ตอนที่ 306 บดขยี้อย่างง่ายดาย

เมื่อเขาตรวจสอบข้อมูลของทหารเสร็จ มันเป็นเวลากลางดึกแล้ว

หลังจากนั้น หลิน ยู ก็พยายามใส่ทหารเข้าไปในมิติต้นกำเนิด เขาก็ได้ข้อสรุป

มิติต้นกำเนิดของเขายังเล็กเกินไป

ด้วยขนาดเพียง 100 เมตร หากเป็นทหารที่ตัวเล็กนั้นไม่เป็นไร แต่หากเป็นทหารตัวใหญ่อย่างภูติไม้สงครามโบราณและแบนชีมันจะดูเล็กไปทันที

โดยเฉพาะแบนชีนั้น แม้ว่าเถาวัลย์ทั้งหมดจะถูกรวบเอาไว้ มันก็แทบจะไม่สามารถใส่เข้าไปได้

ดูเหมือนว่าถ้าหากเขาต้องการที่จะนำกองกำลังทั้งหมดใส่เข้าไป เขาต้องขยายขนาดของมันเพิ่ม

"พรุ่งนี้ไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ก็แล้วกัน"

หลังจากที่มองดูท้องฟ้าด้านนอกแล้ว หลิน ยู ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อเพียงแต่ปิดหน้าต่างและเข้าไปในบ้านต้นไม้

ในช่วงนี้ เขายุ่งอยู่กับการอัพเกรดดินแดน ดังนั้นเขาต้องพักผ่อนให้มากขึ้นหน่อย

......

เช้าวันรุ่งขึ้น

เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น หลิน ยู ที่ตื่นขึ้นก็ได้รีบไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ที่นั้น

จากนั้นไม่นาน

ความเงียบสงบของเมืองหวงซาก็ถูกทำลายด้วยรถม้าจำนวนมาก

เมืองน้อยใหญ่ทั้งหมดในรัศมี 300 กิโลเมตรรอบเมืองหวงซาได้ส่งทูตมารวมตัวกันบนพื้นที่โล่งด้านนอกชายป่า

กลุ่มทูตขนาดใหญ่นี้ได้ดึงดูดนักธุรกิจและผู้ฝึกตนที่สัญจรผ่านไปมาให้หยุดมอง พวกเขาพูดคุยกันด้วยเสียงต่ำ

"นี้คือเมืองหวงซางั้นเหรอ"

ภายในกลุ่ม ราชันระดับ 6 มองไปยังรอบๆด้วย สีหน้าของเขาปรากฏความประหลาดใจออกมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นพื้นที่การค้าที่นอกชายป่า ผู้คนเดินเข้าออกมาพร้อมกับเรือเหาะเวทย์มนต์ที่บินอยู่บนท้องฟ้า มันถึงกับทำให้เขาตกตะลึง

คนผู้นี้คือราชันแห่งเมืองหลินฉวน ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากเมืองหวงซากว่า 200 กิโลเมตร

เนื่องจากการตายของราชันระดับ 7 ของเมืองโบราณ ทำไมเขาสูญเสียผู้สนับสนุน และยังทำให้เขาได้รู้จักกับหลิน ยู อีกด้วย

เพียงแต่เมืองหวงซานั้นอยู่ห่างจากเขามาก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจมากนัก

แต่เมื่อวานนี้ จู่ๆ เขาก็ได้รับข่าวว่าเจ้าเมืองหวงซาได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นระดับ 8 ทำให้เขาตกตะลึงไปในทันที

เขานิ่งเฉยไม่ได้อีกต่อไป เขารีบออกเดินทางทันทีเมื่อฟ้าสางออกนำกลุ่มด้วยตัวเอง

ถัดจากเขา ยังมีราชันจากเมืองอื่นๆ พวกเขาทั้งหมดมาเยี่ยมเยือนเพื่อคารวะราชันระดับ 8 ที่เพิ่งได้รับการเลื่อนระดับ

"พี่เมิ่ง ข้าพอจะได้ยินมาว่าระหว่างเมืองซวนเย่ กับเมืองหวงซา มีการติดต่อกันอยู่บ่อยครั้ง ท่านกรุณาให้คำแนะนำแก่พวกเราด้วย"

