ตอนที่ 169

บทที่ 169 : งานเลี้ยงตัวตึง

ทันทีที่เธอถามเรื่องนี้ จางซูหมิง, ฮุ่ยฉี, เฉินตงและหลิวหลี่เต๋าก็มองมาเช่นกัน พวกเขายังสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของมังกรเพลิงตัวน้อย

“ มันเกือบจะเทียบเท่ากับเซียนสวรรค์” ซุยเฮ็งยิ้ม

เทวา เซียนสวรรค์ ราชาสวรรค์!

เนื่องจากเคล็ดวิชาเก้าเพลิงมังกรเพลิงนั้นยังอยู่แค่ในระดับเริ่มต้นเท่านั้น มังกรเพลิงที่ได้รับการขัดเกลาจึงยังไม่แข็งแกร่งนักโดยธรรมชาติ มันอยู่เพียงขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นต้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม มันก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับพระโพธิสัตว์และเซียนปฐพีเหล่านั้น

เจิงหนานซุน, จางซูหมิงและคนอื่นๆ ตกตะลึงอีกครั้ง

เซียนสวรรค์!

มันเทียบได้กับเซียนสวรรค์จริงๆ หรอ?!

สมแล้วที่เป็นเทพเซียน!

นี่มันทรงพลังจริงๆ!

….

เสียงฝีเท้าของหวังตงหยางเร็วมาก

ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน เขาก็ได้นำเซียนมนุษย์อีกสองคนมาถึงยังหลางหยาแล้ว

ทันทีที่เขาเข้าไปในเมือง มันก็มีคนจากตระกูลหวังแห่งหลางหยามารอพบเขาและพาเขาและเซียนมนุษย์อีกสองคนไปที่คฤหาสน์ของตระกูลหวัง

แน่นอนว่าคนที่จัดการเรื่องนี้คือหวังตงหลิน

สิ่งนี้ทำให้หวังตงหยางประหลาดใจ

ในความประทับใจของเขา หวังตงหลินก็เป็นนายน้อยเจ้าสำราญเท่านั้น เขาไม่ได้สนใจเรื่องมารยาทมากนัก

แม้กระทั่งในครั้งนี้ เขาก็มาที่โลกเบื้องล่างในฐานะทูตสวรรค์

เขาไม่ได้คาดคิดว่าหลังจากไม่ได้พบกันมาเป็นเวลาสองเดือน อีกฝ่ายก็จะรู้ตัวแล้วว่าตนควรจะส่งคนมาต้อนรับเขาอย่างไร?

“ ดูเหมือนเขาจะยังเห็นหัวข้าอยู่บ้าง” หวังตงหยางคิดกับตัวเอง และมองหวังตงหลินในแง่ดียิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามาถึงคฤหาสน์ของตระกูลหวัง เขาก็รู้ว่าเขาคิดผิด

หลังจากที่หวังตงหลินเห็นเขา สิ่งแรกที่เขาถามก็คือ “ พี่ใหญ่ บอกข้าหน่อยสิว่าท่านเซียนผู้สูงส่งมีคำสั่งอะไร”

รอยยิ้มบนใบหน้าของ หวังตงหยางแข็งทื่อ

เห็นได้ชัดว่าหวังตงหลินไม่ได้รอต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นเพราะตัวเขาเอง

มันเป็นเพราะบารมีของซุยเฮ็งที่ตามเขามาด้วย

ไม่ว่าจะเป็นความอบอุ่นหรือความเคารพ พวกมันทั้งหมดก็มีไว้สำหรับซุยเฮ็ง

“ ท่านเซียนผู้สูงส่งต้องการให้เราจัดงานเลี้ยงและเชิญ…” หวังตงหยางพยายามสงบสติอารมณ์และเล่าถึงการตัดสินใจของซุยเฮ็งและสถานการณ์ของผลึกน้ำค้างสวรรค์ ในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ สำนักเซียนทั้งเก้านั้นสมควรตาย!”

“ พวกมันสมควรตายจริงๆ!” หวังตงหลินกัดฟัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

เขามาถึงขอบเขตเทพมานานแล้ว และเหตุผลที่เขายังไม่สามารถกลายเป็นเซียนมนุษย์ได้นั้นก็เป็นเพราะตระกูลหวังแห่งเจียงตงไม่มีเงินเพียงพอ

“ พูดตามตรง มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะต่อสู้กับสำนักเซียนทั้งเก้าและโถงพุทธมามกะเป่าหลินด้วยตัวของเราเอง” หวังตงหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ ต้องขอบคุณท่านเซียนผู้สูงส่งที่มอบโอกาสนี้ให้กับเรา เราต้องรับมันเอาไว้”

