ตอนที่ 123

บทที่ 123 : ชื่อของนางคือเจียงฉีฉี

ชื่ออาจารย์ของเฉินหยิงคือเหอฉิงโหรวและในสำนักก็เรียกเธอว่าฉิงโหรวผู้สมบูรณ์แบบ

เธอเป็นศิษย์รุ่นที่สามของผู้ก่อตั้งสำนักเซียนอรุณ เหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบ และเธอก็ได้มาถึงขอบเขตเทพแล้ว

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเคล็ดวิชาการฝึกตนที่ซุยเฮ็งสอนให้กับเจียงฉีฉีนั้นมีความพิเศษกว่าเคล็ดวิชาทั่วไป ดังนั้นมันจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพในขอบเขตเทพ

แม้แต่จางซูหมิง เจ้าสำนักของตำหนักเต๋าอี้ก็ยังสัมผัสได้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหอฉิงโหรว ในตอนแรก เขาก็พบว่ามันยากที่จะยอมรับ

ตำหนักเต๋าอี้เป็นสำนักโบราณที่สืบทอดต่อกันมากว่า 10,000 ปี เคล็ดวิชายุทธ์ของพวกเขาได้รับการถ่ายทอดและปรับปรุงโดยผู้สืบทอดรุ่นก่อนมาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ถึงกระนั้น มันก็กลับยังด้อยกว่าสำนักเซียนอรุณที่เพิ่งจะก่อตั้งมาได้ไม่ถึง 200 ปี

ความรู้สึกนี้เหมือนกับนักเรียนเก่าที่เรียนมา 70 ปีได้พบกับอัจฉริยะที่กลายมาเป็นนักวิชาการตั้งแต่อายุเก้าขวบ

จิตใจของเขากำลังจะระเบิด!

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาคิดว่าผู้ก่อตั้งของสำนักเซียนอรุณเป็นศิษย์ของซุยเฮ็ง เขาก็รู้สึกโล่งใจ

ไม่แปลกเลยที่มรดกของราชาสวรรค์หงหวู่และเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบจะแข็งแกร่งขนาดนี้

อันที่จริง เหอฉิงโหรวก็ยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกันเมื่อเห็นจางชูหมิง

เธอรู้จักเจ้าสำนักของตำหนักเต๋าอี้คนนี้

หลังจากที่สำนักเซียนอรุณปิดผนึกภูเขาแล้ว ตำหนักเต๋าอี้ก็กลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งของโลกอย่างแท้จริง

แม้ว่าเฉินหยิงจะบอกเธอเกี่ยวกับสถานการณ์ของซุยเฮ็งและจางซูหมิงแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยหลังจากได้เห็นด้วยตาตัวเอง

เป็นไปได้ไหมว่าผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวคนนี้จะเป็นอย่างที่ศิษย์ของเธอยอกจริงๆ?

มิฉะนั้นแล้ว ทำไมเจ้าสำนักของตำหนักเต๋าอี้ถึงได้ติดตามเขาด้วยความเต็มใจกันล่ะ?

ในขณะนี้ เหอฉิงโหรวก็กำลังรออยู่ที่ห้องโถงรับรองของสำนักงานว่าการ

เธอเป็นผู้หญิงสวยที่ดูเหมือนจะอยู่ในวัยสามสิบเท่านั้น เธอมีใบหน้าที่สวยงามและใบหน้าที่งดงาม ผมสีดำของเธอถูกมัดไว้ด้วยมงกุฎดอกบัวหยกสีขาว เธอสวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีเขียวอ่อนและมีออร่าที่ไม่ธรรมดา

ซึ่งแตกต่างจากเฉินหยิงที่ลงมายังโลกมนุษย์แล้วสองสามครั้ง เธอไม่เคยออกมาจากภูเขาเลยหลังจากที่อาจารย์ของเธอพาเธอมาที่สำนักตั้งแต่ยังเด็ก

เธอได้ยินทุกอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์นอกภูเขาจากอาจารย์และลูกศิษย์ของเธอเท่านั้น

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ลงมาจากภูเขาด้วยตัวเองจริงๆ

และสำหรับเรื่องสำคัญเช่นนี้

สำนักเซียนอรุณเองจึงให้ความสำคัญกับการพบกับซุยเฮ็งในครั้งนี้ด้วย

ตามคำอธิบายของเฉินหยิง ซุยเฮ็งได้ฝึกฝนวิชากระบี่เซียนอรุณไปจนถึงระดับที่สูงมากแล้ว นอกจากนี้ เขาก็ยังกระตุ้นปรากฏการณ์ของกระบี่เมฆาม่วงที่ทำให้หมู่เมฆสีม่วงลอยมาจากทางทิศตะวันออก!