ภายในฝูนชน เมิ่ง ชิงกัง ราชันแห่งเมืองซวนเย่ ถูกล้อมรอบด้วยราชันคนอื่นๆ ที่พูดคุยกันตลอดเวลา

"ฮ่าฮ่า พูดง่ายๆเลย ข้ารู้จักคนนั้นๆมานาน เขาพอจะรู้นิสัยของเขานิดหน่อย เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาเจ้าต้องสุภาพเข้าไว้"

เมิ่ง ชิงกัง กล่าวออกมาด้วยความภูมิใจ ใบหน้าของเขายิ้มแย้ม

เป็นเพราะเมืองซวนเย่ของเขาและเมืองหวงอยู่ซาอยู่ใกล้กัน จึงทำให้เขาติดต่อกับเมืองหวงซาอยู่บ่อยครั้ง

ทันใดนั้น เขาก็ได้กลายเป็นเป้าหมายของราชันเหล่านี้ เพราะต้องการพึ่งพาเขาเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเมืองหวงซา

เมื่อเห็นว่าราชันเหล่านี้ที่ไม่ชอบเขามากในวันปกติกับกลายเป็นสุภาพ เมิ่ง ชิงกัง ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความฉลาดของตัวเขาเอง

หากเขาไม่แสดงจุดยืนต่อเมืองหวงซาตั้งแต่เนิ่นๆ และมอบของขวัญเพื่อสร้างความสัมพันธ์ ตัวเขาจะกลายเป็นดาวเด่นในปัจจุบันได้อย่างไร?

อาจกล่าวได้ว่าราชันเหล่านี้มีทัศนคติเช่นนี้เพราะเมืองหวงซา

"น้องเมิ่ง ข้าได้เตรียมเสบียงที่เจ้าขอไว้เมื่อสองสามวันก่อนเอาไว้แล้ว เจ้าอย่าลืมข้าละ"

ราชันที่อายุมากกว่า ซึ่งอยู่ข้างๆเขาพูดทันที

"ไม่ต้องห่วง ที่ข้าสามารถสนิทสนมกับเมืองหวงซาได้มากขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเสบียงที่ท่านส่งมาให้ข้าในครั้งก่อน ข้าจะพูดถึงท่านแต่สิ่งที่ดีๆ"

เมิ่ง ชิงกัง ตอบกลับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

หลังจากนั้นไม่นาน เซียว ฉางกุ้ย ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอกชายป่าพร้อมกับกลุ่มองครักษ์ ซึ่งมันได้ดึงดูดสายตาของราชันทุกคนในทันที

"เขาคือผู้บัญชาการเซียว แห่งเมืองหวงซา"

เมิ่ง ชิงกัน พูดออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา

เพราะเขากังวลว่าเหล่าราชันจะทำตัวหยาบคายเพราะความแข็งแกร่งของ เซียว ฉางกุ้ย จากนั้นเขาพูดต่อ

"เขาเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดรองจากราชันเมืองหวงซา เขาดูแลเกือบทุกอย่างทั้งภายในและภายนอกของเมืองหวงซา ทำให้เขาได้รับความเคารพนับถืออย่างมาก จำไว้พวกเจ้าต้องพูดกับเขาอย่างสุภาพ"

เหล่าราชันตกตะลึงเมื่อได้ยินแบบนั้น

ดูแลเมืองหวงซาทั้งหมด นี้มันเทียบเท่ากับตำแหน่งรองเจ้าเมืองเลยทีเดียว

ด้วยการที่มีราชันระดับ 8 คอยสนับสนุนเขาอยู่ พวกเขาไม่กล้าหยาบคายแม้แต่น้อย พวกเขารีบเข้าไปทักทายทีละคน

หลังจากนั้น

พวกเขานำกลุ่มของตนตาม เซียว ฉางกุ้ยเข้าไปในป่าและนั่งรถม้าไปยังเมืองหวงซา อธิบายจุดประสงค์ของเขาไปพร้อมกัน

