ตอนที่ 145 - บทที่ 145 พวกเจ้ากล้ายึดของๆข้า!

บทที่ 145 พวกเจ้ากล้ายึดของๆข้า!

แต่หลังจากความกลัวลดลง ความรู้สึกขุ่นเคืองก็เพิ่มขึ้นในใจของเขา

“ให้ตายเถอะ..บัดซบเอ้ย ข้าทำงานอย่างหนักเพื่อค้นหารายละเอียดอย่างชัดเจน ข้าจึงมาที่นี่เพื่อบอกเจ้าว่ามันเทียบเท่ากับการส่งเงินมากกว่า 100,000 หยวนไปให้เจ้านะ แล้วผลลัพธ์ล่ะ?

สุนัขบ้ากล้ามไร้สมอง มันไม่รู้จักดีชั่ว! เจ้าอย่างมีเกียรจินักใช่ไหม?! ได้ๆ..ข้าจะไปบอกข่าวให้คนอื่นฟังก็ได้!"

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็มองไปที่สำนักงานที่อยู่ไกลๆ แล้วเดินออกไป

ข้างในบ้าน

เฉิงเล่ยแสดงการเยาะเย้ยที่มุมปากของเขา

หวังซินตัวบัดซบนี่ช่างกล้าหาญนัก มันต้องการใช้เขาเป็นมือปืนแล้วตัวเองรอเก็บผลประโยชน์งั้นเหรอ? ช่างไม่รู้จักชั่งน้ำหนักตัวเองเลย!

เป็นเรื่องจริงที่วัวป่ามากกว่า 20 ตัวมีค่ามากกว่า 100,000 หยวน

แล้วยังไงล่ะ?

เขาไม่คิดว่ามันจะยากสำหรับเขาที่จะหารายได้มากกว่า 100,000 หยวนงั้นนเหรอ?

เพียงแค่อาศัยปืนกลหนักในมือ ที่มีลำกล้อง 12.7 มม. ระยะหวังผล 1,000 เมตร และอัตราการยิง 6,000 นัดต่อนาที อำนาจการยิงแบบนี้แม้จะเผชิญหน้ากับเกราะชั้นยอดก็ตาม อย่างแรดเกราะเหล็กที่ยอดเยี่ยมในหมู่สัตว์อสูรระดับกลาง มันจะถูกเขาฉีกออกเป็นชิ้นเล็กๆน้อยๆ!

ด้วยความแข็งแกร่งแบบนี้การเดินออกไปหาเงินหลักหมื่นก็เหมือนกับการเที่ยวเล่น

ไม่ต้องพูดถึง ไพ่เด็ดของเขาไม่ใช่แค่ปืนกลหนักนี้เท่านั้น

เงินได้มาง่าย แต่สิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะซื้อ เช่นเม็ดยาพลังงานเลือดระดับกลางนั้น และยาพลังงานเลือดระดับสูงคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าสิ่งนี้เป็นการสิ้นเปลืองอย่างมากสำหรับนักรบที่มีทุนทรัพย์น้อย แต่พวกเขาก็ยังต้องการซื้อมัน อีกอย่างหนึ่งถ้าพวกเขาไม่มีช่องทาง มันยากมากที่จะสามารถซื้อได้ และทรัพยากรอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน

“อย่างไรก็ตาม นักแม่นปืนที่อยู่เฉินเจียไจ้คนนั้นก็ค่อนข้างน่าสนใจ เมื่อข้ามีเวลาข้าจะลองดูเช่นกัน”

เขายกมุมปากขึ้นแล้วพึมพำออกมาเบาๆ

ส่วนหวังซินเดินไปกว่าร้อยเมตร และในที่สุดเขาก็มาถึงนอกสำนักงานแห่งหนึ่ง เขายกมือขึ้นและเมื่อเขากำลังจะเคาะประตู เขาก็ลังเลเล็กน้อย

กวนเต๋อซีคนนี้เข้าหาได้ยากมากกว่ากัปตันอย่างมาก โดยเขาให้ความรู้สึกที่น่ากลัวและเจ้าเล่ห์อย่างมาก

แล้วถ้าเขาไปแจ้งให้กวนเต๋าซีรู้เขาก็จะเก็บผลการเก็บเกี่ยวไว้มาก และตัวเองเพียงเล็กน้อยจะทำยังไง?