นี่หมายความว่าซุยเฮ็งจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดอย่างมากกับสำนักเซียนอรุณ

มิฉะนั้นแล้ว เขาจะทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม สำนักเซียนอรุณก็ระมัดระวังตัวเช่นกัน พวกเขาไม่ได้ผลีผลามส่งพวกระดับสูงไปพบเขา

แต่พวกเขาเลือกที่ตะปล่อยให้เหอฉิงโหรวมาเป็นตัวแทนในการพบเจอครั้งแรก

ในฐานะอาจารย์ของเฉินหยิง มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะตามเฉินหยิงกลับมา

เธอสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อดูได้ว่าซุยเฮ็งนั้นเป็นคนแบบไหน

มันจะดีที่สุดถ้าเธอสามารถถามโดยตรงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายกับสำนักเซียนอรุณได้

นี่เป็นครั้งแรกที่เหอฉิงโหรวได้รับความไว้วางใจในเรื่องสำคัญเช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงทั้งคาดหวังและประหม่า

หลังจากมาถึงห้องโถงรับแขกของสำนักงานว่าการ เธอก็นั่งตัวตรงและเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เธอจำลองฉากการพูดคุยของเธอกับซุยเฮ็งเอาไว้ในใจของเธอและท่องสิ่งที่เธอเตรียมเอาไว้อย่างเงียบๆ

เธอดูแข็งเกร็งมากกว่าศิษย์ของเธอเฉินหยิงมาก

“ ท่านอาจารย์ ทำไมท่านดูประหม่าจัง” เฉินหยิงดูมีชีวิตชีวามาก เมื่อเห็นว่าซุยเฮ็งไม่ได้มาในทันที เธอก็กระโดดลงจากเก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่และมาที่ด้านข้างของเหอฉิงโหรว “ ร่างกายของท่านแข็งเกร็งไปหมดเลย”

ในขณะที่เธอพูด เธอก็สะกิดไหล่ของเหอฉิงโหรวเบาๆ

ในฐานะน้องสาวของเฉินตง เธอก็เคยใช้เวลากับซุยเฮ็งมาบ้างแล้วในตอนที่เธออยู่ที่มณฑลลู่ ด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงรู้ดีว่าโดยปกติแล้ว ซุยเฮ็งนั้นก็เป็นคนดีมาก

นอกจากนี้ ในฐานะเจ้านายของกระบี่เมฆาม่วง เธอก็ทำตามข้อมูลที่บรรพบุรุษของเธอได้ทิ้งไว้และไว้วางใจซุยเฮ็งอย่างไม่มีเงื่อนไข

ด้วยเหตุนี้เอง โดยธรรมชาติแล้ว เธอจึงไม่รู้สึกประหม่า

“ หยิงหยิง!” เหอฉิงโหรวจ้องมองไปที่เฉินหยิงและต้องการจะเตือนเธอ

มันเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เธอจะต้องมาคุยกับซุยเฮ็ง ดังนั้นแล้วพวกเธอจะมัวทำตัวสบายๆ ได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม เธอก็มักจะอ่อนโยนและกังวลว่าเธอจะทำร้ายเฉินหยิง ดังนั้นเธอจึงเปิดปากของเธอและทำเพียงแค่ถอนหายใจเบาๆ เท่านั้น “ หยิงหยิง ข้าจะเตือนเจ้าอีกครั้งนะ”

“ ผู้ว่าการรัฐซุยนั้นอาจมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสำนักเซียนอรุณของเรา เขาอาจจะเป็นเพียงความหวังเดียวของเราที่จะได้พบกับท่านบรรพบุรุษ ฉะนั้นแล้วเจ้าจึงยังต้องแสดงความเคารพเขาให้ดี”

“ ข้าเข้าใจแล้ว!” เฉินหยิงพยักหน้าและนั่งลงอีกครั้ง เธอเขย่าขาของเธอเบาๆ ในขณะที่เธอรอ

แม้ว่าเธอจะยังไม่ได้ประหม่านัก แต่เธอก็รู้ว่าเธอต้องทำตัวยังไง อาจารย์ของเธอจึงจะรู้สึกพึงพอใจ

จริงๆ แล้ว เฉินหยิงเองก็ยังคงงงงวยอยู่เล็กน้อย

ทำไมผู้ว่าการรัฐซุยถึงเปลี่ยนใจกะทันหันและปล่อยให้เธอบอกผู้อาวุโสของสำนักเรื่องของเขา?

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ปรมาจารย์ของเธอได้ยินชื่อ “ซุยเฮ็ง” เธอก็ตกใจยิ่งกว่าตอนที่เธอได้ยินว่ามีคนฝึกฝนวิชากระบี่เซียนรอรุณจนถึงจุดสูงสุดและสามารถกระตุ้นปรากฏการณ์ของกระบี่เซียนได้ซะอีก

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากนั้น ปรมาจารย์ของเธอก็ยังตัดสินใจปล่อยอาจารย์ของเธอลงมาจากภูเขาในทันทีเพื่อพบกับผู้ว่าการรัฐซุย

“ ข้าสงสัยจังว่าผู้ว่าการรัฐซุยนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกับสำนักของเรา”

เฉินหยิงคิดในใจและคาดเดาคำตอบต่อไป ทุกคำตอบล้วนมีเหตุผล แต่เธอก็รู้สึกว่าทุกคำตอบนั้นไม่สมจริงเลยสักนิด

เช่นเดียวกับที่อาจารย์และศิษย์กำลังรออย่างกระวนกระวายและสงสัย ซุยเฮ็งก็ได้มาถึง

“ ท่านอาจารย์ ผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวอยู่ที่นี่แล้ว ท่านสามารถเรียกเขาว่า ‘ท่านผู้ว่าการ’ ก็ได้!” เฉินหยิงใช้พลังปราณของเธอเพื่อส่งสัญญาณเสียงเตือนอาจารย์ของเธอซึ่งไม่ค่อยรู้เรื่องทางโลกมากนัก

เหอฉิงโหรวพยักหน้าเล็กน้อยและยืนขึ้นอย่างสงบ การเคลื่อนไหวของเธอราบรื่นและการหายใจของเธอก็สม่ำเสมอ

เธอดูไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด

เธอยิ้มและมองไปที่ซุยเฮ็ง เธอโค้งคำนับเล็กน้อยและพูดว่า “ เหอชิงโหรวแห่งสำนักเซียนอรุณคารวะผู้ว่าการรัฐซุยแห่งเฟิงโจว”

ในฐานะผู้ฝึกตนขอบเขตเทพ เธอก็ยังคงมีพื้นฐานในการควบคุมร่างกายของเธอ

โดยธรรมชาติแล้ว เธอจะไม่แสดงอาการประหม่าต่อหน้าซุยเฮ็ง

อย่างไรก็ตาม เฉินหยิงก็ต้องตกตะลึง เธอคิดกับตัวเองว่า “ อย่างที่คาดไว้ ท่านอาจารย์สามารถปรับอารมณ์ได้เร็วมาก!”

“ นี่คือฉิงโหรวผู้สมบูรณ์แบบสินะ เชิญนั่งลงเถอะ” ซุยเฮ็งยิ้มและตอบกลับ ในเวลาเดียวกัน เขาก็มองตรวจสอบนักพรตหญิงที่สวยงามคนนี้

จากนั้นซุยเฮ็งก็นั่งลงในที่นั่งหลัก เขามองไปที่เหอฉิงโหรวและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ ว่ากันว่าสำนักเซียนอรุณถูกปิดตายมาเป็นเวลานาน และไม่มีร่องรอยของเซียนหลงเหลืออยู่ในโลกมนุษย์ ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าอะไรกันที่ทำให้เจ้ามาที่นี่”

“ เมื่อตอนที่ศิษย์ของข้ากลับมายังภูเขาก่อนหน้านี้ นางก็ได้เล่าเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับท่านให้ข้าฟัง” ดวงตาของเหอฉิงโหรวกะพริบราวกับว่าเธอกำลังพิจารณาคำพูดของเธอ “ และข้าก็ได้ยินมาว่าท่านสามารถกระตุ้นปรากฏการณ์ของกระบี่เซียนของสำนักของข้าได้ นอกจากนี้ ท่านก็ยังประสบความสำเร็จในวิชากระบี่เซียนอรุณ ฉะนั้นแล้ว เราจึงสงสัยว่าท่านมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับสำนักของเรารึเปล่า?”

“ ถูกต้อง” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ ถ้าเจ้าต้องการจะถามอะไร ทำไมเจ้าถึงไม่พูดมาเลยล่ะ ข้าชอบที่จะตรงไปตรงมาเสมอ มาตรงเข้าประเด็นกันเถอะ”

“…” เหอฉิงโหรวตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ราวกับว่าคำพูดของเธอคั่งค้างอยู่ในใจ

นี่มันไม่ตรงกับที่เธอเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า!

คำพูดที่ตรงไปตรงมาของซุยเฮ็งทำให้เธอสูญเสียคำพูด พวกเขาควรจะแลกเปลี่ยนความพึงพอใจกันสักเล็กน้อยก่อนจะเข้าประเด็นไม่ใช่หรอ?

โชคดีที่เหอฉิงโหรวเป็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลัง ดังนั้นเธอจึงรีบเรียบเรียงคำพูดและพยักหน้า “ ในกรณีนี้ โปรดอย่าตำหนิข้าเลย ท่านพอจะช่วยแสดงวิชากระบี่เซียนอรุณให้ข้าดูทีจะได้ไหม?”

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็ต้องเสียใจ

เธอจะบอกให้อีกฝ่ายแสดงวิชากระบี่เซียนอรุณโดยตรงเลยได้อย่างไร?

นั่นมันหยาบคายเกินไป!

กลับกัน ซุยเฮ็งไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เขาไม่ได้รู้สึกว่าเธอไม่สุภาพด้วยซ้ำ เขาพยักหน้าและพูดว่า “ แน่นอน”

สำนักเซียนอรุณเป็นมรดกที่เจียงฉีฉีทิ้งเอาไว้

และในทางทฤษฎี ศิษย์ของสำนักเซียนอรุณจึงสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นลูกหลานของเขา

เหอฉิงโหรวเองก็ถือเป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของเขาซึ่งสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน

ในแง่ของอายุ เขาก็แก่กว่าเหอฉิงโหรวกว่า 200 ปี เขาเพียงพอแล้วที่จะเป็นปู่ของเธอ

แบบนั้นแล้วใครจะไปสนใจทัศนคติของเด็กน้อยที่อายุน้อยกว่าเขาหลายร้อยปีกัน?

“ เอ่อ?” เหอฉิงโหรวไม่คิดว่าซุยเฮ็งจะคุยด้วยได้ง่ายขนาดนี้ เธอรู้สึกดีใจมากในทันที

เคล้ง!

ในขณะนี้ เสียงชักกระบี่ก็ดังขึ้นในห้องโถง

ซุยเฮ็งยกนิ้วขึ้นและเริ่มแสดงศาสตร์กระบี่เซียนอรุณ

ริ้วแสงกระบี่สีเขียวพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขา มันกลายเป็นชั้นของแสงหลากสีสันที่เต้นระบำไปมาในอากาศ ราวกับว่าแสงหลากสีสันนี้กำลังแพร่กระจายออกไป

ห้องโถงรับแขกกลายเป็นสรวงสวรรค์ในทันที

“ กระบี่แสงเมฆา! มันคือกระบี่แสงเมฆาที่สมบูรณ์แบบจริงๆ! มันสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าของเจ้าสำนักด้วยซ้ำ!” เหอฉิงโหรวอุทานในใจของเธอ

เธอมองไปที่ปลายนิ้วของซุยเฮ็งด้วยความประหลาดใจอย่างมาก ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความตกใจและความหลงใหล

ในฐานะคนที่ฝึกฝนวิชากระบี่เซียนอรุณมานานหลายทศวรรษ ความเข้าใจของเธอเกี่ยวกับกระบี่แสงเมฆานั้นก็สูงกว่าของเฉินหยิงมาก

เพียงการมองแวบเดียว เธอก็สามารถบอกได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่กระบวนท่ากระบี่แสงเมฆาธรรมดาๆ อย่างแน่นอน มันสมบูรณ์แบบจนถึงระดับที่แม้แต่เจ้าสำนักคนปัจจุบันก็ยังด้อยกว่ามาก!

มันสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าคำอธิบายที่บันทึกไว้ในศาสตร์กระบี่เซียนอรุณเสียอีก!

ในขณะนี้ การหายใจของเหอฉิงโหรวก็แทบจะหยุดลง

ก่อนที่เธอจะออกมาจากภูเขา ปรมาจารย์ก็ได้บอกเธอเกี่ยวกับซุยเฮ็ง และในขณะนี้ การคาดเดาก็ยังคงสะท้อนอยู่ในใจของเธอ

หรือมันจะจริง?!

แต่เวลาก็ได้ผ่านไปเกือบ 200 ปีแล้วนะ!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เหอฉิงโหรวก็ลังเลอีกครั้งและทันใดนั้นเธอก็คุกเข่าลงต่อหน้าซุยเฮ็ง

ในเวลาเดียวกัน เธอก็ดึงเฉินหยิงให้ลงมาคุกเข่าข้างๆ เธอ

เฉินหยิงไม่เข้าใจและเต็มไปด้วยความสับสน “ ท่านอาจารย์ ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”

เหอฉิงโหรวหายใจเข้าลึกๆ และถามด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ ข้าขอถามท่านได้ไหมว่าชื่อผู้ก่อตั้งสำนักเซียนอรุณของข้าใช่เหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบหรือไม่”

“…” ซุยเฮ็งเงียบลงเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ ราวกับว่าเขากำลังถอนหายใจ จากนั้นเขาก็กระจายแสงกระบี่ไปที่ปลายนิ้วของเขาและมองไปที่เหอฉิงโหรวและเฉินหยิงซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ข้างหน้าเขาและถอนหายใจ

“ ชื่อของนางคือเจียงฉีฉี”