ตอนที่ 51

บทที่ 51: ภารกิจลับ มันต้องเป็นน้องชายที่แสนดีของข้าแน่นอน!

ภายใต้การนำทางของฮุ่ยฉี เฉียนคังก็ได้เดินมาจนถึงห้องโถงใหญ่ของสำนักงานเทศมณฑลจูเหอในที่สุด

ในขณะนี้ ซุยเฮ็งก็กำลังนั่งอยู่ที่นี่

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เฉียงคังจะทันได้กล่าวทักทายซุยเฮ็ง เขาก็ได้เหลือบไปเห็นร่างที่คุ้นเคย

มันคือฟางหนานเจิง ผู้ช่วยที่เชื่อถือได้อีกคนของหลิวหลี่เต๋า

“ ฟางหนานเจิง เจ้าทำการทรยศจริงๆ หรอ!” ดวงตาของเฉียนคังเบิกกว้างในขณะที่เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา เขามองไปที่ชายวัยกลางคนซึ่งอายุเกือบ 50 ปีด้วยความเหลือเชื่อ

ชายคนนี้เป็นหนึ่งในผู้ช่วยที่ไว้ใจได้อันดับต้นๆ ของหลิวหลี่เต๋า เขาติดตามหลิวหลี่เต๋ามาตั้งแต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะกลายเป็นผู้ว่าการมณฑล

เขาไม่คาดคิดเลยว่าคนที่ยอมจำนนอย่างรวดเร็วเช่นนี้จะเป็นชายคนนี้จริงๆ!

เมื่อฟางหนานเจิงหนักลับไปเห็นเฉียนคัง เขาก็หัวเราะเยาะขึ้นมาในทันที “ เจ้าก็ด้วยหรอ? ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจเจ้าผิดไปจริงๆ สินะ เจ้าสารเลวน้อย เจ้านี่มันเนรคุณจริงๆ!”

“ ห้ะ! เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาวิจารณ์ข้า?!” เฉียนคังอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา “ เจ้าเองก็เป็นคนทรยศเหมือนกันนั่นแหละ เสียแรงที่ผู้ว่าการหลิวอุตส่าห์เชื่อใจเจ้ามาก!”

“ ผิดแล้ว ข้าเป็นคนที่เข้าใจเวลาต่างหาก ท่านผู้ว่าการมณฑลจูเหอนั้นเป็นเซียน ดังนั้นเมื่อข้าได้พบกับเขา ข้าจึงก้มลงกราบเขาในทันทีและละทิ้งความมืดเพื่อเข้าร่วมกับแสงสว่าง” ฟางหนานเจิงมีการแสดงออกที่ชอบธรรม “ ต่างจากเจ้าที่ต้องการจะทรยศเขาตั้งแต่ก่อนที่จะได้เห็นท่านผู้ว่าการด้วยซ้ำ นี่แหละที่เรียกว่าการทรยศ”

หลังจากพูดจบ เขาก็ป้องมือแล้วหันไปทางซุยเฮ็งพร้อมทั้งพูดว่า “ ท่านผู้ว่าการ ชายผู้นี้เป็นคนเนรคุณและหัวรั้น ดังนั้นท่านผู้ว่าการได้โปรด…”

“ ไม่เป็นไร” ซุยเฮ็งขัดจังหวะการโต้เถียงของพวกเขา

ฮุ่ยฉีก้าวไปข้างหน้าในทันทีและกวาดสายตามองไปที่ทั้งสองคน พวกเขาเงียบลงในทันทีและหดคอไม่กล้าพูดอีกต่อไป

เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทางอันสงบนิ่งของซุยเฮ็งแล้ว ออร่าสังหารอันเย็นชาของฮุ่ยฉีนั้นก็ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านด้วยความกลัว

“ ข้าไม่อยากจะได้ยินเกี่ยวกับความบาดหมางระหว่างพวกเจ้าสองคน และข้าก็ไม่สนใจด้วยว่าผู้ว่าการหลิวต้องการจะทำอะไร”

ซุยเฮ็งพูดอย่างช้าๆ “ มณฑลลู่มีประชากรกี่คนและมีกี่เมืองที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของพวกเจ้า? บอกข้ามาเกี่ยวกับพวกมันทั้งหมด”

