ตอนที่ 86

บทที่ 86 ความสุขของการเก็บเกี่ยว เจ้ากลัวข้าหรอ?

ในขณะนี้ ซุยเฮ็งก็กำลังประสบกับความสุขอันเหลือจะพรรณา

ตระกูลหวังแห่งหลางหยามีตระกูลหลักและตระกูลสาขาอีก 13 สาย ในขณะนี้ เก้าคนที่พูดคุยกันอยู่ในห้องประชุมนั้นล้วนเป็นหัวหน้าตระกูลสาขาทั้งหมด

พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือขอบเขตสัมผัสโลกา!

ในตอนนี้ คนเหล่านี้ก็กำลังสาปแช่งเขาอยู่ในใจ ซึ่งขณะเดียวกัน เขาก็กำลังนั่งดูการแสดงละครลิงที่อยู่ตรงหน้าอย่างมีความสุขมาก

คนที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็นเหมือนกับต้นกุ้ยช่ายต้นสูงและหนาที่แกว่งไกวไปตามสายลม มันบ่งบอกว่าพวกเขาโตเต็มที่แล้ว

และฤดูเก็บก็เกี่ยวมาถึงแล้ว!

ซุยเฮ็งไม่ได้ยืนรออยู่เฉยๆ เขาใช้ประโยชน์จากอารมณ์อันรุนแรงของคนเหล่านี้ในการเริ่มเก็บเกี่ยว

แสงสีดำซึ่งแต่เดิมมีความสว่างสามดวงก็ได้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในไม่ช้า แสงสีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของความเกลียดชังก็เพิ่มขึ้นมาจนถึงหกนิ้วครึ่ง

มันเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วราวกับจรวด!

ซุยเฮ็งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

เขาต้องขอบคุณคนเหล่านี้จริงๆ

โชคไม่ดีที่เขายังทำให้พวกเขารู้สึกเกลียดชังได้ไม่มากพอเท่ากับความต้องการของเขา

เขาจำเป็นต้องกระตุ้นพวกเขาให้มากขึ้นเพื่อจะได้เก็บสะสมแสงแห่งอารมณ์จากพวกเขาต่อไป

แน่นอนว่านั่นไม่ได้หมายความว่าแค่นั้นแล้วมันจะจบลง

หลังจากนั้น ซุยเฮ็งก็เดินออกจากห้องประชุมของตระกูลหวังและเดินเล่นไปมาทั่วคฤหาสน์อีกหนึ่งวัน

ในเวลาพลบค่ำ เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า

แสงสีดำรอบแก่นแท้ทองคำของเขาก็เพิ่มขึ้นจนมาถึงเจ็ดดวงครึ่ง!

“ นี่คือคลังสมบัติ!”

ซุยเฮ็งเลียริมฝีปากของเขา

คลื่นแสงสีดำนี้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วและในที่สุดมันก็แซงหน้าแสงสีเหลืองที่เป็นสัญลักษณ์ของความปรารถนา

“ เมื่อพูดถึงจุดนี้ แสงสีเหลืองก็เลยห้าดวงมาหน่อยแล้ว” ซุยเฮ็งมองไปที่แก่นแท้ทองคำของเขา เขามีความสุขมาก แต่ก็ยังกังวลเล็กน้อยเช่นกัน “ ฉันยังต้องคิดหาวิธีที่จะได้รับแสงสีเหลืองให้มากกว่านี้”

น่าเสียดายที่แสงสีเหลืองนี้เป็นสัญลักษณ์ของความปรารถนาที่มีต่อเขา

สิ่งนี้ไม่ได้ง่ายไปกว่าการรวบรวมอารมณ์แห่งความเกลียดชัง และบางที มันก็อาจจะยากกว่าด้วยซ้ำ

“ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการตามหาคนมาซักข้อมูล” ซุยเฮ็งมองไปที่ลานบ้านทางทิศใต้

มันคือที่พักของหวังฉิงเหอ พ่อของหวังจินเซิง!

….

ตกค่ำมืด ดวงดาวกระจายเต็มทั่วท้องฟ้า

มณฑลหลางหยายังคงสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ มีคนเดินอยู่บนถนนมากมายและมีชีวิตชีวามาก

หวังฉิงเหอเดินผ่านถนนที่พลุกพล่านและกวาดสายตาเย็นชาไปที่เหล่าผู้คนธรรมดาๆ เหล่านี้ และในที่สุด เขาก็กลับมายังที่พักด้วยความเหนื่อยล้า

“ ท่านกลับมาแล้ว”

หญิงวัยกลางคนที่สง่างามออกมาต้อนรับเขาในทันที

เธอดูมีอายุประมาณ 40 ปี แต่รูปร่างของเธอก็ยังดูสง่างามอยู่ ใบหน้าของเธอไม่ได้มีรอยย่นและผิวของเธอก็ยังเรียบเนียนเหมือนเด็ก

นี่คือภรรยาของหวังฉิงเหอ คุณหญิงเซี่ย และเธอก็คือมารดาผู้ให้กำเนิดหวังจินเซิง

“ ใช่” หวังฉิงเหอพยักหน้าและนั่งลงในห้อง เขาหายใจออกมาและหลับตาลงเพื่อพักผ่อน เขาไม่ได้พูดสิ่งใดกับภรรยาของเขา

คุณหญิงเซี่ยยืนอยู่ด้านข้างและไม่ได้รบกวนเขา เธอรู้ว่าเขาคงจะกระวนกระวายใจอยู่ในขณะนี้และต้องการการพักผ่อน เธอเรียกสาวใช้ให้ยกอาหารมาวางอย่างเงียบๆ

นอกจากนี้ มันก็ยังมีเตาขนาดเล็กใต้อาหารแต่ละจานเพื่อให้อาหารอุ่น

จากนั้นเธอก็ยืนอยู่ข้างหวังฉิงเหอและรออย่างเงียบๆ แม้แต่ลมหายใจของเธอก็ยังแผ่วเบาราวกับเธอกลัวว่ามันจะไปรบกวนเขา

หลังจากนั้นไม่นาน คุณหญิงเซี่ยก็เห็นหวังฉิงเหอลืมตาขึ้นและเธอก็พูดเบาๆ ว่า “ อาหารพร้อมแล้ว กินกันเถอะ”

“ อืม” หวังฉิงเหอพยักหน้าและดูโล่งใจมากขึ้น

วันนี้เขาโกรธพวกโง่งี่เง่าในห้องประชุมทั้งหมด โชคดีที่เมื่อเร็วๆ นี้จู่ๆ ภรรยาของเขาก็มีใจดีขึ้นมาเป็นพิเศษ ราวกับว่าเธอได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เธอสามารถช่วยเขาบรรเทาความเครียดจากปัญหาได้อย่างมาก

“ วันนี้ข้าทำอาหารที่ท่านชอบด้วยนะ ท่านลองดูสิ” คุณหญิงเซี่ยชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะและคีบปลาชิ้นหนึ่งมาวางลงในชามของหวังฉิงเหอ

“ กลิ่นหอมจริงๆ…” หวังฉิงเหอพยักหน้าและยิ้ม แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าภรรยาของเขามีเรื่องจะพูด แต่เขาก็ยังคงมีความสุขกับการปฏิบัติเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะลิ้มรสมัน เขาก็เห็นปลาชิ้นนี้กระโดดออกมาจากชามในทันที มันกลายเป็นปลาคาร์ฟที่มีชีวิตและกระโดดไปมาบนโต๊ะอาหาร!

ปัง!

หวังฉิงเหอยกมือขึ้นแล้วพลิกโต๊ะอาหารคว่ำ ความโกรธในใจของเขาปะทุขึ้นในทันที เขามองไปรอบๆ และตะโกนอย่างเคร่งขรึม “ ฝีมือใครกัน!”

“ หวังฉิงเหอ! ท่านกำลังทำอะไรของท่านน่ะ!” คุณหญิงเซี่ยยืนขึ้น ความโกรธพุ่งวาบไปทั่วใบหน้าของเธอ แต่เธอก็ยับยั้งมันอย่างรวดเร็วและมองไปที่หวังฉิงเหอด้วยความประหลาดใจ

หวังฉิงเหอไม่ได้สนใจเธอ

เขาเดินก้าวยาวและดึงโต๊ะออก แต่กระนั้น เขาก็ไม่เห็นปลาคาร์ฟราวกับว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตา

สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเขามืดมนลงอย่างมาก เขาหันไปมองคุณหญิงเซี่ยที่อยู่ข้างๆ และถามว่า “ เจ้าเห็นปลาตัวนั้นกลายเป็นปลาคาร์ฟไหม?”

“ อะไรนะ?” นายหญิงเซี่ยดูสับสนเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นความโกรธก็เพิ่มขึ้นในใจของเธอ “ ท่านกำลังพูดถึงอะไรกัน เนื้อปลามันจะกลายไปเป็นปลาคาร์ฟที่มีชีวิตได้อย่างไร!”

“…” หวังฉิงเหอพูดด้วยสีหน้ามืดมน “ แล้วเมื่อกี้เจ้าเห็นอะไร?”

“ ข้าเห็นแค่ท่านที่จู่ๆ ก็คว่ำโต๊ะโดยไม่มีเหตุผล!” ในที่สุดนายหญิงเซี่ยก็กดอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ “ ท่านรังเกียจข้าหรอ?”

“ ฮึ่ม! ไร้สาระ!” หวังฉิงเหอกำลังจะหันหลังกลับและเดินจากไป

“ หวังฉิงเหอ ท่านลืมไปแล้วหรอว่าท่านเคยขอร้องพ่อข้าให้ช่วยท่าน เพื่อที่ท่านจะได้นั่งอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรี?” นายหญิงเซี่ยตะโกนว่า “ อย่าบอกนะว่าท่านลืมเรื่องนี้ไปแล้ว!”

“ หุบปาก!” หวังฉิงเหอดูราวกับถูกกระตุ้น เขาหันกลับมาและจ้องมองนายหญิงเซี่ยก่อนที่จะพูดว่า “ ข้าแค่ร่วมมือกับพ่อตา เจ้าหมายความว่ายังไงที่บอกว่าข้าไปขอให้เขาช่วย!”

“ ท่านก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบนั้น” นายหญิงเซี่ยหยุดเสแสร้งและชี้ไปที่จมูกของหวังฉิงเหอขณะที่เธอตะโกนว่า “ ข้าขอถามท่านหน่อยเถอะว่าท่านต้องการจะช่วยเซิงเอ๋อหรือไม่? ท่านต้องการจะปล่อยให้เขาตายในคุกอย่างงั้นหรอ?!”

“ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมช่วงนี้เจ้าถึงทำตัวดี มันเป็นเพราะเรื่องนี้เองสินะ!” หวังฉิงเหอระเบิดอารมณ์ในทันที เขาโกรธมากจนหนวดสะบัด “ ข้าบอกไปกี่ครั้งแล้วว่าตระกูลหวังไม่สามารถทำอะไรวู่วามได้ในตอนนี้? เรายังไปช่วยเขาไม่ได้!”

“ ดี ดี ดี!” นายหญิงเซี่ยโกรธมากจนร่างกายของเธอสั่นสะท้าน เธอทนไม่ได้อีกต่อไปและหันหลังกลับเพื่อรีบออกไป “ ถ้าท่านไม่ต้องการจะช่วยลูกชายของท่าน งั้นข้าก็จะไปหาพี่สามของข้า ในฐานะลุงของเขา เขาก็จะต้องไปช่วยชีวิตหลานชายของเขาแน่!”

