ตอนที่ 136

บทที่ 136 : ขอบเขตของพระพุทธเจ้า จักรพรรดิองค์นี้บ้าไปแล้ว

ภายใต้คำอธิบายของจางซูหมิง ในที่สุดซุยเฮ็งก็ได้เรียนรู้ว่าแมลงสีม่วงดำประหลาดเหล่านี้คืออะไร

ในสมัยราชวงศ์ต้าหยานเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว

จู่ๆ ผู้คนจากโลกสูญสวรรค์ก็ปรากฏตัวขึ้น และตำหนักเต๋าอี้ก็ประสบกับการโจมตีที่น่าสลดใจอย่างยิ่ง ในท้ายที่สุด บรรพบุรุษของพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้อง “ขึ้นไป” ยังโลกเบื้องบนและกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน

อย่างไรก็ดี เมื่อ 3,000 ปีก่อน มันก็ไม่ได้มีเพียงแค่เซียนสวรรค์เท่านั้นที่มาบังคับพวกเขาให้ขึ้นไป

ย้อนกลับไปในตอนนั้น เหตุผลที่ตำหนักเต๋าอี้พ่ายแพ้อย่างรวดเร็วก็เป็นเพราะ “แมลงปีศาจมลายนภา” เหล่านี้

มันเป็นยาพิษที่มีเฉพาะในโลกสูญสวรรค์ ไม่มีใครทราบที่มาที่แท้จริงของมัน และมันก็ถูกใช้ราวกับเป็นสมบัติหายากโดยสำนักเซียนอันยิ่งใหญ่ทั้งเก้า

ความแข็งแกรงของแมลงปีศาจมลายนภานั้นอ่อนแอมาก แต่ความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณของมันนั้นก็เทียบได้กับเซียนปฐพี

นอกจากนี้ มันก็ยังมีความสามารถที่แปลกประหลาดและชั่วร้าย!

ตราบใดที่คนๆ หนึ่งยังไม่กลายเป็นเซียนสวรรค์ เมื่อพวกเขาสัมผัสเข้ากับแมลงปีศาจมลายนภาเหล่านี้ มันก็มีโอกาสสูงที่วิญญาณของพวกเขาจะถูกปนเปื้อน และพวกเขาก็จะสูญเสียความมีเหตุมีผลและเริ่มเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันก็ยังชอบที่จะกลืนกินวิญญาณที่มีชีวิต

ย้อนกลับไปในตอนนั้น เทวาและเทพปฐพีจำนวนมากในตำหนักเต๋าอี้ก็ได้รับการปนเปื้อนจากแมลงปีศาจมลายนภา แม้แต่เซียนสวรรค์และราชาสวรรค์ก็ยังทำอะไรไม่ถูกและทำได้เพียงประนีประนอมเท่านั้น

“ ดังนั้นแล้วมันคือพิษจากโลกสูญสวรรค์นี่เอง”

ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อย แต่เขาก็งงงวยเล็กน้อยเช่นกัน “ แต่ทำไมมันถึงมีแมลงปีศาจมลายนภาในอวกาศ? เป็นไปได้ไหมว่าแมลงปีศาจมลายนภานั้นจะได้รับมาจากอวกาศนอกโลก?”

“” นั่นเป็นไปไม่ได้” จางซูหมิงพยักหน้าและพูดว่า “ มันมีข่าวลือว่าอวกาศภายนอกนั้นอันตรายมาก มันมีเพียงร่างที่ทรงอำนาจระดับราชาสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถออกไปสำรวจได้ และบางทีนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลนั้นด้วย”

เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูดว่า “ น่าเสียดายที่หนังสือในตำหนักเต๋าอี้ของข้าได้รับความเสียหายอย่างหนัก ไม่งั้นมันก็คงจะไม่เป็นเช่นนี้แน่ ข้าเข้าใจสถานการณ์บางอย่างได้แค่อย่างคลุมเครือเท่านั้น”

“ แค่นี้ก็พอแล้ว” ซุยเฮ็งยิ้มและพูดว่า “ หลังจากที่เหล่าเซียนและพระอรหันต์ลงมาแล้ว ข้าก็ยังสามารถถามพวกเขาเป็นการส่วนตัวได้”

