษย์น้ำแข็งเหล่านี้จึงไม่น่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขามากนัก

จริงๆ แล้วสิ่งนี้ก็เห็นได้จากคำชมของผู้อาวุโสมนุษย์น้ำแข็ง

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากที่ผู้อาวุโสมนุษย์น้ำแข็งกล่าวยกยอเสร็จสิ้น ซุยเฮ็งจึงได้ทิ้งสิ่งที่เรียกว่าคำสอนของพระเจ้าเอาไว้ให้เล็กน้อย จากนั้นเขาก็ออกมาจากเมืองใต้ดินพร้อมกับหลี่เฉิง

เขาเดินทางต่อไปยังแกนกลางของโลก

….

หลังจากซุยเฮ็งจากไป ผู้อาวุโสมนุษย์น้ำแข็งก็เดินออกมาจากตำหนักเทพอย่างตื่นเต้น

เขายืนอยู่หน้าตำหนักเทพและมองลงไปที่เมืองด้านล่างและมนุษย์น้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วน หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิในขณะที่เขาพึมพำว่า “ พระคุณขององค์เทพสวรรค์นั้นไร้ขอบเขต ในที่สุดคำทำนายก็เป็นจริง หนทางข้างหน้าของเราจะไม่มืดมนอีกต่อไป!”

“ เราจะออกเดินตามทางของตนเอง แข็งแกร่งขึ้นและก้าวไปสู่จุดที่สูงขึ้น จากนั้นเราก็จะทำให้เผ่าพันธุ์ของเราแข็งแกร่งขึ้นและถ่ายทอดมรดกของเราให้สืบต่อไป”

“ และในวันหนึ่ง ข้าหานซานจะนำเผ่าวิญญาณน้ำแข็งออกจากเมืองใต้ดินและบ้านหลังนี้ เมื่อถึงเวลานั้น เราจะไปหาองค์เทพสวรรค์และกราบขอบพระคุณพระองค์ด้วยกัน!”

….

หลังจากออกมาจากตำหนักเทพแล้ว ซุยเฮ็งก็ยังคงเดินทางลงไปใต้ดินกับหลี่เฉิง

การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นมาก

พวกเขาไม่พบปริศนาหรืออุปสรรคใดๆ อีกต่อไป และในไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงสถานที่ที่ร้อนอย่างหาที่เปรียบมิได้

พื้นที่ข้างหน้ากลายเป็นสีแดงเพลิงแล้ว

แกนกลางของดาวเคราะห์อยู่ข้างหน้าพวกเขา

อุณหภูมิด้านล่างสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกินอุณหภูมิบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์

เซียนอนันต์ทองอย่างหลี่เฉิงเริ่มเหงื่อตก

กลับกัน ซุยเฮ็งไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เขายังคงเดินไปข้างหน้าด้วยท่าทางปกติ

ในไม่ช้า ทั้งสองคนก็มาถึงแกนกลาง

เพลิงโลกาพุ่งขึ้นจากทุกทิศทุกทาง และความร้อนจัดก็ครอบคลุมทุกสิ่งเอาไว้

“ เจอแล้ว”

ทันใดนั้นซุยเฮ็งก็หัวเราะและชี้ไปข้างหน้า

มีตำหนักที่งดงามตั้งอยู่ที่นั่น มันลอยอยู่บนคลื่นเพลิงโลกาโดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ

มีคำสามคำเขียนไว้บนแผ่นป้ายที่ทางเข้าหลักของตำหนัก

“ ตำหนักจุนเทียน!”