การส่งถ่ายข้อมูลในโลกนี้นั้นถือเป็นเรื่องที่ยากมาก แม้แต่ในฐานะผู้ว่าการมณฑลจูเหอ เขาก็ยังสามารถทำความเข้าใจได้เพียงแค่สถานการณ์ในมณฑลของเขาเท่านั้น เขาไม่สามารถสัมผัสกับข้อมูลโดยละเอียดของมณฑลอื่นๆ ได้เลย

เฉียนคังและฟางหนานเจิงตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้

ผู้ว่าการมณฑลคนนี้ต้องการที่จะยึดมณฑลลู่ แบบนั้นแล้วเขาจะสนใจจำนวนประชากรไปทำไม?

เขาควรจะสนใจเรื่องนี้หลังจากที่เขาบุกยึดเสร็จแล้วสิ

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่สนใจแล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ว่าการหลิว

ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงรีบไปอธิบายสถานการณ์ในมณฑลลู่ให้กับซุยเฮ็งทราบ

มณฑลลู่ก่อตั้งขึ้นมาสองพันปีแล้ว

ในช่วงเวลาที่ยาวนานขนาดนี้ เขตการปกครองจึงมีการเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายครั้ง และจนถึงวันนี้ แผ่นดินก็ยังคงกว้างใหญ่เป็นพันลี้ มันมีทั้งหมด 21 หัวเมืองภายใต้เขตอำนาจของพวกเขาจากที่สำรวจกันเมื่อ10 ปีที่แล้ว และจากการตรวจสอบประชากรตามทะเบียนบ้าน มันก็มีทั้งหมดมากกว่า 1.3 ล้านคน

มีผู้อยู่อาศัยมากกว่า 300,000 คนในมณฑลลู่เพียงแห่งเดียว

มณฑลลู่เป็นศูนย์กลางทางน้ำของเฟิงโจว มันมีพ่อค้ามากมายนับไม่ถ้วนในเมือง และเมื่อรวมกับคนเหล่านี้แล้ว จำนวนผู้คนในมณฑลลู่ต่อวันจึงมีมากถึงเกือบ 500,000 คน

ประชากรในมณฑลต่างๆ นั้นแตกต่างกัน

มณฑลลู่ถือเป็นมณฑลขนาดกลาง มันมีประชากรทั้งหมด 110,000 คนในเมือง ส่วนที่เหลือก็กระจัดกระจายไปตามหมู่บ้าน

“ ก่อนหน้านี้ฉันแค่รวบรวมอารมณ์ของคน 80,000 คนในมณฑลจูเหอเท่านั้น และฉันก็สามารถรวบรวมอารมณ์ทั้งเจ็ดได้อย่างมากมาย…”

ซุยเฮ็งตกอยู่ในภวังค์เมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ เขาคิดกับตัวเองว่า “ ถ้าฉันสามารถรวบรวมอารมณ์ของผู้คนจำนวนเกือบ 500,000 คนในมณฑลลู่ได้ ฉันจะสามารถพัฒนาไปได้เร็วขนาดไหนกันนะ?”

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ซุยเฮ็งก็มองไปที่พวกเขาทั้งสองและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ ข้าจะให้พวกเจ้ากลับไป พวกเจ้าสามารถกลับไปรายงานสถานการณ์ของที่นี่กับหลิวหลี่เต๋าตามความเป็นจริงได้”

“ ท่านผู้ว่าการ ข้ายินดีจะตามท่านไปจนกว่าชีวิตข้าจะหาไม่!” ฟางหนานเจิงคุกเข่าลงพร้อมกับกล่าวอ้อนวอนขอร้อง “ ข้าได้ยอมจำนนต่อท่านอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ทันทีที่ข้าพบท่าน ได้โปรดรับข้าเข้าไปด้วย!”