แม้ว่าจางซูหมิงจะไม่ได้ให้เบาะแสมากมาย แต่มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะเข้าใจระดับความอันตรายของแมลงปีศาจมลายนภา

นอกจากนี้ มันก็ยังมีเซอร์ไพรส์ที่น่ายินดีอีกอย่าง นั่นคือระดับความอันตรายในอวกาศนั้นดูเหมือนจะไม่สูงนัก

แม้แต่ราชาสวรรค์ก็ยังสามารถออกไปสำรวจได้

สิ่งนี้เทียบเท่ากับขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นปลายหรือขั้นสูงสุด

แน่นอนว่ามันเป็นไปได้เช่นกันที่พวกเขาเหล่านั้นจะยังไม่ได้ค้นพบอันตรายที่แท้จริง

ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงเป็นการดีกว่าที่เขาจะรอจนกว่าเขาจะไปถึงขอบเขตรวมวิญญาณก่อนที่จะพยายามออกไปสำรวจจักรวาล

“ แล้วเจ้ารู้ไหมว่าพระพุทธเจ้าที่พระมหาโพธิสัตว์อำไพกล่าวถึงนั้นคือขอบเขตใด?” ซุยเฮ็งถามจางซูหมิง

“ พระพุทธเจ้าเป็นขอบเขตที่แปลกมาก” จางซูหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ เมื่อร้อยปีก่อน ข้าได้ยินมาจากผู้อาวุโสของข้าว่าแม้ว่าพระพุทธเจ้าที่กล่าวถึงโดยสำนักพุทธจะอยู่เหนือขอบเขตราชาสวรรค์ แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ในขอบเขตขั้นสามของโลกเซียน”

“ ตอนนั้นข้าก็รู้สึกงงมาก เนื่องจากราชาสวรรค์นั้นอยู่ที่จุดสูงสุดของขั้นสามแล้ว งั้นเหตุใดพระพุทธเจ้าที่อยู่เหนือกว่าจึงยังถูกพิจารณาว่าอยู่ในขอบเขตขั้นสามอีก? แต่ผู้อาวุโสก็ตอบข้าว่าวิถีแห่งพุทธและเต๋านั้นแตกต่างกันและไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง”

“ แม้ว่าทั้งคู่จะอยู่ในขั้นที่สามของโลกเซียนเหมือนกัน แต่มันก็จะมีความแตกต่างกันทุกประเภทอันเนื่องจากวิธีการฝึกตนและแนวคิดที่แตกต่างกัน”

“ ข้าเข้าใจแล้ว” ซุยเฮ็งตระหนักได้ทันทีเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เขาพูดอย่างครุ่นคิด “ การทะลวงไปสู่ขอบเขตพระพุทธเจ้าโดยตรงต่อจากพระมหาโพธิสัตว์นั้นคือการก้าวกระโดดที่ค่อนข้างใหญ่สินะ”

เขารู้อยู่แล้วว่าพระพุทธเจ้าองค์นี้เทียบเท่ากับขอบเขตใด

ราชาสวรรค์นั้นน่าจะเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นปลาย

และถ้าพระพุทธเจ้าอยู่เหนือขอบเขตราชาสวรรค์ งั้นมันก็ควรจะอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตก่อเกิดรากฐานเท่านั้น

แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น วิธีการฝึกตนของพุทธในสามขอบเขตนั้นก็จะไร้สาระมาก

พระมหาโพธิสัตว์นั้นเทียบได้กับขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นต้นเท่านั้น ในขณะที่พระพุทธเจ้านั้นเทียบเท่ากับจุดสูงสุดของขอบเขตก่อเกิดรากฐาน

คามแตกต่างนั้นเหมือนกับความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับปฐพี

มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำเช่นนั้น

ระยะห่างนั้นไกลกันเกินไป

“ ใช่แล้ว ความแตกต่างนั้นยิ่งใหญ่มากจริงๆ”

จางซูหมิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ ดังนั้นมันจึงมีข่าวลือว่าหากพระมหาโพธิสัตว์ต้องการที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เขาก็จะต้องตั้งความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ และเมื่อสำเร็จความปรารถนาได้แล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะได้กลายเป็นพระพุทธเจ้า”

“ มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ” ซุยเฮ็งขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่ามันจะไม่ง่ายเลยที่ผู้ฝึกตนชาวพุทธจะฝึกตน

“ ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ตอนที่ผู้อาวุโสบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็พูดถึงแค่ข่าวลือเท่านั้น” จางซูหมิงส่ายหัว สีหน้าของเขาดูละอายใจเล็กน้อย มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะยืนยันแหล่งข้อมูล

“ สำนักพุทธนั้นแปลกจริงๆ” ซุยเฮ็งนั่งลงอีกครั้ง ในเวลาเดียวกัน เขาก็ส่งสัญญาณให้จางชูหมิงนั่งลงและยิ้ม “ หลังจากที่เซียนและพระอรหันต์แห่งโลกสูญสวรรค์ลงมา ข้าก็ควรจะสื่อสารกับพวกเขาสักหน่อยจริงๆ”

….

ในเวลาเดียวกันกับที่ซุยเฮ็งกลับไปที่เขตฉางเฟิงและถามจางซูหมิง ข่าวที่ว่ากองทัพอนารยชนกำลังจะโจมตีเฟิงโจวก็ได้มาถึงนครหลวงแล้ว

สิ่งนี้ทำให้เกิดความโกลาหลในหมู่ข้าราชบริพารในทันที

เว่ยอี้ซึ่งแสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการจะเป็นราชาแห่งประเทศที่ล่มสลายหลังจากดุด่าเจ้าหน้าที่เสร็จก็ได้มายังราชสำนักอีกครั้ง

โดยไม่มีทางเลือก ชูหยวนเหลียงเองก็ได้กลับมาถึงที่ราชสำนัก

“ ราชาแห่งประเทศที่ล่มสลาย” พระองค์นี้ไม่สามารถต้านทานการเกลี้ยกล่อมของรัฐมนตรีได้และทำได้เพียงลุกขึ้นมาใหม่

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเว่ยอี้จะออกมา แต่เขาก็ได้วางแผนที่จะปัดเรื่องนี้ออกไปเท่านั้น

เขายังคงนอนคดเคี้ยวอยู่บนบัลลังก์มังกร ดวงตาของเขาปิดลงครึ่งหนึ่งและดูเหมือนเขาจะยังไม่ตื่น เขาพูดด้วยเสียงอู้อี้ว่า “ ทุกคน นั่นก็แค่พวกคนเถื่อนเอง? มันจะไปมีปัญหาอะไร”

“ พวกเจ้าไม่รู้หรอว่าข้าได้มอบเฟิงโจวให้กับฮูหยานชานหยูไปแล้ว? ดังนั้นแล้วมันก็ไม่ผิดที่เขาจะต้องการยึดดินแดนคืน”

นี่เป็นความยุ่งเหยิงอันสมบูรณ์แบบ

“ ฝ่าบาท! มันเป็นความประสงค์ของสวรรค์ที่จะให้บุตรแห่งสวรรค์ปกป้องแผ่นดินเพื่อบรรพชน!” ชูหยวนเหลียงก้าวออกไปข้างหน้าและพูดเสียงดังว่า “ คำสั่งของฝ่าบาทที่ให้เฟิงโจวแก่คนเถื่อนนั้นขัดต่อกฎของบรรพบุรุษ มันไม่ถูกต้อง”

“ ตอนนี้พวกอนารยชนได้ส่งกองกำลังไปยังหยุนชูแล้ว ผู้ว่าการเหมิงจางเองก็มีทหารอยู่เพียงหยิบมือ เขาไม่สามารถต่อสู้กับอีกฝ่ายได้แน่ นอกจากนี้ มันก็ยังสายเกินไปแล้วที่จะส่งกำลังเสริม มันมีเพียงการส่งกองทัพออกไปปะทะกับเหล่าคนเถื่อนและยึดหยุนซูเอาไว้เท่านั้น เฟิงโจวจึงจะไม่ตกไปอยู่ในมือของพวกคนเถื่อน”