แต่เมื่อรู้ว่าหลิน ยู ไม่ได้อยู่ที่นั้น

แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากนักเกี่ยวกับเรื่องนี้

พวกเขามาที่นี้ในครั้งนี้เพื่อแสดงจุดยืนและสร้างความสัมพันธ์

ไม่ว่าพวกเขาจะพบกับ หลิน ยู หรือไม่ นั้นเป็นสิ่งสำคัญรองลงมา

ตราบเท่าที่ทำด้วยความจริงใจ

ในไม่ช้าพวกเขาก็นั่งรถม้าตาม เซียว ฉางกุ้ย เข้าไปในเมือง

และในขณะที่พวกเขาผ่านสนามฝึกซ้อม จู่ๆ ก็ได้มีเสียงร้องดังมาจากในกลุ่ม

"ดูนั้นเร็วเข้า! นั้นดูเหมือนจะเป็นผู้ฝึกตนระดับ 9!"

ทันทีที่คำพูดนั้นออกมา ทุกคนถึงกับตกตะลึง พวกเขามองไปยังสนามฝึกซ้อม

แน่นอนว่าพวกเขาพบกับชายชราที่ยืนอยู่ตรงนั้น กำลังสั่งสอนเหล่าทหารที่อยู่ด้านล่าง

ออร่าอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ออกมานั้นมันเกินกว่าผู้ฝึกตนระดับ 7 ไปไกล!

ภายในเมืองหวงซา

มีผู้ฝึกตนระดับ 9 ค่อยสั่งสอนเลยงั้นหรอ?

ต้องรู้ก่อนว่า

พวกเขาทั้งหมดเป็นเพียงราชันระดับ 6 แม้ว่าบางคนจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นระดับ 7 แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอย่างเต็มปากว่าจะสามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของผู้ฝึกตนระดับ 9 ได้

คนที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาปรากฏตัวในดินแดนที่เพิ่งได้รับการอัพเกรดเป็นระดับ 8 มันทำให้พวกเขาตกตะลึงไม่น้อยเลยทีเดียว

มีเพียงแค่ เมิ่ง ชิงกัง เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ มานานแล้ว

เขาพูดอย่างเคร่งขรึม "ตอนนี้พวกเจ้าน่าจะรู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมข้าถึงบอกให้พวกเจ้าสุภาพเข้าไว้"

ความหมายของมันชัดเจนมาก

ถึงแม้ว่าเจ้าเมืองหวงซาจะไม่อยู่ที่นี้ แต่ความแข็งแกร่งของเมืองหวงซาก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะดูแคนได้

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ร่องรอยความสงสัยที่อยู่ภายในใจของเหล่าราชันก็ถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น พวกเขาไม่กล้าที่จะละเลย

โดยที่ไม่ได้สังเกต

เซียว ฉางกุ้ย ซึ่งเป็นผู้นำทางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา

การให้ราชันเหล่านี้รับรู้ถึงการมีอยู่ของ เย่ว เต้าหนาน นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะเขาอยากให้เห็น

มันเป็นการข่มขู่ให้พวกเขาเข้าใจถึงความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเมืองหวงซา

แม้ว่าความแข็งแกร่งของ เซียว ฉางกุ้ย จะอ่อนด้อย แต่เขานั้นเก่งในด้านจิตวิทยา มาก

เขาไม่ต้องการที่จะเห็นใครเข้าบุกเข้ามาในเมืองหวงซาในอนาคต ทำให้นายท่านของเขาปวดหัว

นี้คือสิ่งที่พวกเขาต้องทำในฐานะผู้บัญชาการ

ผ่านไปไม่นาน

เหล่าราชันก็ได้เปลี่ยนความคิดไปเล็กน้อย พวกเขาถูกพาไปยังห้องโถงต้อนรับในเมืองและเริ่มหารือในเรื่องต่างๆ

....