เมื่อเธอพูดจบ เธอก็หายตัวไป เธอวิ่งไปที่สำนักงานเทศมณฑล

ตระกูลใหญ่มักจะไม่ได้รับบทบาทหรือตำแหน่งในท้องถิ่น

อย่างไรก็ตาม คนที่ดำรงตำแหน่งท้องถิ่นที่นี่ก็จะต้องมาจากตระกูลที่มีความสัมพันธ์อันดีอย่างมากกับกลุ่มใหญ่ในท้องถิ่น

และผู้ว่าการมณฑลหลางหยานั้นก็เป็นลูกชายคนที่สามของตระกูลเซี่ยแห่งปิงซาน

หวังฉิงเหอมองไปที่ห้องที่วุ่นวายและประตูที่เปิดอยู่ เขาถอนหายใจยาวและนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นเขาก็ส่ายหัวและพึมพำกับตัวเองว่า “ พวกโง่! พวกโง่!!”

หลังจากที่ตระกูลหวังแห่งหลางหยาก่อตั้งต้าจินขึ้นมา พวกเขาก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว พวกเขาลืมความเจ็บปวดจากการเกือบถูกกำจัดไปนานแล้ว และหลายคนก็ไม่เห็นคุณค่าของผลประโยชน์อีกต่อไป

สิ่งที่พวกเขากังวลนั้นมีแต่เรื่องชื่อเสียงซะมากกว่า

ในตอนนี้ หวังจินเซิงก็ถูกคุมขังอยู่ในมณฑลลู่ มันมีข่าวลือแพร่สะพัดว่าเขาไปค้างคืนที่ซ่องนางโลมและถูกจับเพราะหนี้สิน ในสายตาของคนส่วนใหญ่ในตระกูลหวัง มันก็เป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับความอัปยศอดสู

พวกเขาต้องการจะช่วยหวังจินเซิงออกมา มิฉะนั้นตระกูลหวังก็จะเสียหน้า

หวังจินเซิงเป็นผู้สนับสนุนผลประโยชน์

ในความคิดของเขา การกระทำของมณฑลลู่นั้นก็ชัดเจนเกินไป เห็นได้ชัดว่ามันเป็นกับดักที่รอให้ตระกูลหวังเข้าไปหา

บางทีกลุ่มใหญ่บางกลุ่มอาจจะแอบวางแผนที่จะทำให้ตระกูลหวังอ่อนแอลงก็เป็นได้

ในตอนนี้ เซียนก็กำลังจะลงมายังโลกของพวกเขาและโอกาสเซียนก็กำลังจะมาถึง มันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างมาก

นอกจากนี้ ตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวก็ยังไม่ได้รับการสรุป

หากความแข็งแกร่งของตระกูลหวังได้รับความเสียหายในเวลานี้ พวกเขาก็จะต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เหมือนเมื่อร้อยปีที่ผ่านมาแน่นอน

พวกเขาไม่สามารถทำอะไรผลีผลามได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ในตระกูลหวังรวมถึงภรรยาของเขาก็ไม่คิดเช่นนั้น

มีหลายคนที่รู้สึกว่าตระกูลหวังแห่งหลางหยานั้นเป็นตระกูลใหญ่ชั้นแนวหน้าอยู่แล้ว มันไม่สำคัญว่าพวกเขาจะได้รับโอกาสเซียนในครั้งนี้หรือไม่ และชื่อเสียงของพวกเขาก็มีความสำคัญมากกว่า

หากไม่ใช่เพราะลูกชายคนโตของสาขาหลักได้มอบเรื่องของตระกูลให้กับหวังฉิงเหอเป็นคนจัดการก่อนที่เขาจะจากไป ตอนนี้เขาก็คงจะไม่มาเถียงกับพวกเขาแน่

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งในใจ

ซุยเฮ็งซึ่งยืนอยู่ตรงมุมห้องรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขารวบรวมแสงสีเทาจากอีกฝ่ายเข้ามาในทันที

หลังจากนั้นไม่นาน หวังฉิงเหอก็สงบลงเล็กน้อยและวางแผนที่จะไปอาบน้ำก่อนเข้านอน

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาลุกขึ้นยืน เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก

“ นายท่าน นายท่าน!” สาวใช้ที่มีอายุเพียง 15 ถึง 16 ปี วิ่งเข้ามาพร้อมกับจดหมายในมือของเธอ “ นายท่าน ท่านหญิงใหญ่มีจดหมายถึงท่าน”

“ จดหมายจากท่านแม่?” หัวใจของหวังฉิงเหอเต้นไม่เป็นจังหวะ มือของเขาสั่นเล็กน้อยแต่เขาก็ยังพยักหน้าแล้วพูดว่า “ เจ้าไปได้แล้ว”

หลังจากที่สาวใช้ออกไป

เขาก็เปิดจดหมายอ่านอย่างช้าๆ หลังจากอ่านเนื้อหาแล้ว เขาก็ดูเหมือนกับคนอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง

“ เฮ้อ…” หวังฉิงเหอถอนหายใจยาว

เนื้อหาของจดหมายที่แม่เขาส่งมานั้นเรียบง่ายมาก

หากเขาไม่สามารถช่วยหวังจินเซิงได้ภายในสิบวัน เธอก็จะไม่ยอมรับว่าหวังฉิงเหอเป็นลูกชายของเธอ!

หวังฉิงเหอเป็นหลานชายคนโปรดของเธอ

ดังนั้นในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา หวังฉิงเหอจึงซ่อนมันจากเธอและสั่งคนอื่นอย่างเคร่งครัดไม่ให้ใครบอกเรื่องนี้กับเธอ

แต่ตอนนี้ ด้วยการแพร่กระจายของข่าวคราวและเรื่องเล่า มันก็ไม่มีอะไรสามารถปิดบังได้อีกต่อไป

“ ช่วย! ช่วย! ช่วย! ถ้าข้าต้องช่วยพวกเขาทั้งหมด! แล้วใครกันจะช่วยตระกูลหวังได้!”

หวังฉิงเหอกุมศีรษะด้วยมือทั้งสองข้าง

เขารู้สึกว่าแม้แต่ตอนเป็นรัฐมนตรี ในตอนนั้นมันก็ยังไม่ใช่เรื่องยากที่จะจัดการปัญหาต่างๆ เท่ากับในตอนนี้

จากนั้นเขาก็นั่งพักสักครู่ก่อนที่อารมณ์ของเขาจะสงบลงเล็กน้อย เขาเพียงแค่ลุกขึ้นและไปที่อ่างน้ำเพื่อที่จะอาบน้ำและเข้านอน

ขณะที่เขาก้มหัวลง หวังฉิงเหอก็เหลือไปเห็นเงาสะท้อนของเขาในอ่าง

ใบหน้าของเขาซีดเซียวและดูเหนื่อยล้า

เขาดูไม่แข็งแกร่งเหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไป

“ มันคุ้มไหมนะที่ข้าจะทำเช่นนี้” หวังฉิงเหอจ้องมองไปที่แอ่งน้ำและมองดูเงาสะท้อนของตัวเอง เขาถามตัวเองราวกับว่าเขากำลังถามหัวใจของเขาเอง

“ แล้วเจ้าคิดว่าไงล่ะ?”

อย่างไรก็ดี ในขณะนี้ เงาสะท้อนของหวังฉิงเหอในอ่างจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม “ อันที่จริง เจ้าก็มีคำตอบในใจอยู่แล้ว!”

“…” หวังฉิงเหอตกตะลึง

เคล้ง!

เขาโยนกะละมังออกไปใส่บ่อน้ำในทันที

ถึงกระนั้น ตราบใดที่ยังมีน้ำ มันก็ย่อมมีเงาสะท้อน

หวังฉิงเหอมองลงไปที่แอ่งน้ำบนพื้นที่ยังคงมีเงาสะท้อนของตัวเขาเอง

ในขณะนี้ เงาสะท้อนของหวังฉิงเหอก็กำลังจ้องตรงมาที่เขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ เจ้ากลัวข้าหรอ?”