“ ข้าขอให้ฝ่าบาททรงพระราชทานตำแหน่งแม่ทัพกองรักษาการณ์ฝ่ายเหนือแก่ซุยเฮ็ง ผู้ว่าการรัฐของเฟิงโจวเพื่อให้เขาได้รับอนุญาตให้เกณฑ์ทหารจากทั่วเฟิงโจวเพื่อนำทัพไปต่อต้านเหล่าคนเถื่อน จากนั้นเราจึงจะสามารถปกป้องเฟิงโจวทั้งหมดได้”

“ ห้ะ?” เว่ยอี้ยังคงงีบหลับ แต่เมื่อเขาได้ยินชื่อซุยเฮ็ง เขาก็ตกตะลึง

เขาจำได้ว่านี่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าเมืองที่เอาชนะกองทัพโจรของราชาหยานได้ก่อนหน้านี้ และตอนนี้ เขาก็ได้กลายเป็นผู้ว่าการรัฐของเฟิงโจวแล้วหรอ?

นี่มันเพิ่งจะผ่านไปเพียงกี่เดือนเอง?

“ ฝ่าบาท ท่านทำแบบนั้นไม่ได้นะ!” ในขณะนี้ เจียงว่านซาน เลขานุการกลางก็กระโดดออกมาและโค้งคำนับ “ ข้าเป็นจอมพลและรู้เรื่องการทหารดี”

“ ผู้ว่าการรัฐเป็นขุนนางที่มีที่ดินอยู่แล้ว หากเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ เขาก็จะสามารถชูธงและก่อการกบฏได้ในอนาคต และไม่ช้า บ้านเมืองก็จะล่มสลายในพริบตา!”

“ โอ้?” ดวงตาของเว่ยอี้เบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทันใดนั้นเขาก็ดูมีพลังขึ้นและปรบมือในขณะที่เขาหัวเราะ “ ของดีอย่างนี้มีจริงหรอ?”

จากนั้นเขาก็มองไปที่ชูหยวนเหลียงและพยักหน้า “ ท่านรัฐมนตรีชู ข้าอนุญาตเรื่องนี้!”

ทั้งราชสำนักเงียบลง

เจียงว่านซานตกตะลึงมากยิ่งขึ้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

ในตอนนี้ ทุกคนก็เข้าใจแล้วว่าจักรพรรดิองค์นี้ไม่ได้พูดเล่นในตอนที่เขาบอกว่าเขาต้องการจะเป็นราชาแห่งประเทศที่ล่มสลาย

เขาต้องการที่จะเป็นราชาแห่งประเทศที่ล่มสลายจริงๆ!

อันที่จริง คำสั่งที่เรียกว่ายกเฟิงโจวให้กับฮู๋หยานชานหยูนั้นก็เป็นเพียงการให้เหตุผลแก่อีกฝ่ายในการเคลื่อนทัพลงใต้

แต่ตอนนี้ เขาก็ได้พระราชทานยศแม่ทัพกองรักษาการณ์ฝ่ายเหนือให้กับตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ เห็นได้ชัดว่านี่คือการขุดหลุมฝังศพของตัวเขาเอง

หากราชวงศ์เปลี่ยนไปจริงๆ พวกเขาในฐานะขุนนางในราชสำนักก็จะจบลงเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้เอง เหล่ารัฐมนตรีจึงก้าวออกไปทีละคนและคุกเข่าลงใต้บันไดหยก พวกเขาโค้งคำนับและคุกเข่าอ้อนวอนจักรพรรดิเว่ยอี้ให้ถอนคำสั่งของเขา

เจียงว่านซานเองก็ตอบสนองเช่นกันและรีบพารัฐมนตรีที่อยู่ข้างๆ เขาไปดุชูหยวนเหลียง

ในความเห็นของชูหยวนเหลียง หากเขาต้องการจะปกป้องเฟิงโจวและป้องกันไม่ให้ผู้คนในเฟิงโจวถูกทำลายล้างลงโดยพวกคนเถื่อน เขาก็มีแต่จะต้องทำเช่นนี้เท่านั้น

ไม่ว่าจะในกรณีใด ราชสำนักก็ได้สูญเสียการควบคุมเฟิงโจวไปนานแล้ว ดังนั้นมันจึงคงจะไม่ต่างอะไรไปมากจากตอนนี้มากนักหากซุยเฮ็.จะก่อกบฎจริงๆ ขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีประจำราชสำนักก็ไม่ได้คิดเช่นนั้น ภายใต้การนำของเจียงว่านซาน พวกเขาก็ยังคงโต้เถียงกับชูหยวนเหลียง