“ ถูกต้อง!” หวังตงหลินกำหมัดแน่น “ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสำนักเซียนฝึกอสูรจะยอมรับคำเชิญ แต่พวกเขาก็ยังมิอาจจะดึงดูดเหล่าเซียนและพระอรหันต์เข้ามาได้ทั้งหมด”

“ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโถงพุทธมามกะเป่าหลิน มากสุดมันก็คงจะมีเพียงพระโพธิสัตว์หนึ่งถึงสองคนเท่านั้นในสิบสององค์ที่จะมา แต่ก็เอาเถอะ ข้าได้วางแผนที่จะเพิ่มส่วนผสมเพิ่มเติมในรายการเอาไว้แล้ว”

“ ส่วนผสมอะไร?” หวังตงหยางถามอย่างสงสัย เขารู้สึกว่าน้องชายคนเล็กของเขาดูจะฉลาดขึ้นมาก

“ การเชิญจักรพรรดิต้าจินยังไงล่ะ!” หวังตงหลินเย้ยหยันและกล่าวว่า “ ผู้คนจากสำนักเซียนทั้งสี่อาจไม่สนใจจักรพรรดิต้าจิน แต่ชาวพุทธที่มุ่งเน้นไปที่การเทศนานั้นย่อมต้องสนใจเขาอย่างมากแน่นอน”

“ โถงพุทธมามกะเป่าหลินต้องการพลังของราชวงศ์มนุษย์เพื่อช่วยส่งเสริมสำนักและมอบพื้นที่ฝึกตนให้กับพวกเขา จากนั้นพวกเขาจึงจะสามารถเทศนาอย่างโง่เขลาและพัฒนาผู้ศรัทธาขึ้นมาอย่างรวดเร็วได้”

“ และตราบใดที่จักรพรรดิเว่ยอี้ได้รับเชิญเข้ามา โถงพุทธมามกะเป่าหลินก็จะให้ความสนใจกับงานเลี้ยงนี้และมีความกระตือรือร้นมากขึ้น”

“ เป็นความคิดที่ดีเลย เอาแบบนั้นแหละ!” ดวงตาของหวังตงหยางเป็นประกายเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ แต่เขาก็งงงวยเล็กน้อยเช่นกัน “ แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะเชิญจักรพรรดิต้าจินให้มาที่หลางหยา ถูกไหม?”

“ เฮ้ ข้าบอกมีวิธีก็มีสิ” หวังตงหลินหัวเราะเบาๆ แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะบอกหวังตงหยาง

….

หยูโจว ภูเขาแสงทอง

เมื่อเทียบกับในอดีต โถงพุทธมามกะเป่าหลินในปัจจุบันก็อาจกล่าวได้ว่ารกร้างขึ้นมาก

นอกจากพระในวัดแล้ว มันก็แทบจะไม่มีใครมาอีก

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระอรหันต์ที่เพิ่งมรณภาพไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน

ขณะนั้น เหล่าผู้คนที่มาถวายเครื่องหอมต่างก็ตกใจกลัวเป็นอย่างมาก

ท้ายที่สุดแล้ว พระอรหันต์องค์นั้นก็ถูกเรียกว่าร่างอวตารของพระพุทธเจ้าเป่าหลินแห่งโลกเบื้องล่าง

แม้แต่การจุติของพระพุทธเจ้าก็ยังสามารถตายได้ในทันที แบบนี้แล้วพวกเขาจะปกป้องคนอื่นได้อย่างไร?

นอกจากนี้ พระตูฟาจู่ๆ ก็เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน

สิ่งนี้ย่อมทำให้ผู้คนไม่อยากมายังที่แห่งนี้

ในขณะนี้ หลังจากที่พระโพธิสัตว์ทั้ง 12 องค์ลงมาจากโลกเบื้องบนและเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ในตอนแรกพวกเขาก็คิดว่าพวกเขามาผิดที่

หลังจากถามคงฮุ่ย เจ้าอาวาสคนปัจจุบันแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็มั่นใจได้ว่านี่คือโถงพุทธมามกะเป่าหลิน

เดิมคงฮุ่ยเป็นอดีตเจ้าอาวาสของโถงพุทธมามกะเป่าหลินและเป็นหนึ่งในเก้าพระศักดิ์สิทธิ์ที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษ

ในแง่ของความอาวุโส เขาก็เป็นหลานชายของพระตูฟา เขาได้สละตำแหน่งไปเมื่อหลายสิบปีก่อนและได้มอบตำแหน่งเจ้าอาวาสให้กับศิษย์ของเขา

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มันก็มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย เจ้าอาวาสเองก็ยิ่งรู้สึกหมดหนทาง