"แม้จะได้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย!"

ในที่สุดเขาก็กัดฟันตัดสินใจและเคาะประตู

"เข้ามา"

เสียงสงบดังขึ้นในห้อง

หวังซินผลักประตูเปิดออกด้วยรอยยิ้ม ตรวจดูประมวณความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเดินเข้าไป ปิดประตูแล้วพูดว่า "กัปตัน ฝึกคัดตัวอักษรเป็นอย่างไรบ้าง?"

“ว้าว คำนี้เหมือนกับเมฆลอยบนน้ำ เหมือนมังกรที่ผงาดฟ้า ตัวอักษรนี้มั่นคงดุจเหล็กกล้า มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดทั้งในอดีตและปัจจุบัน!”

เขาเดินเข้ามาดูอักษรวิจิตรคู่หนึ่งบนโต๊ะแล้วพูดชื่นชมออกมา

กวนเต๋อซีถือพู่กันในมือขวาของเขา พยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินคำพูดนั้นและพูดว่า "เสี่ยวหวัง จู่ๆ เจ้าก็มาหาข้าทำไม?"

“กัปตัน ข้ามาที่นี่เพื่อชื่นชมอักษรวิจิตรของท่านไม่ได้เหรอ?”

ปากของหวังซินดูเหมือนจะทาด้วยน้ำผึ้ง และดูเหมือนว่ามันจะได้ผลอย่างมากอีกด้วย เพราะรอยยิ้มบนใบหน้าของกวนเต๋าซีก็กว้างขึ้น

“เอาล่ะ การประดิษฐ์ตัวอักษรของข้าอยู่ในระดับไหน ข้าก็ไม่แน่ใจว่ามันจะสวยขนาดนั้น นั่งลงสิ” เขาชี้ไปที่โซฟาข้างๆ

"ขอบคุณครับกัปตัน"

หวังซินมีความสุขไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว คิดว่ากวนเต๋อซีอาจไม่น่ากลัวอย่างที่ข่าวลือกันหรือป่าว? อย่างน้อยทักษะการเข้าสังคมของคนนี้ก็ดีกว่าเฉิงเล่ยคนนั้นอย่างมาก

"บอกข้ามาว่าเจ้ามีเรื่องอะไร?"

กวนเต๋อซีถามอย่างไม่เป็นทางการขณะตะวัดพู่กันไปด้วย

หวังซินโน้มร่างกายส่วนบนของเขาแล้วกระซิบว่า "ข้ามาที่นี่ครั้งนี้เพราะข้ามีเรื่องใหญ่ที่ต้องการจะบอกกับท่าน กัปตัน"

“โอ้? เรื่องใหญ่งั้นหรือ? เรื่องใหญ่อะไร?”

“เกี่ยวกับเรื่องโจรขโมยม้า!”

หวังซินลดเสียงของเขาลง

มือของฝ่ายหลังที่จับพู่กันสั่นเล็กน้อย

“เกิดอะไรขึ้นกับโจรขโมยม้างั้นเหรอ?”

เสียงของกวนเต๋อซีสงบเช่นเคย และพู่กันก็เริ่มขยับขึ้นลงบนกระดาษอีกครั้ง

หวังซินกล่าวอย่างมีชัย "กัปตันยังไม่รู้เรื่องนี่ใช่ไหม? พวกโจรขโมยม้าที่อยู่ข้างนอกป้อมพวกเราถูกกวาดล้างไปแล้ว!"

ม่านตาของกวนเต๋อซีหดตัวลงทันที "ถูกกวาดล้างไปแล้ว! เจ้ารู้ข่าวนี้ได้อย่างไร?"

“กัปตัน จริงๆแล้วข่าวนี้ไม่เป็นความลับเลย ไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้น แต่คนอื่นๆ ในทีมทหารยามก็รู้ด้วยกันทั้งหมด อย่างไรก็ตามข้ารู้สิ่งที่พวกเขาไม่รู้”

"หือ..?"

กวนเต๋อซีเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม "ไหนลองพูดมาให้ข้าฟังหน่อย"

"นี้…"

หวังซินยิ้มอย่างความหมายชัดเจนในตัวเอง

"วางใจได้เลย"

กวนเต๋อซีหรี่ตาลง "หากสิ่งที่เจ้าพูดต่อไปมีค่าจริงๆ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าพูดโดยเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน"

“เอาล่ะ ด้วยคำพูดของกัปตันนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาก็สบายใจได้แล้ว”

หวังซินดีใจมากและพูดเหมือนที่เล่ากันเฉิงเล่ยตั้งแต่ต้นจนจบ

และครั้งนี้เขาไม่ได้ถูกขัดจังหวะ

กวนเต๋อซีรับฟังอย่างอดทน

"จบแล้ว?"

"เอ่อ..ใช่ครับ"

หวังซินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยิ้มและพูดว่า "เป็นอย่างไรบ้างกัปตัน ข่าวนี้มีค่ามากพอไหม สัตว์พาหนะมากกว่า 20 ตัวนั่นคือเงินมากกว่า 100,000 หยวนเชียวนะ"

"มันคุ้มค่าจริงๆ"

กวนเต๋อซีพยักหน้า

“แล้วเจ้าบอกข่าวนี้กับใครอีกไหม?”

หวังซินเบิกตากว้างแล้วพูดว่า "กัปตัน หลังจากที่ข้ารู้เรื่องนี้ ท่านเป็นคนแรกที่ข้ามาบอก ข้ายังไม่ได้บอกใครเลย"

“ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากเจ้างั้นหรือ?”

หวังซินขมวดคิ้ว เหตุใดคำพูดของกวนเต๋อซีถึงดูเหมือนยิ่งเขาได้ยินมากขึ้น เขาก็ไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ..มันทำไมกัน?

“ไม่หรือ เจ้าบอกว่าเจ้ารู้เรื่องนี้จากพี่สะใภ้ของหยางเสี่ยวฉุน นั่นหมายความว่าเธอก็รู้เรื่องนี้ด้วยไม่ใช่หรือ?” รอยยิ้มของกวนเต๋อซีหายไป และดูเหมือนเขาจะไม่พอใจเล็กน้อย

"ใช่แล้ว"

หวังซินมีความรู้สึกไม่ดี และขนบนร่างกายของเขาลุกชูชันขึ้น

เขาฝืนยิ้มบนใบหน้าแล้วพูดว่า "กัปตัน..ไม่ต้องห่วง เธอไม่ใช่คนประเภทที่ชอบคุยกับคนอื่นไปทั่ว มีเพียงเธอและข้าเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ แน่นอนถ้านับท่านด้วย ตอนนี้ก็เป็นสามคน”

“อย่างนั้นหรือ?”

กวนเต๋อซียิ้มอีกครั้ง เดินช้าๆ และพูดว่า "ใช่ ข่าวของเจ้าครั้งนี้ถือว่ามาทันเวลามาก บอกข้ามาว่าเจ้าต้องการรางวัลแบบไหน?"

“เอ่อ.. กัปตัน ท่านก็สุภาพเกินไป”

หวังซินมองไปที่อีกฝ่ายที่เดินมาทีละก้าวและพูดอย่างเฉยเมย "ควรมีสัตว์พาหนะมากกว่า 20 ตัวในเฉินเจียไจ้ หลังจากเรื่องนี้เสร็จสิ้นข้าจะพอใจมากถ้ากัปตันให้ข้าสักตัวก็พอ แน่นอนว่าถ้าท่านต้องการให้มากกว่านี้ข้าก็ไม่มีข้อโต้แย้งอะไร”

“คุณค่อนข้างจะเข้าใจในตัวเองดี”

กวนเต๋อซีเดินช้าๆไปข้างหลังเขา

“ข้าพอจะเข้าใจ ถ้าไม่มีท่าน..ไม่ต้องพูดถึงวัวป่า..ข้าคงไม่ได้รับหมูสักตัวด้วยซ้ำ...”

"แคร้ก!"

มีเสียงแตกหักดังขึ้นอย่างชัดเจน

หวังซินซึ่งยังคงยิ้มและพูดไม่หยุดในตอนนี้ หันหัวของเขาไป 90 องศาและล้มลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง

ข้างหลังเขากวนเต๋อซีมีสีหน้าดุร้ายบนใบหน้าของเขา เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าด้วยมือซ้าย เช็ดน้ำลายบนฝ่ามือขวา ขยำผ้าเช็ดหน้าให้เป็นลูกบอลแล้วโยนลงในถังขยะ

“ของของเราผู้เฒ่าเป็นที่เจ้าจะสามารถพูดว่าจะเอาก็ได้หรือ?”

เขาพูดเยาะเย้ยออกมา

มิน่าละ..ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนที่เขาติดต่อด้วยไม่ปรากฏตัวมาเป็นเวลานานแล้ว และยังมีข่าวว่ากลุ่มพวกโจรขโมยม้าถูกกวาดล้างไปแล้ว

ปรากฎว่ามีใครบางคนทำลายมันจริงๆ

“ไอ้พวกสารเลวไร้ประโยชน์!”

เขาสาปแช่งอย่างขมขื่น

วัวป่าของพวกหัวขโมยม้ามากกว่า 30 ตัวนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาได้ในวันเดียว ดังนั้นนี่คือเงินทั้งหมดที่เขาลงทุนเพื่อผลกำไร เขาหวังว่าคนพวกนี้จะปล้นสิ่งของมาให้เขามากขึ้น

ตอนนี้เขายังไม่ได้รับทุนคืนแม้สักครึ่งหนึ่ง แต่ไม่คาดคิดพวกเขาทั้งหมดถูกฆ่าตายและพาหนะของพวกเขาถูกแย่งไป

นั่นคือเงินทั้งหมดของเขา! เงินของเขา!

“เฉินเจียไจ่งั้นนหรือ? พวกเจ้ากล้าแตะต้องของของข้าได้ยังไง?”

ดวงตาของเขามีความโกรธอย่างมาก และเขาอยากที่จะจะพาใครซักคนไปที่นั่นและฆ่าผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในเฉินเจียไจ้ทันที เพื่อระบายความเกลียดชังในใจของเขา

“ไม่ ผู้ชายคนนั้นเฉิงเล่ยกลับมาแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่กลับมาก็ตาม แต่ถ้าข้าลงมือในตอนนี้ มันจะดึงดูดความสนใจของเขาอย่างแน่นอน”

กวนเต๋อซีเดินไปมา ทันใดนั้นแรงบันดาลใจแวบหนึ่งก็เข้ามาในใจของเขา

เฉินเจียไจ้อยู่ใกล้จ้าวเจียเป่าใช่ไหม?

จ้าวต้าและคนอื่น ๆ เมื่อรู้ว่าราคาของเม็ดยาพลังงานเลือดระดับกลางที่ซื้อที่นี่จะสูงกว่าราคาตลาด พวกเขายังคงมาซื้อที่นี่เพราะพวกเขาต้องการที่จะทำให้เขาพอใจและได้รับโอกาสเข้าสู่เมืองอันซาน

ทำไมเขาไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ให้พวกเขาจัดการล่ะ?