เมื่อฮุ่ยฉีได้ยินคำพูดของฟางหนานเจิง สีหน้าของเขาก็ดูน่าเกลียดราวกับว่าเขาเผลอกินแมลงวันเข้าไป

นั่นเป็นเพราะเขาเองก็เคยพูดอะไรคล้ายๆ กันนี้ และมาตอนนี้ ผู้ชายคนนี้ก็ยังพูดเหมือนกับเขาอีก แบบนี้แล้วเขาควรจะรู้สึกอย่างไรดี?

เฉียนคังไม่ได้ร้องไห้เหมือนกับฟางหนานเจิง

ความคิดของเขาทำงานอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาพุ่งไปรอบๆ และเขาก็เข้าใจความหมายของซุยเฮ็งในทันที เขาคำนับอีกฝ่ายและกล่าวว่า “ เฉียนคังจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”

ฟางหนานเจิงตกตะลึงในขณะที่เขามองไปที่เฉียนคังด้วยความตกใจ

การจ้องมองนั้นดูเหมือนกับจะถามว่า “ เจ้ากำลังพูดถึงอะไร? เจ้าได้รับภารกิจจากผู้ว่าการมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ ขยะ! เจ้าขยะกล้าแข่งกับข้าหรอ!”

เฉียนคังเยาะเย้ยในใจของเขา เมื่อเห็นรูปลักษณ์ในปัจจุบันของฟางหนานเจิง เขาก็รู้สึกพึงพอใจกับตัวเองมาก “ เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านผู้ว่าการมีเจตนาจะทำอะไร เพราะงั้นแล้วมันก็ไม่มีความหมายอะไรหรอกถ้าเจ้าจะรู้จักแค่การคุกเข่าลงและเลียส้นตีน!”

“ เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนออกไปได้แล้ว” ซุยเฮ็งโบกมือของเขา

“ ตามบัญชาท่านผู้ว่าการ”

เฉียนคังและฟางหนานเจิงจากไปพร้อมกัน

หลังจากที่ทั้งสองคนออกมาจากสำนักงานเทศมณฑลแล้ว ฟางหนานเจิงก็เดินเข้าไปหาเฉียนคังเพื่อถาม กระนั้นฝ่ายหลังก็ไม่ได้สนใจเขาและเขาก็ทำได้เพียงเฝ้าดูเฉียนคังเดินจากไป

หลังจากที่เฉียนคังขึ้นม้าของเขา เขาก็ควบไปทางมณฑลลู่ในทันที

ความคิดในปัจจุบันของเขานั้นแตกต่างจากตอนที่เขาเข้ามาที่นี่อย่างสิ้นเชิง เขาไม่ได้สับสนลังเลอีกต่อไป

หลังจากได้ฟังคำพูดของซุยเฮ็งและคิดถึงสิ่งที่ซุยเฮ็งถามเขามาก่อนหน้านี้ เขาก็สามารถเดา “ความตั้งใจอันสูงส่ง” ของซุยเฮ็งได้สำเร็จ

อันดับแรงคือซุยเฮ็งต้องการจะคว้าตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลลู่อย่างแน่นอน

มิฉะนั้นแล้ว เขาก็คงจะไม่ถามเกี่ยวกับจำนวนประชากรของมณฑลลู่

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสามารถของเขาในการเรียกลมพายุ มันก็ไม่น่าจะเป็นงานที่ยากอะไร

ในตอนนี้ เขาก็ปล่อยให้ผู้แปรพักตร์ทั้งสองคนนี้กลับไปอธิบายสถานการณ์ในมณฑลจูเหอต่อผู้ว่าการหลิวตามความเป็นจริง

อันที่จริง มันก็เป็นแค่การให้โอกาสผู้ว่าการหลิวได้เลือก

เขาจะเป็นฝ่ายยอมมอบตำแหน่งเองหรือจะรอให้เซียนมาโจมตีเอง?

เห็นได้ชัดว่าผู้ว่าการซุยนั้นมีความคิดที่จะขยายอำนาจ

อาจเป็นเพราะเซียนมีความกรุณา ดังนั้นเขาจึงเลือกสันติวิธีแทนที่จะก่อให้เกิดการนองเลือด

นอกจากนี้ ในความเห็นของเฉียนคัง สิ่งนี่ก็เป็นการทดสอบความสามารถของผู้แปรพักตร์ทั้งสอง

ภารกิจของซุยเฮ็งคือการโน้มน้าวผู้ว่าการหลิวให้ยอมสละตำแหน่งของตัวเอง!

ใครที่ทำสำเร็จได้ก็จะได้รับผลงานไป!

สำหรับเรื่องที่ว่าเขาจะถูกผู้ว่าการหลิวฆ่าเมื่อเขากลับไปหรือไม่...

เฉียนคังก็ไม่ได้กังวลเลย

ด้วยความเข้าใจของเขาที่มีต่อหลิวหลี่เต๋า ตราบใดที่เขาอธิบายถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายว่ามันเป็นของจริงและทรงพลังเพียงใด หลิวหลี่เต๋าก็จะไม่กล้าโจมตีอย่างผลีผลามแน่นอน

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เฉียนคังก็อดไม่ได้ที่จะยกย่องซุยเฮ็งในใจ “ ท่านผู้ว่าการซุยนั้นยิ่งใหญ่สมกับเป็นเซียนจริงๆ!”

แค่คำง่ายๆ ไม่กี่คำก็สามารถสื่อความหมายที่ลึกซึ้งขนาดนี้ได้

ไม่เพียงแต่เขาจะเปิดเผยแผนการโดยตรงเท่านั้น แต่เขายังสามารถทดสอบความสามารถของผู้แปรพักตร์ทั้งสองได้อีกด้วย

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!

เขาทรงพลังมากจริงๆ!

….

หลังจากเฉียนคังและฟางหนานเจิงออกไป

ฮุ่ยฉีถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ ท่านผู้ว่าการ ท่านมอบหมายภารกิจอะไรให้กับพวกเขากัน?”

ท่าทางมั่นใจของเฉียนคังทำให้เขารู้สึกสงสัยว่าเขาพลาดอะไรไปหรือเปล่า

“ แล้วข้าจะไปรู้ได้ยังไง?” ซุยเฮ็งส่ายหัวและหัวเราะ เขามองออกไปข้างนอกและพูดว่า “ ข้าปล่อยให้พวกเขากลับไปก็เป็นเพราะมันไม่มีประโยชน์ที่จะให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อ ดังนั้นแล้วทำไมเราไม่ส่งพวกเขาคืนให้กับผู้ว่าการหลิวล่ะ?”

จริงอยู่ที่เขามีแผนที่จะยึดตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลลู่ แต่มันก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้

สิ่งแรกที่เขาจะต้องจัดการคือกองทัพของราชาหยาน

เมื่อถึงเวลานั้น ตราบใดที่เขาไปที่มณฑลลู่ ตำแหน่งผู้ว่าการก็จะเป็นของเขาโดยธรรมชาติ

เขาไม่จำเป็นต้องส่งมอบภารกิจใดๆ

….

ราชาหยานอยู่ในมณฑลซีหลิง มันอยู่ห่างจากมณฑลจูเหอไป 500 ลี้

แม้ว่าหยานเฉิงจะไม่ได้ขี่ม้า แต่เขาก็เป็นปรมาจารย์ขอบเขตควบรวมปราณ ดังนั้นแล้วฝีเท้าของเขาจึงเร็วมาก

เขาใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งวันในการกลับไปยังมณฑลซีหลิง

ในตอนนี้ มันก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว

และในขณะนี้ หวังชุนก็ยังไม่ได้ถูกตัดศีรษะในมณฑลจูเหอ

ทหารที่เฝ้าประตูเมืองจำหยานเฉิงได้และโค้งคำนับ

“ คารวะแม่ทัพหยาน”

หยานเฉิงไม่ได้รับอนุญาตให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพของราชาหยาน ดังนั้นเขาจึงเป็นได้เพียงแม่ทัพเท่านั้น

ในอดีต ทุกครั้งที่เขาได้ยินใครเรียกเขาว่าแม่ทัพ อารมณ์ของเขาก็จะแย่ลงมาก

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจเรื่องพวกนี้อีกแล้ว เขารีบพูดว่า “ รีบไปแจ้งฝ่าบาทว่าข้ามีรายงานด่วนมารายงาน มันเป็นเรื่องที่เร่งด่วนมาก!”

ในขณะนี้ หวังถง ราชาหยานที่กำลังกล่าวประกาศอยู่ในงานเลี้ยงก็หยุดพูดชั่วคราว

ที่พักชั่วคราวนี้ถูกดัดแปลงมาจากสำนักงานเทศมณฑลในอดีต มันไม่ได้ใหญ่นักแต่ก็ยิ่งใหญ่พอจะเรียกว่าวังได้

ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงราตรีของหวังถงได้นั้นก็ล้วนต้องเป็นคนสนิทที่สำคัญ

และมันก็มีทั้งหมดเพียงหกคนเท่านั้น

มณฑลซีหลิงทั้งหมดได้เงียบสนิทลงไปแล้ว ศพของประชาชนสามารถพบเห็นได้ทั่วทุกที่

แต่ในพระราชวัง มันก็กำลังเป็นเวลาแห่งความสุข

หวังถงนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ด้านบนและที่นั่งด้านล่างก็แบ่งออกเป็นสองแถว

ด้านหนึ่งมีข้าราชการทหารสามคนนั่งอยู่ ส่วนอีกด้านหนึ่งมีข้าราชการพลเรือนและพระสงฆ์สองรูปนั่ง

นักดนตรีเล่นดนตรีเอื่อยเฉื่อยอยู่ด้านหลังที่นั่งทั้งสองด้าน ขณะที่นางรำแสนสวยเก้าคนเคลื่อนย้ายร่ายรำอยู่ตรงกลาง

พวกเธอทั้งหมดเป็นเด็กสาวอายุ 16 ถึง 17 ปี พวกเธอสวมผ้าโปร่งบางที่แทบจะไม่สามารถปกปิดเรือนร่างของพวกเธอได้ ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเธอนั้นสวยงามอย่างไร้ที่ติ

นางรำทุกคนยิ้มแย้มและดูสงบเงียบสง่างาม

อย่างไรก็ตาม มันก็มีการขมวดคิ้วที่แทบจะมองไม่เห็นปรากฎอยู่บนใบหน้าของพวกเธอ

พวกเธอล้วนเป็นลูกสาวของประชากรในมณฑลซีหลิง

ในโลกที่วุ่นวายใบนี้ เมื่อสงครามมาถึง พวกเธอก็ถูกลดบทบาทลงเป็นของเล่นในทันที

การจ้องมองของหวังถงกวาดไปที่เหล่านางรำในขณะที่เขากำลังคิดถึงวิธีที่เขาจะเล่นสนุกกับเด็กสาวทั้งเก้าในค่ำคืนนี้

อย่างไรก็ดี ในขณะนี้ ทหารคนหนึ่งก็ได้พุ่งเข้ามาและคุกเข่าลงบนพื้น เขากล่าวด้วยความเคารพว่า “ ท่านแม่ทัพหยานกลับมาแล้ว เขาบอกว่ามีรายงานเร่งด่วนและเขาก็ต้องการจะรายงานมันให้กับท่านทราบเป็นการส่วนตัว!”

“ หยานเฉิง? เจ้าสุนัขนี่กลับมาเพียงคนเดียวหรอ?” หวังถงขมวดคิ้ว

เขาไม่พึงพอใจเป็นอย่างมากที่ถูกขัดจังหวะการจินตนาการอันสร้างสรรค์ของเขา

“ เรียนฝ่าบาท มันมีเพียงแม่ทัพหยานเท่านั้น” ทหารตอบ

“ ฮ่าฮ่าฮ่า! ยอดเยี่ยม!" หวังถงหัวเราะเสียงดัง เขายืนขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังชัดเจนว่า “ ต้องเป็นเขาแน่! มันจะต้องเป็นน้องชายที่แสนดีของข้าแน่ๆ เขาได้รับชัยชนะอย่างใหญ่หลวงมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้เจ้าสุนัขตัวนี้มาหาข้าเพื่อแจ้งข่าวดี!”

“ ให้เขาเข้ามาเร็วเข้า ตอนนี้ข้าอยากจะได้ยินแล้วว่าน้องชายที่แสนดีของข้านั้นได้ทำลายมณฑลจูเหอลงอย่างไร!”