ตอนที่ 93

บทที่ 93 : เรียนรู้เต๋าในตอนเช้า ตายในตอนเย็น

มันมีพิธีกรรมโบราณมากมายในหมู่ศิษย์ของตำหนักเต๋าอี้ ถ้าเขาเผลอไปพบกับผู้อาวุโสที่เขาไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ด้วยมาก่อน มันก็คงจะเป็นการกระทำที่หยาบคายเป็นอย่างยิ่ง

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไปพบกับลู่เจิงหมิงก่อนและจึงค่อยส่งจดหมายไปหาซุยเฮ็ง

“นั่นคือเหตุผลสินะ” ลุงเฉินยิ้มทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ ไม่ต้องกังวล ผู้ว่าการซุยจะยอมพบเจ้าแน่นอน เขาเป็นเซียนผู้ประเสริฐและเป็นคนดีที่สุดในโลก”

“ โจวน้อย เจ้าคงจะไม่รู้สิท่า เฒ่าเฉินนั้นมาจากมณฑลต้าชางทางทิศตะวันออก เขาอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้ก็เพราะท่านผู้ว่าการ” ชายชราข้างๆ เขากล่าว “ นอกจากนี้ เฒ่าเฉินก็ยังเคยเห็นผู้ว่าการซุยมาก่อน”

“ จริงหรอ?” ดวงตาของโจวหงอี้เป็นประกายในขณะที่เขาถามว่า “ ลุงเฉิน ข้าได้ยินมาว่าผู้ว่าการซุยนั้นมีความสามารถในการเรียกลมและฝน นั่นเป็นเรื่องจริงหรอ?”

“ แน่นอน มันเป็นเรื่องจริง วันนั้นข้าเห็นเองกับตาในตอนที่อยู่บนกำแพงเมือง” ผู้เฒ่าเฉินรู้สึกตื่นเต้นมากในขณะที่เขาพูดถึงสิ่งนี้ “ กองโจรกบฎนับแสนแห่ล้อมเข้ามาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดยั้ง และผู้ว่าการซุยก็ยืนอยู่เพียงลำพังบนกำแพงเมือง… และเมื่อเขาโบกมือ ท้องฟ้าก็มีหมู่เมฆขนาดใหญ่เข้าปกคลุม จากนั้นมันก็ถล่มห่าฝนลงมาในทันที ราวกับว่ามันเป็นสายน้ำจากสวรรค์ มันได้พัดเอากลุ่มโจรกบฏหลายแสนคนตกลงไปสู่ขุมนรกในทันที…”

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำพูดของนักเล่าเรื่อง และดึงดูดเสียงพึมพำของชายชราสองสามคนที่อยู่ข้างๆ เขาในทันที

“ ผู้เฒ่าเฉิน ท่านไม่ได้บอกว่าผู้ว่าการซุยสาดชามน้ำและทำให้เกิดพายุหรอ?”

“ ตอนนั้นมันมีกลุ่มโจรกบฏเพียง 40,000 ถึง 50,000 คนเท่านั้น เฒ่าเฉิน โจวน้อยกำลังถามเจ้าอย่างจริงจัง อย่ามัวแต่โม้สิ”

“ แม้ว่าผู้ว่าการซุยจะเป็นเซียนจริงๆ แต่เจ้าก็ไม่ควรจะโม้แบบนั้นนะ รีบบอกความจริงมาได้แล้ว”

“….”

ลุงเฉินรู้สึกเขินอายเล็กน้อยกับสิ่งที่เขาพูด เขากระแอมเบาๆ และพูดว่า “ ฮ่าฮ่า จริงๆ แล้วตอนนั้นข้าก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าขึ้นไปบนกำแพงเมือง เขาแค่ยืนอยู่บนที่สูงและบังเอิญเห็นพายุนอกเมืองจากระยะไกล ฟ้าแลบและฟ้าร้องดังกึกก้อง และจากนั้นข้าจึงได้ยินทีหลังว่าผู้ว่าการซุยสามารถเปลี่ยนชามน้ำให้กลายเป็นห่าฝนได้

“ แต่ที่แน่ๆ เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าผู้ว่าการซุยนั้นเป็นเซียนจริงๆ เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมและไม่เคยหวาดกังวลต่อสิ่งใด สิ่งนี้เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน! เอาล่ะ ข้าต้องไปก่อนแล้ว มิฉะนั้นยายเฒ่าของข้าคงจะฆ่าข้าตายแน่”

ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงวางตัวหมากตัวสุดท้ายแล้ววิ่งเหยาะๆ กลับบ้าน แม้จะอายุเกือบ 70 ปีแล้ว แต่ฝีเท้าของเขาก็ยังคล่องแคล่วว่องไว

“ ฮ่าฮ่าฮ่า คำพูดของลุงเฉินยังคงตลกมากจริงๆ” โจวหงอี้วางหมากลงและยืนขึ้นเพื่อคำนับผู้อาวุโส “ งั้นข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว”

อันที่จริง ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาก็ได้ถามเรื่องราวเกี่ยวกับซุยเฮ็งหลายครั้งในมณฑลซีหลิง เกือบทุกคนที่มาจากมณฑลจูเหอต่างก็พูดด้วยความมั่นใจและหลายคนก็ถึงกับบอกว่าพวกเขาเคยเห็นมาด้วยตาของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม หลังจากกว่า 20 ปีของการฝึกฝนวรยุทธ์และการทำความเข้าใจเต๋าของเขา โจวหงอี้ก็พบว่ามันยากที่จะเชื่อว่ามันจะมีวิธีดังกล่าวในการเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นห่าฝนได้

มันน่าเหลือเชื่อเกินไป

ในฐานะศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักตำหนักเต๋าอี้ มันก็มีโอกาสสูงที่เขาจะกลายเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงมีความเข้าใจอย่างมากเกี่ยวกับขอบเขตเต๋ายุทธ์

แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตสัมผัสโลกา แต่เขาก็รู้มานานแล้วว่าผู้ฝึกตนขอบเขตเทพนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง นอกจากนี้ เขาก็ยังรู้ดีถึงสิ่งที่เซียนมนุษย์และเซียนปฐพีสามารถทำได้และทำไม่ได้

แม้แต่เซียนปฐพีจากโลกเบื้องบนก็ยังไม่สามารถเรียกลมพายุมาทำลายล้างกองทัพ 50,000 นายได้ด้วยการสะบัดนิ้วของเขา และสำหรับเซียนสวรรค์ มันก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าสามารถทำได้หรือไม่

สิ่งนี้ทำให้โจวหงอี้อยากรู้เกี่ยวกับซุยเฮ็งมากยิ่งขึ้น

ถ้าซุยเฮ็งสามารถเรียกลมพายุได้จริงๆ ในกรณีนี้ เขาก็อาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดาวตกในมณฑลซีหลิงก็ได้?

เช่นเดียวกับจางซูหมิง โจวหงอี้ไม่คิดว่าสิ่งที่เรียกว่าทัณฑ์สวรรค์นั้นจะมีอยู่จริง เหตุการณ์ในมณฑลซีหลิงในวันนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างแน่นอน

สวรรค์ใจร้ายและปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดราวกับสุนัข! แบบนั้นแล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่มันจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทของโลกมนุษย์?

เขามาที่มณฑลซีหลิงในครั้งนี้ก็เพื่อตรวจสอบรายละเอียดของฝนดาวตก

คนประเภทใดกันที่จะสามารถใช้เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่น่าทึ่งเช่นนี้ได้?

เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นเลย

เขากลับคิดว่านี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้เข้าใกล้ความจริงของเต๋าอันยิ่งใหญ่เสียด้วยซ้ำ!

ในความเห็นของโจวหงอี้ การดำรงอยู่ที่สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้นั้นก็จะต้องเข้าใกล้เต๋าอันยิ่งใหญ่มากอย่างแน่นอน!

ตราบใดที่เขาสามารถค้นพบการดำรงอยู่นี้ได้ เขาก็อาจจะเข้าใกล้เต๋าอันยิ่งใหญ่ได้ด้วยเช่นกัน

แม้ว่าจะต้องตาย แต่มันก็คุ้มค่า!

หากมีใครได้ยินเสียงเต๋าในตอนเช้า คนๆ นั้นก็อาจยอมตายได้ในตอนเย็น!

….

หลังจากที่โจวหงอี้มาถึงมณฑลซีหลิง เขาก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีกับรองผู้ว่าการลู่เจิงหมิง

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเขามาถึงสำนักงานเทศมณฑล เขาจึงทำเพียงแจ้งปลัดอำเภอเฟิงหวู่ซึ่งเฝ้าประตูอยู่ถึงความตั้งใจของเขาก่อนที่จะเข้าไป

ไม่มีใครหยุดเขา อย่างไรก็ตาม โจวหงอี้ก็ก้าวเข้าไปได้เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นเมื่อเขาได้พบกับลู่เจิงหมิงที่วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางมีความสุข

“ หงอี้ เจ้าอยู่ที่นี่เอง ข้าตามหาเจ้าซะทั่วเลย!” ลู่เจิงหมิงหัวเราะเสียงดัง “ ผู้ว่าการมณฑลลู่ได้ตอบกลับมาแล้ว ท่านบอกว่าเจ้าสามารถไปพบเขาได้ทุกเมื่อ”

“ จริงหรอ!” ดวงตาของโจวหงอี้เป็นประกาย เขาคำนับให้กับลู่เจิงหมิงในทันที “ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ ผู้อาวุโสลู่”

“ ฮ่าฮ่า เจ้าจะโค้งคำนับข้าทำไม” ลู่เจิงหมิงโบกมือและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ หงอี้ จริงๆ แล้วตราบใดที่เจ้าช่วยข้าถามท่านผู้ว่าการว่าข้าจะสามารถติดตามเขาไปได้รึยัง แค่นั้นเจ้าก็จะถือว่าช่วยข้าได้มากแล้ว”

“ ผู้อาวุโสลู่ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” โจวหงอี้พยักหน้าอย่างจริงจัง