คนที่รู้ว่าเขาเป็นผู้บงการเบื้องหลังโจรขโมยม้า มีเพียงผู้นำของขโมยม้าเท่านั้น แม้แต่คนที่มาติดต่อกับเขาก็ไม่ทราบถึงรูปลักษณ์และตัวตนที่แท้จริงของเขา

ส่วนหัวหน้าโจรขโมยม้าไม่ต้องห่วงเพราะภรรยาและลูกสาวอยู่ในมือของเขาแล้ว

แต่ตามที่คนตายตรงหน้าเขาบอก พวกเขาตายหมดแล้ว และพวกเขาไม่มีโอกาสพูดด้วยซ้ำ

ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าใครจะรู้ความลับนี้ ทำให้จ้าวต้าและคนอื่น ๆ จะไม่มีโอกาสคุกคามเขากลับอย่างแน่นอน ในทางตรงกันข้ามพวกเขาจะคิดว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้เขาพอใจด้วยซ้ำ

"งั้นเอาตามนี้ก็แล้วกัน"

กวนเต๋อซีพยักหน้า รู้สึกว่าแผนการนี้ไม่มีอะไรเสียหาย

ในกรณีนี้ผู้หญิงคนนั้นรวมทั้งภรรยาและลูกสาวของหวู่ปิงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้แล้ว

เขาแค่ส่งใครสักคนไปบอกพี่น้องแซ่จ้าวทั้งสามให้นำพาหนะเหล่านั้นกลับมาให้เขา จากนั้นก็จัดคนกลุ่มหนึ่งไปรับมา

“เฉินเจียไจ่ เฉินเจียไจ่ พวกเจ้าช่างเลวทรามนี่ เตรียมตัวตายได้แล้ว!”

กวนเต๋าซีกัดฟันด้วยความสะใจผสมกับความเกลียดชัง

….

“พี่เฉิน เราได้แจกจ่ายของไปหมดแล้ว หากมีสิ่งใดอีกท่านเพียงแค่สั่งเรามา”

อู๋กวงพูดด้วยท่าทางเคารพอย่างมาก

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่สายตาของผู้คนที่อยู่ข้างหลังเขาก็เต็มไปด้วยความเคารพและความชื่นชมเช่นกัน

"กลับไปพักเถอะ"

เฉินฟานส่ายหัว “พวกเจ้าทำงานหนักมาทั้งวันแล้ว ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”

"ไม่หนักๆ ไม่ได้ทำงานหนักเลย"

เมื่อหลายคนได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาทั้งหมดก็ดูปลื้มปิติอย่างมากที่มีเจ้านายที่เป็นห่วงลูกน้อง

“พี่เฉิน นี่ไม่ใช่งานหนักที่ไม่ถึงเศษเสี้ยวการทำงานหนักเมื่อจ้าวต้าอยู่ที่นี่เลย” ใครบางคนพูดแล้วยิ้มออกมา

“ใช่ ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่ามีคนตายไปกี่คนแล้ว บางคน...”

“แอ๊กๆ” อู๋กวงไอออกมาเบา ๆ ขัดจังหวะคำพูดของชายคนนั้น มองที่เฉินฟานแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น..พี่เฉิน พวกเราจะออกไปก่อน หากท่านมีอะไรต้องสั่งการ ท่านสามารถมาพบพวกเราข้างนอกได้ตลอดเวลา"

เฉินฟานเหลือบมองเขา แล้วเหมือนคิดอะไรได้และพูดขึ้นว่า "จัดคนมาเฝ้าประตูให้ข้าด้วย และถ้าใครมา..ก็ให้มาแจ้งข้าให้รู้ทันที"

"รับทราบครับ"

อู๋กวงตอบรับอย่างรวดเร็วและเดินออกไปพร้อมกับพวกเขาทั้งสามคน