จักรพรรดิเว่ยอี้ยืนอยู่บนขั้นบันไดหยกและเฝ้าดูข้าราชบริพารโต้แย้งกันด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

เขาไม่ได้พูดอะไรเลย

สถานการณ์นี้ดำเนินต่อไปเป็นเวลาสามวัน

ในวันนี้เองที่ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับมณฑลหยุนชูได้ไปถึงราชสำนักในที่สุด

ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจของการต่อสู้กับกองทัพอนารยชนที่แข็งแกร่งกว่า 300,000 นายได้ถูกนำเสนอต่อหน้ารัฐมนตรีทุกคน

ช็อกทั้งราชสำนัก!

เจียงว่านซานและคนอื่นๆ พูดไม่ออก แม้แต่ชูหยวนเหลียงเองก็ยังตกใจมากเช่นกัน

ไม่มีใครกล้าคาดคิดผลลัพธ์นี้

ด้วยสถานการณ์ในเมืองหยุนชู พวกเขาจะสามารถเอาชนะได้จริงหรอ?

พวกเขาไม่เพียงแต่จะชนะเท่านั้น แต่พวกเขายังได้รับชัยชนะครั้งใหญ่และกวาดล้างกองทัพอนารยชนทั้งหมดลงได้อีกด้วย!

ในขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกงุนงง จักรพรรดิเว่ยอี้ก็พูดขึ้น

เขาออกคำสั่งที่ทำให้หนังศีรษะของทุกคนรู้สึกซ่า

“ ผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวไม่สนใจมิตรภาพของเพื่อนบ้านและโจมตีโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาสังหารผู้คน 300,000 คนในทุ่งหญ้าลงอย่างโหดร้ายและฝ่าฝืนคุณธรรมแห่งสวรรค์ อาชญากรรมของเขาจะยกโทษให้ไม่ได้ ข้าขอสั่งให้ผู้ว่าการรัฐทั้งหมดลงดาบกันประหารชีวิตเขา!”

ชูหยวนเหลียงอาเจียนออกมาเป็นเลือดอีกครั้งและเป็นลมไปในทันที

ข้าราชบริพารคนอื่นๆ เองก็ตกตะลึงเช่นกัน

เขาบ้าไปแล้ว! องค์จักรพรรดิบ้าไปแล้วจริงๆ!!

….

ซุยเฮ็งไม่รู้เกี่ยวกับข้อพิพาทในราชสำนัก เขาไม่รู้เลยว่าเว่ยอี้นั้นบ้าเพียงใด

และแม้ว่าเขาจะรู้ แต่เขาก็ยังจะไม่สนใจ

ท้ายที่สุดแล้ว การให้ผู้ว่าการรัฐทั้งหมดร่วมกันไล่ล่าเขา มันก็ยังเป็นประโยชน์มากกว่าโทษสำหรับเขา

เขาสามารถใช้โอกาสนี้เก็บเกี่ยวแสงแห่งอารมณ์ระลอกใหญ่ได้

เขาอาจจะสามารถผลักแสงสีเทาและสีเขียวออกไปถึงเจ็ดฟุตได้

ในวันนี้ ซุยเฮ็งก็กำลังดูแลหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณที่ขึ้นมาเกิดในกระบี่เทวะหงหวู่

ในขณะเดียวกัน เขาก็ทำความเข้าใจความลึกซึ้งภายใน

ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็เต้นรัวในขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมอง

แสงสีแดงและสีขาวสามารถมองเห็นได้จางๆ บนท้องฟ้า

นี่คือแสงแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดที่มีเพียงซุยเฮ็งเท่านั้นที่มองเห็นได้ มันเป็นสัญลักษณ์ของความสุขและความรัก และทั้งหมดก็มุ่งตรงไปที่เขา

หลังจากนั้นไม่นาน หลิวหลี่เต๋าก็เข้ามารายงาน

“ เรียนท่านผู้ว่าการ เจ้าสำนักแห่งสำนักเซียนอรุณ จูฉิงผู้สมบูรณ์แบบได้มาที่นี่แล้ว…”