ในขณะนี้ เฟิงหวู่ซึ่งเฝ้าประตูอยู่ก็ได้เดินเข้ามาและรายงานว่า “ นายท่าน มีนักพรตเต๋ารออยู่ข้างนอก เขาบอกว่าเขาต้องการจะพบกับนักพรตเต๋าโจว”

“ นักพรตเต๋า?” โจวหงอี้ตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นเขาก็มองไปที่ลู่เจิงหมิง

“ อืม” ลู่เจิงหมิงพยักหน้าและพูดว่า “ ให้เขาเข้ามา เขาน่าจะมาจากสำนักเดียวกับหงอี้”

ครู่ต่อมา นักพรตเต๋าหนุ่มที่ดูเหมือนจะมีอายุยี่สิบก็เดินเข้ามา เขาดูเครียดและวิตกกังวลเล็กน้อย

“ คารวะอาจารย์ลุงโจว” นักพรตเต๋าหนุ่มกุมมือและโค้งคำนับ

“ จื่อเจิน ทำไมเจ้าถึงดูรีบร้อนเช่นนี้?” โจวหงอี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ศิษย์ของตำหนักเต๋าอี้นั้นมักจะมุ่งเน้นไปที่การทำจิตใจให้สงบ ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงหายากสำหรับพวกเขาที่จะทำตัวรีบร้อนเช่นนี้

“ ท่านเจ้าสำนักได้สั่งให้ข้ามาแจ้งข่าวสำคัญให้ท่านทราบ” นักพรตเต๋าหนุ่มเอนกายเข้าหาโจวหงอี้แล้วลดเสียงลง “ ตระกูลหวังแห่งหลางหยาและตระกูลเซี่ยแห่งปิงซานกำลังหมายที่จะทำร้ายผู้ว่าการมณฑลลู่”

หลิวจื่อเจินเป็นหนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์ที่เก่งที่สุดในตำหนักเต๋าอี้ เขาทะลวงผ่านขอบเขตประตูลึกล้ำตั้งแต่อายุยังน้อยและกำลังจะกลายเป็นปรมาจารย์เซียนเทียน เขามักจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับโจวหงอี้และจึงมักจะพูดจาเป็นกันเอง

“ อะไรนะ?!” โจวหงอี้ตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาเกือบจะคิดว่าเขาได้ยินผิด เขาพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ พวกเขาเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรอ?”

“ เอ่อ?” หลิวจื่อเจินตกตะลึงตามเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาไม่เข้าใจและไม่รู้ว่าทำไมโจวหงอี้ถึงพูดแบบนี้ เขาพูดต่อด้วยความสับสนว่า “ ท่านอาจารย์ลุง ท่านเจ้าสำนักต้องการให้ท่านไปที่มณฑลลู่โดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้นกับท่านผู้ว่าการคนนั้น”

“ อืม ข้าเข้าใจแล้ว” โจวหงอี้พยักหน้าเล็กน้อยและหัวเราะเบาๆ “ บังเอิญจริงๆ ข้าก็กำลังวางแผนที่จะออกเดินทางไปมณฑลลู่อยู่พอดี เจ้าสามารถกลับไปบอกท่านเจ้าสำนักได้เลย”

“ ข้าเข้าใจแล้ว!” หลิวจื่อเจินถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเขาก็หันหลังเดินจากไป

อย่างไรก็ตาม หลิวจื่อเจินก็ยังคงสงสัยอยู่เล็กน้อย

เขาอดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับและถามว่า “ ยังไงก็ตาม ท่านอาจารย์ลุงโจว ข้าขอถามภูมิหลังของผู้ว่าการมณฑลลู่หน่อยจะได้ไหม? ทำไมเขาถึงทำให้สองตระกูลใหญ่โจมตีเขาได้ และแม้แต่ท่านเจ้าสำนักก็ยังให้ความสำคัญกับเขามาก”

ในความเห็นของหลิวจื่อเจิน อีกฝ่ายก็เป็นเพียงผู้ว่าการมณฑลและไม่น่าจะมีความลับสำคัญใดๆ

ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงไม่น่าจะเป็นอะไรที่จะถาม

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่ามันจะมีความลับที่ยิ่งใหญ่จริงๆ แต่โจวหงอี้ก็จะบอกเขาแค่ว่าอย่าถาม

“ ผู้ว่าการมณฑลลู่คนนี้…”

โจวหงอี้อ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กระนั้นเขาก็ลังเล และในท้ายที่สุด เขาก็ยิ้มและพูดว่า “ หากการคาดเดาก่อนหน้านี้ของข้าถูกต้อง มันก็อาจจะเป็นโอกาสสำหรับท่านเจ้าสำนักและข้าที่จะได้ทำความเข้าใจเต๋าอันยิ่งใหญ่”

“ ตะ… เต๋าอันยิ่งใหญ่?!”

หลิวจื่อเจินตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้

ในฐานะศิษย์ของตำหนักเต๋าอี้ เขาก็รู้ดีถึงน้ำหนักของคำพูดเหล่านี้

แต่ทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกับผู้ว่าการมณฑลลู่จริงๆ หรอ?