และในที่สุด หลังจากที่พระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์ปรากฏขึ้นและพระอรหันต์ลงมาจากท้องฟ้า เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถบริหารโถงพุทธมามกะเป่าหลินในปัจจุบันได้ดีอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงริเริ่มที่จะสละตำแหน่งเจ้าอาวาส

ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าอาวาสองค์ก่อนคงฮุ่ยจึงกลับเข้ามารับหน้าที่อีกครั้ง

หลังจากนั้นไม่นาน พระตูฟาและพระอรหันต์ก็มรณภาพ

หม้อใบใหญ่สองใบวางอยู่บนหัวของคงฮุ่ย

แม้แต่พระโพธิสัตว์ทั้ง 12 องค์ก็ยังไต่ถามเขาหลังจากลงมาแล้ว เหตุใดดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอารามพุทธอันดับหนึ่งของโลกจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้?

เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ คงฮุ่ยก็มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาจะสามารถทำได้

เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อโยนความผิดไปที่ซุยเฮ็ง!

อันที่จริง การที่พระอรหันต์ซวนคงตายกะทันหันนั้นก็เป็นเรื่องแปลกมาก มันไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับพระคงฮุ่ย ความจริงนั้นก็ไม่สำคัญ มันไม่เป็นไรตราบเท่าที่เขาไม่ถูกตำหนิใดๆ ก็ตาม

เนื่องจากพระตูฟาตกอยู่ในเงื้อมมือของซุยเฮ็ง มันจึงไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับเขาที่จะตำหนิการตายของพระโพธิสัตว์ซวนคงไปที่ซุยเฮ็งด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสัมพันธ์ของซุยเฮ็งกับสำนักเซียนอรุณและตำหนักเต๋าอี้ พระโพธิสัตว์ทั้งสิบสององค์จึงเข้าใจสถานการณ์นี้ได้ทั้งหมด พวกเขาระบุได้ทันทีว่าซุยเฮ็งเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของพวกเขา

หลังจากปรึกษาหารือกันทั้งวัน พระโพธิสัตว์ทั้งสิบสององค์ก็คิดกลยุทธ์ที่จะผนึกกำลังกับสำนักเซียนทั้งสี่และนำตระกูลขุนนางจำนวนมากไปสังหารซุยเฮ็งก่อน จากนั้นพวกเขาจึงจะทำลายสำนักเซียนอรุณและตำหนักเต๋าอี้เป็นลำดับต่อมา

จากนั้นปัญหาต่อไปก็คือการแจ้งให้กองกำลังอื่นทราบถึงกลยุทธ์นี้

มันจะเป็นการดีที่สุดหากพวกเขาสามารถหาที่นั่งและหารือกันเกี่ยวกับรายละเอียดของปฏิบัติการได้

เกี่ยวกับการเลือกสถานที่นี้ ห้องประชุมของโถงพุทธมามกะเป่าหลินก็ได้โต้เถียงกันมาหลายวันแล้ว

เหตุผลนั้นง่ายมาก พระโพธิสัตว์ทั้ง 12 องค์ต่างก็มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง และไม่มีทางรวมพวกเขาเข้าด้วยกันได้

พวกเขาทั้งหมดอยู่ในระดับเดียวกัน พวกเขาไม่มีแม้แต่ผู้นำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถตัดสินใจได้ในระยะเวลาสั้นๆ

นี่เป็นเพราะผู้ที่ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินการต่อไปอีกในอนาคต

การตัดสินใจเจรจาง่ายๆ นี้ โดยพื้นฐานแล้วมันก็คือการตัดสินหาตัวผู้นำ

และด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงโต้เถียงกันอย่างไม่รู้จบ

อย่างไรก็ตาม วันนี้ก็ไม่มีการโต้เถียงกันในห้องประชุมอีกต่อไป สายตาของพระโพธิสัตว์ทั้ง 12 จ้องมองมาที่คงฮุ่ยแทนเจ้าอาวาส

ดวงตาของพระคงฮุ่ยเบิกกว้าง แต่เขาก็ยังคงหายใจเข้าลึกๆ และกล่าวว่า “ เรียนเหล่าพระโพธิสัตว์ ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่าตระกูลหวังแห่งหลางหยาต้องการจะจัดงานเลี้ยงเพื่อหารือเกี่ยวกับการโจมตี”

“ งานเลี้ยงนี้จัดขึ้นเป็นพิเศษเพื่อปราบปรามซุยเฮ็ง พวกเขาได้เชิญทุกคนบนโลกที่ต้องการจะฆ่าซุยเฮ็งให้ไปหาพวกเขา นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังได้ส่งคำเชิญไปยังตระกูลขุนนางต่างๆ สำนักเซียนทั้งห้าและโถงพุทธมามกะเป่าหลินของเรา”

“ ไม่ทราบว่าพวกท่านคิดอย่างไรกันบ้าง?”