อีกด้านหนึ่ง

หลิน ยู ไม่รู้ว่าราชันคนอื่นมาเยี่ยมเขา

ในตอนนั้น เขาเทเลพอร์ตมายังแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว

มันเกือบจะเป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้

หลังจากการจราจลของเหล่ามอนสเตอร์ เกาะลอยฟ้าก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก แม้แต่ถนนด้านหลังก็ยังพังเสียหายยับเยิน

อย่างไรก็ตาม มันดีกว่าครั้งที่แล้วเล็กน้อย มันไม่ได้สูญเสียอะไรมากนัก

ดูเหมือนว่าจะมีราชันระดับ สูงหลายคนหลายคนจัดการๆจราจลของมอนสเตอร์ในครั้งนี้

เขาไม่รู้ว่ามีมอนสเตอร์ระดับ 10 กี่ตัวถูกสังหาร และมีใครได้รับวัตถุดิบระดับ 10 หรือไม่

แน่นอน

หลิน ยู ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก

เพราะเขาได้ยินที่มากอร์น พูดมาก่อนหน้านี้ว่า ช่างตีเหล็กเผ่าคนแคระระดับ 10 ได้ถูกจับจองโดยเหล่ามหาอำนาจระดับ 10 หมดแล้วอีกทั้งพวกเขายังได้มอบทรัพยากรจำนวนมากมหาศาลไว้ให้ก่อนด้วย

เขาเกรงว่าหากเขากระโดดไปแซงคิวจะทำให้ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นขุ่นเคือง

และเมื่อไม่นานมานี้ มากอร์น กำลังยุ่งกับการจัดการสิ่งต่างๆภายในอาณาจักรคนแคระ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถสละเวลามาช่วยสร้างอุปกรณ์ให้กับเขาได้ แม้ว่าเขาจะมีวัตถุดิบ แต่เขาก็ไม่สามารถสร้างมันได้ในตอนนี้

เพียงแต่ต้องรอซักพักนึงก่อน

ตัวเขาไม่ได้โลภมากขนาดนั้น

เพียงแค่จี้งาช้างเยือกแข็งระดับสิบที่เป็นสิ่งช่วยชีวิตก็เพียงพอแล้ว

"ไปที่อาณาจักรลับกันก่อนก็แล้วกัน"

เมื่อมองไปยังรอบๆ หลิน ยู จ้องไปประตูมิติแห่งอาณาจักรลับที่อยู่ตรงกลางแท่น และเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ในเวลานี้ การจราจลของเหล่ามอนสเตอร์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทำให้ค่าเข้าอาณาจักรลับได้กลับมาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง เหล่าราชันจำนวนมากได้มาตัวกันที่ประตูมิติ ตะโกนหาเพื่อนร่วมทีมเพื่อเคลียร์อาณาจักรลับด้วยกัน มันเป็นภาพที่ดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก

หลิน ยู เดินผ่านฝูนชน เข้าไปในประตูมิติแห่งอาณาจักรลับ และพยายามดูว่าเขาสามารถเข้าไปในอาณาจักรลับระดับ 7 ได้หรือไม่

กลายเป็นว่ามันได้

อย่างไรก็ตาม หากเขาเข้าสู่อาณาจักรลับระดับ 7 แก่นแท้ดินแดนที่เป็นรางวัลก็จะเป็นระดับ 7 เป็นอย่างที่คิดว่ามีราชันระดับ 8 เพียงไม่กี่คนที่ยอมเสียเวลาในการเคลียร์มัน

หากเขาไม่ต้องการต่อสู้เพื่อเสี่ยงโชค ลองดูว่าเขาจะได้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ระดับ SSS หรือไม่

หรือหากเขาเลือกคะแนนความยากสูงสุด 1000 แต้ม เขาอาจจะได้เจอมอนสเตอร์ราชันทันที แต่นี้เป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในรายการ

เนื่องจากระดับความยากของอาณาจักรลับระดับ 8 นั้นมีคะแนนตั้งแต่ 1000 ถึง 2000 แต้ม

"แน่นอนว่า ต้องนี้เขาต้องการพลังเวทย์และแก่นแท้ดินแดนระดับ 7 ก่อน "

เมื่อมองไปยังตัวเลือกบนหน้าต่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา หลิน ยู ก็ครุ่นคิด

