“เจ้าวิหารไป่ ศักยภาพของลูกน้องของข้าเป็นยังไงบ้าง?”
โจวโจวมองไปที่ไป่เหอและกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ข้าถือว่าติดห้าอันดับแรกของอัจฉริยะแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์เลย”
ไป่เหอเงียบไปสักพักก่อนที่จะพูดออกมา
เขาเหลือบมองไปยังโจวโจวและนึกถึงพระคาร์ดินัลที่อยู่เคียงข้างเขาที่สามารถชุบชีวิตผู้กล้าและเหล่ายอดฝีมือได้อีกมากมาย อีกทั้งยังมีลูกน้องเผ่าพันธุ์มังกรอีก เขารู้สึกซับซ้อนขึ้นมาเล็กน้อย
ทำไมเด็กคนนี้ถึงมีผู้มีพรสวรรค์อยู่รอบตัวมากมายขนาดนี้?
เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนที่รู้ครั้งแรกว่าเจตจำนงสูงสุดกำลังจะดึงดูดลอร์ดจากทุกเผ่าพันธุ์มาเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าแห่งลอร์ดสรรพเผ่าพันธุ์
ในเวลานั้น เขาก็รู้สึกว่าแม้เจตจำนงสูงสุดจะมอบสุดยอดพรสวรรค์ให้กับคนพวกนี้ แต่พวกเขาก็คงจะไม่สามารถเอาชนะลอร์ดผู้มีประสบการณ์เช่นพวกเขาได้
สิ่งมีชีวิตพื้นเมืองบนทวีปจื้อเกาได้ดำเนินกิจการในทวีปจื้อเกาและโลกอื่นๆ มาเป็นเวลานานมากแล้ว ดังนั้นรากฐานของพวกเขาจึงลึกล้ำมาก
ลอร์ดสรรพเผ่าพันธุ์เหล่านี้เพิ่งมาถึง พวกเขาจะทำอะไรได้แม้ว่าพวกเขาจะมีพรสวรรค์อันน่าทึ่ง?
แต่ในตอนนี้ที่เขาเห็นเจ้าตะวันสาดแสงที่มีวิธีการอันมากมายและมีผู้พรสวรรค์หลายต่อหลายคน ความคิดของเขาก็เริ่มเอนเอียงแล้ว
เป็นไปได้ไหมว่าเจตจำนงสูงสุดคาดหวังสิ่งนี้มานาน ดังนั้นเขาจึงยอมแพ้และเลือกลอร์ดสรรพเผ่าพันธุ์จากโลกทุกใบมา?
เขาคิดอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ลอบถอนหายใจออกมาและหยุดคิดเกี่ยวกับมัน
มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาคิด
“งั้นเจ้าวิหารไป่จะตกลงกับคำขอของข้าไหม?”
“พระคาร์ดินัลของเจ้าสามารถชุบชีวิตผู้กล้าระดับไหนได้แล้ว?”
ไป่เหอมองมาที่เขาและถาม
“ผู้กล้าระดับเหนือสามัญขั้นกลางลงมาขอรับ”
โจวโจวกล่าว
“ระดับของผู้ที่ถูกชุบชีวิตยังต่ำเกินไป”
ไป่เหอขมวดคิ้ว
“ข้าไม่มีทางเลือก ถ้าอยากเพิ่มระดับการชุบชีวิต ข้าก็ต้องเพิ่มระดับของดินแดนซะก่อน นอกจากนี้ ข้าก็ยังมีสิ่งที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการชุบชีวิตไม่ครบ ข้ายังไม่สามารถให้เธอชุบชีวิตผู้กล้าให้กับท่านได้ในตอนนี้ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะหาสิ่งจำเป็นที่ว่านั้น”
โจวโจวกล่าว
สิ่งจำเป็นที่เขาพูดถึงย่อมหมายถึงไอเท็มอย่างคริสตัลเทวะศรัทธาระดับจิตบริสุทธิ์
อย่างไรก็ตาม เขาก็สามารถดรอปมันได้ 2-3 วันต่ออันแม้ว่ามันจะหายากก็ตาม ดังนั้นโจวโจวจึงไม่ได้กังวลว่าจะทำให้การชุบชีวิตล่าช้า
ไป่เหอมองมาที่เขาอย่างพูดไม่ออก
งั้นเจ้าก็ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยและต้องการได้รับมรดกผู้กล้าระดับเทพไปจากข้าเพียงแค่ใช้ลมปากงั้นเหรอ?
