ตอนที่ 211

บทที่ 211 : อารามพุทธทั้งสามแห่ง จดหมายถึงจักรพรรดินี

อารามพุทธที่ยิ่งใหญ่สามแห่งของโลกสูญสวรรค์คือ โถงพุทธมามกะเป่าหลิน, โถงโพธิศักดิ์สิทธิ์และโถงพุทธบูชา

ในหมู่พวกเขา การกระทำของโถงพุทธมามกะเป่าหลินก็เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยที่สุด มันมักจะมีพระสงฆ์ออกมาเดินอยู่ข้างนอก และพวกเขาก็ได้ก่อตั้งสาขาในโลกเบื้องล่างเมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกเขาเป็นผู้นำในการต่อสู้กับสำนักเซียนอรุณ

แต่ถึงกระนั้น ผู้คนในโลกก็ยังไม่รู้จักโถงพุทธมามกะเป่าหลินมากนัก พวกเขารู้เพียงคร่าวๆ ว่าโถงพุทธมามกะเป่าหลินเป็นขุมพลังอันยิ่งใหญ่ที่มีตัวตนระดับพระพุทธเจ้าและมหาโพธิสัตว์มากมาย

สำหรับโถงโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์และโถงพุทธบูชานั้นก็ลึกลับยิ่งกว่า คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตำแหน่งหรือสถานการณ์โดยทั่วไปของทั้งสองด้วยซ้ำ

หากไม่ใช่เพราะนานๆ ครั้งมันจะมีพระมหาโพธิสัตว์ปรากฎตัวออกมา โลกก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอารามทั้งสองแห่งนี้อยู่ด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าอารามพุทธทั้งสามแห่งนี้จะยืนอยู่เคียงข้างกับสำนักเซียนทั้งเก้า แต่พวกเขาก็แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

สำนักเซียนทั้งเก้ามักจะจัดงานเลี้ยงของสำนักเซียนและเชิญเซียนของสำนักเซียนต่างๆ มาเข้าร่วม และในทุกครั้ง พวกเขาก็จะเชิญอารามพุทธทั้งสามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากโถงพุทธมามกะเป่าหลินที่ส่งพระมหาโพธิสัตว์ออกมาเป็นครั้งคราวแล้ว อารามพุทธอีกสองแห่งก็แทบจะไม่เคยเข้ามาร่วมในงานเลี้ยงเหล่านี้เลย ราวกับว่าพวกเขาไม่มีตัวตนอยู่จริง

แม้แต่โถงพุทธมามกะเป่าหลินก็ยังไม่เคยเชิญคนนอกให้เข้ามาที่สำนักของตนเอง ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ในโถงพุทธมามกะเป่าหลินนั้นเป็นอย่างไร

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงมีประตูภูเขาที่ชัดเจน

สิ่งนี้ดีกว่าโถงโพธิศักดิ์สิทธิ์และโถงพุทธบูชามากแล้ว

จากข้อมูลของเป่ยฉิงซู ความลึกลับของอารามพุทธทั้งสามแห่งก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เริ่มแรกที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นบนโลก

แม้แต่รูปร่างหน้าตาของพวกเขาก็ยังเต็มไปด้วยความลึกลับ

ว่ากันว่ามันเกิดขึ้นในคืนหนึ่งเมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นเซียนหรือมนุษย์ในโลกสูญสวรรค์ ตราบใดที่พวกเขากำลังหลับใหล พวกเขาก็จะสัมผัสได้ถึงแสงพุทธที่ส่องทะลุสวรรค์สามดวง และในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ของชาวพุทธและเห็นพระพุทธรูปขนาดยักษ์สามองค์

มันเป็นออร่าที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตราชาสวรรค์

ในเวลานั้น โลกสูญสวรรค์ทั้งหมดก็ตกตะลึงอย่างสุดจะพรรณนา แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งเก้าของสำนักเซียนก็ยังระดมกำลังกันค้นหาแหล่งที่มาของสถานการณ์ที่แปลกประหลาดนี้

แต่กระนั้น สุดท้ายพวกเขาก็กลับไม่พบอะไร จนกระทั่งประมาณสิบปีให้หลัง คนจากอารามพุทธทั้งสามก็เริ่มออกเดินทางไปทั่วโลก

ผู้ที่อ่อนแอที่สุดคือพระอรหันต์ พระโพธิสัตว์หรือพระมหาโพธิสัตว์นั้นจะปรากฏตัวออกมาเป็นครั้งคราว

