ครู่ต่อมา ร็อบก็ตามหลังไป่เหอกลับเข้าไปยังโถงวิญญาณผู้กล้าและมองดูไป่เหอเดินเข้าไปยังโถงเพียงลำพัง
ไป่เหอเดินออกมาหลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย และมีความสับสนและร่องรอยของความตกใจที่มองไม่เห็นอยู่ในส่วนลึกของดวงตาของเขา
“ท่านอาจารย์ เป็นยังไงบ้าง? วิญญาณผู้กล้าบอกว่าอะไรบ้าง?”
ร็อบอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้เมื่อเห็นว่าอาจารย์ของเขาใช้เวลานานมากกว่าจะออกมา
“ห้ามไม่ให้ใครเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถ้าข้าพบว่าใครแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ออกไป ข้าจะลงโทษคนผู้นั้นในฐานะคนทรยศ!”
สีหน้าอันอบอุ่นของไป่เหอเปลี่ยนไปในขณะที่เขาพูดด้วยสีหน้าเย็นชาและจริงจัง
ร็อบและผู้พิทักษ์แห่งทะเลลับอึ้งไป
คนทรยศ?!
นี่เป็นอาชญากรรมสูงสุดในเผ่าพันธุ์มนุษย์
ลอร์ดผู้นั้นมีค่าขนาดนั้นจริงๆ เหรอ?
ไป่เหอไม่ได้อธิบายอะไรอีก
เขาจากไปอย่างเงียบๆ
…
อีกด้านหนึ่ง โจวโจวก็กำลังคิดถึงบทสนทนาสุดท้ายกับร็อบก่อนที่เขาจะออกมาในขณะที่เขาเดินไปหากองทัพตะวันสาดแสง
ก่อนที่เขาจะจากมา เขาได้ถามอีกฝ่ายถึงวิธีการกลายเป็นผู้กล้า
คำตอบของอีกฝ่ายนั้นช่างเงียบง่าบมาก แต่ก็มีความหมายอันลึกล้ำแฝงอยู่
มันมีแค่สองประโยคเท่านั้น
ประโยคแรก
[จงทำตามหัวใจของท่านและทำตามสิ่งที่ท่านต้องการ]
ประโยคที่สอง
[ทำในสิ่งที่ผู้อื่นจะจดจำ]
ทั้งสองประโยคนี้ทำให้โจวโจวนึกถึงประวัติผู้กล้าของผู้กล้าแต่ละคน
“หรือว่าเขาต้องการให้ฉันทำในสิ่งที่คล้ายกับในประวัติของผู้กล้า?”
โจวโจวอดคิดไม่ได้
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาคิดถูกไหม
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ได้อธิบายอะไรอีกหลังจากเขาถามต่อ
ดูเหมือนว่ามันจะเหมือนกับในละครโทรทัศน์ที่นักบวชเต๋ากล่าวว่าความลับสวรรค์ไม่อาจเปิดเผยได้
“ร็อบน่าจะอยากให้ฉันหาคำตอบด้วยตัวเอง เพราะมีเพียงแค่คำตอบที่ฉันพบด้วยตัวเองเท่านั้นที่จะทำให้ฉันเชื่อจากก้นบึ้งของหัวใจ ฉันอาจจะตั้งคำถามกับคำตอบได้ถ้าเขาบอกฉัน”
โจวโจวถอนหายใจออกมา
นี่คงจะเป็นจุดอ่อนของมนุษย์
เขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว
เขาคงจะไม่เชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูด
ความสงสัยเป็นเรื่องปกติ
“มาลองทำอย่างที่เขาพูดละกัน อย่าเพิ่งไปคิดเรื่องอื่น”
โจวโจวคิด
มันไม่มากเกินไปที่จะลองทุกอย่างที่ทำได้เพื่อที่จะเป็นผู้กล้า
“หืม?”
ในเวลานั้น โจวโจวก็เห็นผู้อาวุโสเจิ้งกำลังเดินไปทางประตูเมือง
ในเวลาเดียวกัน อีกฝ่ายก็เห็นโจวโจวด้วย
“คาราวะท่านลอร์ด”
เขาหยุดลงและพูดออกมาด้วยความเคารพ
“ผู้อาวุโสเจิ้ง ท่านจะไปไหนกัน?”
โจวโจวถาม
“เมื่อครู่ ทหารลาดตระเวนเพิ่งมารายงานว่ามันมีคนกว่า 100 คนอยู่ที่ด้านนอกของดินแดนเพราะอยากจะเข้าร่วมกับเมืองตะวันสาดแสง ข้าเลยต้องออกไปดูหน่อย มันคงจะดีถ้ามีผู้มีพรสวรรค์ที่เชื่อถือได้ในหมู่พวกเขา”
ผู้อาวุโสเจิ้งยิ้มออกมา
หัวใจของโจวโจวปั่นป่วน
คนต่างถิ่นกว่า 100 คน?
มันคือคนที่ถูกดึงดูดมาโดยพรสวรรค์สุขสงบเหมือนเมื่อวานงั้นเหรอ?
“งั้นก็ไปดูด้วยกันเถอะ”
โจวโจวยิ้ม
เขาเองก็สนใจเหมือนกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นลูกน้องที่ถูกดึงดูดมาโดยสุขสงบ
“ขอรับ”
ผู้อาวุโสเจิ้งยิ้มออกมาและพยักหน้า
จากนั้นทั้งสองก็เดินไปยังประตูเมือง
นอกเมืองตะวันสาดแสง
ซุนเฉียนกอดลูกสุนัขสีขาวไว้ในอ้อมแขนของเขาในขณะที่เขามองไปยังกำแพงเมืองสีดำสนิทตรงหน้าของเขาและหอคอยออโรร่าที่ค่อนข้างน่ากลัวบนกำแพงเมือง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“หอคอยออโรร่าคือการป้องกันเมืองทางยุทธศาสตร์ของอาณาจักรออโรร่า มีแค่เมืองทางยุทธศาสตร์ทหารในอาณาจักรออโรร่าเท่านั้นที่จะได้ครอบครองมัน ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะมีหอคอยออโรร่าในเวลาแค่สิบกว่าวันหลังจากเมืองตะวันสาดแสงถูกสร้างขึ้น นอกจากนี้ระดับของมันก็ดูไม่ได้ต่ำเลย”
“อีกทั้งกำแพงเมืองนี้ก็ไม่ได้ดูธรรมดาเลย มันน่าจะเป็นกำแพงเมืองธาตุแสงที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ นี่คือเมืองที่ถูกสร้างขึ้นจากความว่างเปล่าในเวลาแค่ 10 กว่าวันเองเหรอ?”
ซุนเฉียนตกใจ
จากนั้นเขาก็มองไปยังผู้คนที่อยู่รอบๆ
คนเหล่านี้เป็นคนที่เขาพบระหว่างทาง
ตอนแรกเขาก็พบแค่คนสองคน
ต่อมาพวกเขาตกลงที่จะเดินทางด้วยกันเมื่อรู้ว่าจุดหมายปลายทางคือเมืองตะวันสาดแสง
สุดท้ายพวกเขาก็พบสหายร่วมทางมากขึ้นเรื่อยๆ และกลุ่มผู้ลี้ภัยที่มุ่งหน้ามายังเมืองตะวันสาดแสงก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายพวกเขาก็มีกันถึง 124 คนเมื่อพวกเขามาถึง
พวกเขาพาครอบครัว ทั้งคนแก่และเด็ก สัมภาระของพวกเขา และดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวังสำหรับชีวิตในอนาคตของพวกเขา
แม้จะเหน็ดเหนื่อย กระหายน้ำ และหิว แต่พวกเขาก็ตื่นเต้นเช่นกัน
“ว่ากันว่าเมืองตะวันสาดแสงเพิ่งก่อตั้งขึ้นในเวลาไม่นาน มันเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการใช้ชีวิตและทำงานอย่างสงบสุข แม้แต่คนใหญ่คนโตจากอาณาจักรออโรร่าก็มาปลดเกษียณกันที่นี่”
“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองนี้ แต่กำแพงเมืองและหอคอยออโรร่าก็ทำให้น่าเชื่อถือได้มากแล้ว ข้าหวังว่าภายในจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”
ซุนเฉียนแอบถอนหายใจๆ
คนเหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้าของเขาเป็นแค่คนธรรมดา การมาที่นี่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของพวกเขาแล้ว
ถ้าเมืองตะวันสาดแสงดูดีแค่ภายนอก เขาก็ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าอนาคตของคนเหล่านี้จะเป็นอย่างไร
ในขณะนี้ ฝูงชนก็เริ่มกระสับกระส่าย
ซุนเฉียนเงยหน้าขึ้น
ชายชราคนหนึ่งได้พาเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาที่นี่
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเจิ้ง!”
ร่างกายของซุนเฉียนสั่น
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่สมาชิกของราชสำนัก แต่เขาก็เคยได้ยินชื่อเสียงที่ดีของอดีตอัครมหาเสนาบดีผู้นี้จากผู้คนเมื่อยามที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรออโรร่าและเคยเห็นภาพของเขามาก่อน
ดังนั้นเขาจึงจำอีกฝ่ายได้ในทันที
จากนั้นสายตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ อีกฝ่าย
เขาไม่รู้ว่าทำไม
พูดตามเหตุผล ภาพลักษณ์ของคนใหญ่คนโตอย่างอัครมหาเสนาบดีเจิ้งนั้นก็น่าจะเป็นที่ดึงดูดมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เขาก็มีออร่าแห่งความเป็นผู้นำมากกว่าอัครมหาเสนาบดีเจิ้ง ทำให้คนที่อยู่รอบๆ อดชื่นชมเขาไม่ได้
เมื่อเขาปรากฏกาย เขาก็กลายเป็นตัวเอกทันที
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ชายหนุ่มผู้นี้ปรากฏตัว เขาก็ไม่ได้พูดอะไร กลับกัน เขายืนอยู่เงียบๆ ด้านข้างและมองดูอัครมหาเสนาบดีเจิ้งลงทะเบียนผู้ลี้ภัยเหล่านี้และทำให้พวกเขากลายเป็นชาวเมืองคนใหม่ของเมืองตะวันสาดแสง
แต่ในไม่ช้าเขาก็ได้เห็นการเคลื่อนไหวใหม่
ชายหนุ่มคนนั้นเรียกทหารคนหนึ่งเข้ามาและกระซิบอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็เห็นทหารผู้นั้นพยักหน้าและวิ่งกลับไปที่เมือง
ครู่ต่อมา พวกเขาก็เห็นทหารนำทางชาวเมืองที่กำลังยิ้มแย้มออกมาจากเมือง
อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของพวกเขาที่สุด
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของพวกเขาที่สุดก็คือน้ำ อาหาร ขนมปัง โจ๊ก ขนมปังแฟลตเบรด และอาหารบางอย่างที่ดูน่ารับประทานในมือของชาวเมืองเหล่านี้
อาหารเหล่านี้ถูกส่งไปให้ซุนเฉียนและคนอื่นๆ
“ทุกคนต้องหิวมากแน่หลังจากเดินทางมานาน ท่านลอร์ดได้บอกให้พวกเรานำอาหารเหล่านี้มาให้ ทุกคนกินกันก่อนเถอะ มันยังมีอีกนะถ้ายังไม่พอ! ข้ารับประกันได้เลยว่าพวกเจ้าต้องอิ่มแน่!”
ทหารยิ้มออกมา
ทุกคนมองไปยังชายหนุ่มคนนั้นด้วยความซาบซึ้ง
“ขอบคุณขอรับท่านลอร์ด!”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านลอร์ด!”
ฝูงชนพูดออกมาด้วยความซาบซึ้ง
ซุนเฉียนเองก็ยิ้มออกมา
งั้นเขาก็คือลอร์ดที่สร้างเมืองแห่งสันติภาพและความสงบสุขนี้ขึ้นมาสินะ!
ไม่แปลกใจเลยที่เขาใจดีขนาดนี้
ทุกคนมาถูกที่แล้วจริงๆ
“ชื่อ อาชีพ ระดับ”
เสมียนที่รับผิดชอบการลงทะเบียนถาม
“ซุนเฉียน นักฝึกสัตว์ระดับแพลตตินั่มขาวขั้นต้น” ซุนเฉียนตอบ