เขาส่ายหัวอยู่ในใจและไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะความสามารถในการชุบชีวิตของอีกฝ่ายนั้นเป็นของจริง
ตราบใดที่เขามีความสามารถนี้ ทุกสิ่งก็ล้วนเป็นเรื่องเล็ก
เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะและพูดออกมาว่า “เรื่องนี้ป็นเรื่องสำคัญมาก ข้าต้องจัดการประชุมระดับเบื้องบนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่อย่าคิดมากเกี่ยวกับมัน มันมีโอกาส 80% ที่เรื่องนี้จะผ่านไปด้วยดี”
โจวโจวพยักหน้าและยิ้มออกมา
เขาไม่กล้ารับประกันอะไรก่อนที่จะมา แต่ตอนนี้เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้วที่เห็นว่ามันได้ผลจริงๆ
ในเวลานั้นเอง แสงสีแดงโลหิตก็ปะทุขึ้นในระยะไกล
แสงสีพุ่งตรงไปที่หลังคาของโถงวิญญาณผู้กล้า จากนั้นมันก็ไม่สนใจหลังคาและทะลุผ่านไปในทันที สุดท้าย มันก็พุ่งไปที่ท้องฟ้าราวกับแสงที่แหลมคม
ภาพฉากนี้ทำให้โจวโจวอึ้งไป
เกิดอะไรขึ้น?!
โถงวิญญาณผู้กล้าถูกรุกรานงั้นเหรอ?!
เขาต้องการปกป้องลูกน้องของเขาอย่างซวีอันโดยจิตใต้สำนึก และพาเขาออกไปจากสถานที่อันแสนอันตรายแห่งนี้ทันที
แต่ในทันใดนั้นเอง เขาก็ตระหนักได้ว่าซวีอันที่อยู่ด้านหลังของเขาเมื่อครู่ได้หายไปแล้ว
เขารีบมองไปรอบๆ และในที่สุดก็พบร่างที่พร่ามัวซึ่งมีแสงสีดำอยู่
มันคือซวีอัน!
หัวใจของโจวโจวเต้นผิดจังหวะ
เด็กคนนี้คงไม่ได้วิ่งไปรอบๆ และกระตุ้นกลไกพิเศษบางอย่างในสถานที่สำคัญของเผ่าพันธุ์มนุษย์หรอกใช่ไหม?
โจวโจวไม่สงสัยเลยว่ามันต้องมีกลไกป้องกันจำนวนมากที่สามารถฆ่าคนได้ทันที
เขาเหลือบมองไป่เหอที่อยู่ข้างๆ และอึ้งไป
ไป่เหอเองก็อึ้งไปเล็กน้อยในตอนแรก แต่ในไม่ช้า สีหน้าของเขาก็ดูแปลกไป
“ดูเหมือนว่าสหายตัวน้อยผู้นี้ของเจ้าจะทำให้ผู้อาวุโสคนหนึ่งของพวกเราชื่นชอบมากเลย”
ไป่เหอมองไปยังโจวโจวและส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพึงพอใจ
“ท่านหมายความว่ายังไง?”
โจวโจวอึ้ง
ไป่เหอไม่ได้พูดอะไรออกมาและเดินเข้าไปหาซวีอัน
เมื่อเห็นเช่นนั้น โจวโจวก็เดินตามเขาไปในทันที
ทั้งสองคนเดินมาถึงทางด้านหลังของซวีอันอย่างรวดเร็ว
ในเวลานั้นเอง ซวีอันและรูปปั้นวิญญาณผู้กล้าร่างหนึ่งก็กำลังโอบล้อมอยู่ในแสงสีแดงโลหิต
ในขณะนี้ เขาก็กำลังสวมชุดนักฆ่าสีแดงโลหิตตั้งแต่หัวจรดเท้า ดาบเงาโลหิตบนหลังของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง และเปล่งเสียงคำรามของดาบที่คมชัดและดุร้าย
โจวโจวมองไปยังรูปปั้นวิญญาณผู้กล้านั้น
นี่เป็นรูปปั้นของวิญญาณผู้กล้านักดาบ เขามัดผมยาวและสวมชุดลำลองสีดำ เขาถือดาบสีเลือดและยืนอยู่บนศิลาสงบวิญญาณซึ่งกำลังมองออกไปในระยะไกล ภาพฉากนี้ดูธรรมดามาก แต่ในโถงวิญญาณผู้กล้าที่มีวิญญาณผู้กล้ามากกว่า 300 ตนมารวมตัวกัน คนที่ดูธรรมดานี้ก็กลายเป็นคนที่ดูโดดเด่นที่สุด
โจวโจวมองไปยังรูปปั้นบนศิลาสงบวิญญาณ และเขาก็ต้องประหลาดใจ
[ผู้กล้าอสูรดาบเงาโลหิตระดับเทพชั้นสูง]
คนผู้นี้มีชื่อว่าลั่วอี้
เขาถูกรับเลี้ยงโดยองค์กรนักฆ่าจากต่างเผ่าพันธุ์มาตั้งแต่ยังเด็ก องค์กรนักฆ่าได้เลี้ยงดูเขาในฐานะนักฆ่า ในเวลานั้นเขาไม่รู้ว่าเขาเป็นมนุษย์ ในที่สุดเขาถูกปลูกฝังแนวคิดว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตจากเผ่าพันธุ์อื่นโดยคนขององค์กรนักฆ่าต่างเผ่าพันธุ์นับตั้งแต่ยังเด็ก
และจากนั้น เขาก็ส่งองค์กรนักฆ่านี้ส่งมาเพื่อลอบสังหารเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในสายตาของคนนอก พฤติกรรมขององค์กรนักฆ่านี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นวิธีการบ่มเพาะในทางที่ผิดที่คร่าชีวิตผู้คน แต่เป้าหมายของพวกเขาคือทำให้ลั่วอี้รู้ว่าจะไม่มีการหันหลังกลับหลังจากที่เขาตื่นขึ้นและยอมจำนนต่อองค์กรนักฆ่านี้โดยสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ลั่วอี้กลายเป็นผู้ใหญ่และกลายเป็นมือสังหารอันดับหนึ่งขององค์กรนี้ เขาก็รู้ว่าเขากำลังลอบสังหารพวกพ้องของเขาเอง แม้ว่าในตอนแรกเขาจะเจ็บปวดมาก แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องจมดิ่ง เขากลับตัดสินใจแบกรับบาปของการลอบสังหารเผ่าพันธุ์ของเขาเอง และเล็งดาบเงาโลหิตในมือของเขาไปยังองค์กรนักฆ่าที่เลี้ยงดูเขาหรือแม้แต่กลุ่มของเผ่าพันธุ์ที่อยู่เบื้องหลังเพื่อดำเนินการเดินทางแห่งการสำนึกผิด
ในวันที่เขามีความสำนึกเช่นนั้น เขาก็ได้กลายเป็นผู้กล้า! นอกจากนี้มันยังเป็นผู้กล้าที่มีระดับโชคชะตาถึงระดับเทพชั้นต่ำ!
หลังจากผ่านวันเวลามา ลั่วอี้ก็ได้ใช้ดาบเงาโลหิตในมือเพื่อลอบสังหารกลุ่มลอร์ดระดับสูงที่มีเจตนาร้ายต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์! จากระดับเบื้องบนของฝ่ายลอร์ดระดับอาณาจักรไปจนถึงระดับเบื้องบนของฝ่ายลอร์ดระดับจักรวรรดิ แม้แต่เบื้องบนของฝ่ายลอร์ดระดับอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ก็ด้วย!
วิธีการลอบสังหารของเขานั้นยอดเยี่ยมและไม่อาจหยั่งรู้ได้ แม้แต่ระดับเทพแท้จริงก็ไม่สามารถหยุดการลอบสังหารของลั่วอี้ซึ่งอยู่ในระดับเทพชั้นกลางในตอนนั้นได้
ในเวลานั้น มันก็กล่าวได้ว่าเขาได้พิสูจน์ความน่ากลัวของอาชีพนักฆ่าได้เพียงลำพังแล้ว!
ในช่วงที่ชื่อเสียงของดาบเงาโลหิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างลั่วอี้อยู่ในจุดสูงสุด ลอร์ดจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนที่มีเจตนาร้ายต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ล้วนหวาดกลัว หวาดกลัวว่าแสงสีโลหิตจะกะพริบที่มุมหนึ่งของเงาและดับชีพของพวกเขา!
ในยุคที่ระดับเทพอาวุโสไม่ปรากฏขึ้นแล้ว ลั่วอี้ก็แทบจะไม่มีศัตรูเหลืออยู่เลย มันมีเพียงระดับเทพแท้จริงเท่านั้นที่สามารถคุกคามเขาได้ แต่พวกเขาก็สามารถบังคับให้เขาล่าถอยไปได้เท่านั้น และไม่อาจจัดการกับเขาได้
จนกระทั่งเขาแก่ชรา ลั่วอี้ซึ่งอยู่ในระดับเทพชั้นสูงขั้นสูงและมีโชคชะตาผู้กล้าระดับเทพชั้นสูงก็ได้ต่อสู้กับคนในระดับเทพแท้จริงของต่างเผ่าพันธุ์ ณ ดินแดนอันแสนไกล
สุดท้าย คนในระดับเทพแท้จริงของต่างเผ่าพันธุ์ผู้นั้นก็ได้กลับไปยังเผ่าพันธุ์ของตนพร้อมกับอาการบาดเจ็บสาหัสและตายลงหลังจากนั้นไม่นาน
ส่วนลั่วอี้ก็หายตัวไปด้วย…