ด้วยยอดฝีมือเหล่านี้ที่ออกเดินทางไปทั่วโลก อารามพุทธทั้งสามแห่งจึงได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง

แต่นั่นก็คือทั้งหมด

อารามพุทธทั้งสามแห่งไม่เคยทำอะไรที่สะเทือนขวัญผู้คนบนโลกใบนี้เลย

พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ และพระมหาโพธิสัตว์เหล่านั้นได้หายตัวไปหมดทันทีหลังจากพวกเขาเดินทางไปทั่วโลกเสร็จ

และเมื่อร้อยปีที่แล้ว จู่ๆ โถงพุทธมามกะเป่าหลินก็ได้เป็นผู้นำในการปิดล้อมสำนักเซียนอรุณ และนั่นก็น่าจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังที่สุดของพวกเขาแล้ว

ด้วยเหตุนี้เอง ในแง่หนึ่ง อารามพุทธทั้งสามแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนกับกองกำลังสามกองที่พเนจรอยู่รอบโลกสูญสวรรค์

สำหรับคนส่วนใหญ่ในโลกสูญสวรรค์ มันก็ไม่มีความแตกต่างมากนักไม่ว่าจะมีพวกเขาอยู่หรือไม่ก็ตาม

มันเป็นการยากที่จะบอกว่าเป้าหมายในการดำรงอยู่ของพวกเขาคืออะไร

“ อารามพุทธทั้งสามปรากฏขึ้นจากอากาศและแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกเลย…” ซุยเฮ็งขมวดคิ้วและพูดด้วยความสับสน “ สมมุติว่าอารามพุทธทั้งสามแห่งเป็นคนนอกจริง แล้วเหตุใดพวกเขาจึงอยู่กันแบบนี้?”

พวกเขาทั้งหมดส่ายหัว

มันเป็นการยากที่จะให้คำตอบได้

ข้อมูลเกี่ยวกับอารามพุทธทั้งสามนั้นยังมีน้อยเกินไป ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดา

“ ท่านอาจารย์ บางทีเราอาจจะเข้าใจสถานการณ์ของอารามพุทธทั้งสามแห่งได้จากเหล่าสำนักเซียนเท่านั้น” เป่ยฉิงชูพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ พวกเขาน่าจะรู้ความลับมากมาย”

“ แต่ข้าเกรงว่าพวกเขาจะยุบสำนักและทำลายหนังสือทั้งหมดลงไปก่อนแบบคราวที่แล้ว” ซุยเฮ็งยืนขึ้นและเดินไปที่หน้าต่าง เขามองออกไปในระยะไกลและพูดว่า “ เราควรดูก่อนว่าพวกเขาจะตอบสนองอย่างไร”

“ หลังจากข่าวเรื่องการล่มสลายของสำนักเอกาสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์แพร่กระจายออกไป มันก็จะดึงดูดความสนใจของสำนักเซียนอื่นๆ ได้อย่างแน่นอน พวกเขาจะต้องมีปฏิกิริยาไม่มากก็น้อย”

ภายใต้สถานการณ์ปกติ ก่อนที่เขาจะเข้าใจถึงภูมิหลังของอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์ เขาก็จะไม่ลงมือโจมตีง่ายๆ แน่

ก่อนหน้านี้ การส่งฮั่วเอ๋อไปกำจัดสำนักเอกาสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเพียงการทดสอบเพื่อดูว่าสำนักเซียนเหล่านี้มีความสามารถสูงกว่าที่เขาคาดการณ์หรือไม่

และตอนนี้เขาก็บรรลุเป้าหมายนี้แล้ว เขาสามารถรอดูผลที่เหลือได้

เมื่อเขาเข้าใจถึงระดับพลังของโลกนี้และเข้าใจภูมิหลังของสำนักเซียนทั้งเก้ากับอารามพุทธทั้งสามแล้ว เขาก็จะจับเก้าผู้อาวุโสของสำนักเซียนมาแบบเป็นๆ และถามพวกเขาเกี่ยวกับข้อมูลที่เขาอยากรู้ทั้งหมด

ในเวลานั้น แม้ว่าพวกเขาจะทำลายหนังสือทั้งหมดลงไปแล้ว แต่พวกเขาก็จะไม่สามารถปกปิดอะไรได้อย่างแน่นอน

“ ข้าสามารถส่งคนของข้าออกไปแพร่ข่าวและสืบดูความเคลื่อนไหวของเหล่าสำนักเซียนได้” เป่ยฉิงซูกล่าว

“ นั่นไม่จำเป็น” ซุยเฮ็งส่ายหัวเบาๆ และยิ้ม “ ข้าจะส่งมังกรออกไปแทน"

ในขณะที่เขาพูด เขาก็ยกมือขึ้นและชี้ออกไป ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขา

ในชั่วพริบตา มันก็กลายเป็นมังกรเพลิงขนาดเจ็ดนิ้ว

ดวงตาของมังกรเพลิงเองก็เป็นสีแดงเช่นกัน ถึงอย่างนั้น สายตาของมันนั้นก็มีชีวิตชีวามาก หลังจากส่ายหัวและมองไปรอบๆ มันก็บินไปข้างหน้าซุยเฮ็งและโค้งคำนับด้วยความเคารพ

“ คารวะท่านประมุขเซียน!” มังกรเพลิงก้มหัวคำนับด้วยความเคารพ

“ ห้ะ?!” ทันใดนั้นฮั่วเอ๋อก็โผล่หัวออกมาจากเสื้อผ้าของฮุ่ยฉี มันมองไปที่มังกรเพลิงตัวใหม่และส่ายหัวด้วยความสับสนก่อนที่จะเปลี่ยนกลับไปเป็นรอยสักและนอนลง

เป่ยฉิงซูตกตะลึง เขามองไปที่มังกรเพลิงที่โค้งคำนับด้วยความเหลือเชื่อและพูดด้วยความตกใจว่า “ ท่านอาจารย์ นี่คือสิ่งมีชีวิตจริงๆ หรอ?!” แม้ว่าเขาจะเคยเห็นฮั่วเอ๋อมาก่อนแล้ว แต่มันก็ค่อนข้างโง่เขลาและดูไม่ค่อยเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาสักเท่าไหร่

“ มันถูกสร้างขึ้นมาได้แบบนี้เลยหรอ!” เป่ยฉิงซูรู้สึกตกใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

จากสิ่งที่เขารู้ วิธีการสร้างสิ่งมีชีวิตแบบนี้นั้นก็น่าจะมีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้น

มันน่าตกใจเกินไป

เป็นไปได้ไหมว่าอาจารย์ของเขาจะมีพลังมากพอที่จะเทียบเคียงกับเทพผู้สร้างได้?

แม้ว่าจางซูหมิงและฮุ่ยฉีจะตกใจมาก แต่พวกเขาก็อยู่เคียงข้างซุยเฮ็งมาเป็นเวลานานแล้วและคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้แล้ว ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงเริ่มจะชินกับความน่าประหลาดใจของซุยเฮ็งแล้ว

“ ต่อจากนี้ไปชื่อของเจ้าก็คือฮั่วซื่อ” ซุยเฮ็งกล่าวกับมังกรเพลิง “ ไปได้”

“ รับทราบท่านประมุขเซียน!” ฮั่วซื่อคำนับและจากไป มันกลายเป็นแสงสีแดงและหายไปในขอบฟ้า

นี่คือมังกรเพลิงที่มีพลังขอบเขตแก่นแท้ทองคำขั้นปลาย

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับมังกรเพลิงทั้งสามตัวก่อนหน้านี้แล้ว มันก็น่าจะเป็นมังกรเพลิงตัวที่มีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดและมีสติปัญญาที่สมบูรณ์แบบที่สุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสติปัญญา มันดีกว่าฮั่วเอ๋อมาก

ด้วยการส่งมังกรเพลิงออกไป มันก็สามารถท่องไปรอบๆ สำนักเซียนที่เหลืออีกแปดแห่งได้ตลอดเวลาและจับความเคลื่อนไหวของสำนักเซียนเหล่านี้ได้

นอกจากนี้ มันก็ยังสามารถบินไปยังสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการล่มสลายของสำนักเอกาสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ได้

อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นการฆ่านกหลายตัวด้วยหินก้อนเดียว

“ พลังศักดิ์สิทธิ์ของท่านอาจารย์นั้นไร้ขอบเขต” เป่ยฉิงซูอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

“ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแบบนั้นก็ได้” ซุยเฮ็งหัวเราะเบาๆ “ ก่อนที่เราจะไปยังตำหนักเต๋าอี้กัน ช่วยพาข้าไปเยี่ยมชมหลินเจียงทีสิ”

“ เข้าใจแล้วท่านอาจารย์!" เป่ยฉิงซูมีความสุขมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาค่อนข้างภูมิใจในเรื่องการจัดการสิ่งต่างๆ ในหลินเจียง

และในที่สุด เขาก็มีโอกาสได้แสดงความสามารถในแง่มุมนี้!

“ ท่านอาจารย์ เราควรแจ้ง… จักรพรรดินีเฟิงว่าท่านมาถึงต้าโจวแล้วดีไหม?” เป่ยฉิงซูถามอีกครั้ง

จักรพรรดินีเฟิงคือจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันของต้าโจว

หลี่หมิงเฉียง

เดิมทีเป่ยฉิงซูก็ต้องการจะพูดว่าศิษย์น้องหญิง

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะทันได้พูด เขาก็ตระหนักว่าอาจารย์ของเขายังไม่ได้ยอมรับหลี่หมิงเฉียงเป็นศิษย์ของเขา ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เขาจะเรียกเธอว่าศิษย์น้อง

“ งั้นพาข้าไปดูต้าโจวก่อนก็ได้” ซุยเฮ็งยิ้ม เขาไม่ได้เห็นด้วยหรือปฏิเสธ

….

นครหลวงต้าโจว

เป่ยเยว่จื่อมาที่นี่อย่างประหม่า

อันที่จริง ในฐานะทายาทสายตรงของตระกูลเป่ย การมาที่วังหลวงนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก

เมื่อก่อนเขาเองก็มาที่นี่บ่อยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในคราวนี้ มันก็แตกต่างออกไป เขามาที่นี่พร้อมกับจดหมายจากปู่ทวดของเขา

ก่อนที่ปู่ทวดของเขา เป่ยฉิงซูจะออกจากหลินเจียง อีกฝ่ายก็ได้สั่งเอาไว้อย่างจริงจังว่าหากตนไม่กลับมา เขาก็จะต้องเอาจดหมายนี้มาส่งยังวังหลวงและมอบมันให้กับสาวใช้ในวังที่ชื่อว่าหยูเว่ย

จดหมายถูกปิดผนึกด้วยขี้ผึ้ง ดังนั้นมันจึงจะต้องเป็นจดหมายที่สำคัญอย่างยิ่ง

เป่ยเยว่จื่อรู้ดีว่าปู่ทวดของเขากำลังจะออกไปพบกับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่สงสัยว่าจะเป็นเซียนขอบเขตที่ห้า

ความเป็นและความตายของเขาไม่เป็นที่ประจักษ์

และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาได้มาส่งจดหมายฉบับดังกล่าว

หลังจากที่เป่ยฉิงซูมุ่งหน้าไปยังกวนโจว ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวก็ได้ปรากฏขึ้นบนโลก เมฆดำทะมึนปกคลุมท้องฟ้าและสายฟ้าก็ผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง

แกนหลักของมันก็น่าจะอยู่ในมณฑลกวนโจว

อย่างไรก็ตาม แม้แต่ในหลินเจียง เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวได้อย่างชัดเจน

หลังจากปรากฏการณ์ดังกล่าว เป่ยเยว่จื่อก็ได้รออีกสองสามวัน แต่กระนั้นมันก็ยังไม่มีข่าวการกลับมาของปู่ทวดของเขา สิ่งนี้ทำให้เขาเศร้ามากและเขาก็ตัดสินใจรีบมุ่งหน้ามายังวังหลวง

บางทีเส้นทางการช่วยชีวิตปู่ทวดของเขาอาจจะถูกเขียนไว้อยู่ในนี้ บางทีหลังจากที่จักรพรรดินีเห็นมัน เธอก็อาจจะออกไปช่วยปู่ทวดของเขาก็ได้!

ด้วยเหตุนี้เอง เป่ยเยว่จื่อจึงวางแผนที่จะมาส่งจดหมายให้เร็วที่สุด

หลังจากมาถึงวังหลวง เขาก็ส่งจดหมายปิดผนึกให้กับสาวใช้ในวังที่ชื่อหยูเว่ยในทันที

และในคืนนั้นเอง จดหมายฉบับนี้ก็ได้ถูกส่งไปถึงยังห้องบรรทมของจักรพรรดินี

จักรพรรดินียังคงนอนอยู่ข้างหลังอย่างเกียจคร้าน

หยูเว่ยถือจดหมายในมือมาด้วยความเคารพและยกมันขึ้นเหนือศีรษะ “ ฝ่าบาท มีจดหมายจากเทวาเป่ย คนที่ส่งมันมาเป็นทายาทสายตรงของตระกูลเป่ย สถานการณ์ดูเหมือนจะค่อนข้างเร่งด่วน”

“ ห้ะ?” เสียงอุทานของจักรพรรดินีดังมาจากด้านหลังฉากกั้น