แก่นแท้ดินแดนระดับ 8 ในตอนนี้เขายังไม่สามารถใช้งานมันได้

และบอสตัวสุดท้ายที่มีระดับความยากสูงสุดของอาณาจักรลับระดับ 8 คือมอนสเตอร์ระดับ 9 ซึ่งเขายังสู้ไม่ไหวในตอนนี้

ดังนั้นมันจะดีที่สุดที่เขาจะเริ่มจากระดับความยากสูงสุดของระดับ 7

มันจะได้พลังเวทย์ประมาณ 4.5 ล้านและแก่นแท้ดินแดนระดับ 7 5 อัน ต่อการเคลียร์หนึ่งครั้ง

ทำให้เขาสามารถอัพเกรด ทงเทียน มังกรราชาปิศาจ มังกรสนมปิศาจ และดอกแดนดิไรอัลโลหิตได้

หลังจากที่ดินแดนได้รับการอัพเกรดแล้ว เขายังเหลือแก่นแท้ดินแดนระดับ 7 อยู่ 5 อัน

กล่าวอีกอย่างคือ เขาต้องเคลียร์อาณาจักรลับความยากสูงสุดของระดับ 7 ทั้งหมด 7 ครั้ง

เมื่อคิดดูแล้ว

หลิน ยู ก็ได้เลือกอาณาจักรลับระดับ 7 ที่ยากที่สุดทันที เขาเข้าไปพร้อมกับทหารพืชราชวงศ์ทั้ง 7 ตัวและทหารระดับ 8 ทั้ง 100 ตัวที่เพิ่งอัญเชิญออกมา

ในตอนนี้หอคอยแห่งบาปไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาอีกต่อไป

แม้ว่ามอนสเตอร์ระดับ 8 ที่เป็นราชันตัวสุดท้ายนั้นจะค่อนข้างแข็งแกร่ง

แต่มันก็ทำอะไรเขาไม่ได้

เนื่องจากมอนสเตอร์ราชันที่อยู่ภายในอาณาจักรลับนั้นมีค่าสถานะที่ต่ำกว่ามอนสเตอร์ราชันที่อยู่บนภูมิภาคหลักของมอนสเตอร์

ดังนั้นหลังจากที่เขาไปยังอาณาจักรลับ เขาก็สั่งให้กองพืชเริ่มบุกโจมตีในทันที สังหารมอนสเตอร์ที่อยู่ในแต่ละชั้นและสะสมค่าประสบการณ์ให้กับทงเทียน

ด้วยบัพค่าประสบการณ์จากปราชญ์แห่งพงไพรและสกิลกลืนกินความตาย ทำให้ค่าประสบการณ์ของทงเทียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แม้จะไม่ได้สังหารมากนัก

แต่มันจะได้รับค่าประสบการณ์ 1 แต้มสำหรับทุกๆศพที่กินเข้าไป

ยกเว้นมอนสเตอร์บางตัวที่ตายไปโดยไม่เหลือซากเอาไว้ เกือบทุกอย่างได้กลายเป็นค่าประสบการณ์ของมัน

ด้วยเหตุนี้ หลิน ยู จึงไม่ได้เรียกดอกไม้แห่งการกลืนกินระดับ 8 ทั้งสองตัวออกมา เพื่อป้องกันไม่ให้ศพที่กองอยู่ฟื้นขึ้นมากลายเป็นดอกไม้มรณะ

เมื่อเขาไปถึงขั้นที่ 6 เท่านั้น เสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้นในหัวของเขา

[ยินดีด้วย ค่าประสบการณ์ของทงเทียนได้เต็มแล้ว]

[แก่นแท้ดินแดนที่จำเป็นสำหรับการอัพเกรดไม่เพียงพอ จึงไม่สามารถอัพเกรดได้ชั่วคราว]

"เอาละ ไปชั้นต่อไปกัน"

หลังจากปิดหน้าต่างค่าสถานะ หลิน ยู ก็ได้ออกค่าสั่งเดินหน้าไปพร้อมๆกับกองทัพพืชของเขา ไปยังชั้นถัดไปเพื่อสังหารมอนสเตอร์ภายในหอคอยแห่งบาป

พลังเวทย์ของเขาค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว