ตอนที่ 109

บทที่ 109 พระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์?

ในวันนี้ ฮุ่ยฉีได้กลับมาที่มณฑลลู่พร้อมกับอู๋หยิน

ในตอนที่เขาอยู่ในเขตฉางเฟิง เขาได้คุยกับฮุ่ยฉีทั้งวันทั้งคืน เนื้อหาของการสนทนาโดยพื้นฐานแล้วเกี่ยวข้องกับนโยบายใหม่ของซุยเฮ็งและสถานการณ์ต่างๆ ที่เขาพบในตอนที่นำไปใช้ทั่วทั้งมณฑลลู่

หลังจากคุยกันเสร็จ อู๋หยินก็ดูราวกับจะกลายเป็นบ้าไปแล้ว เขาจัดการกับงานราชการเป็นเวลาสองวันสองคืนโดยไม่หลับไม่นอนเพราะต้องการจะติดตามฮุ่ยฉีกลับไปยังมณฑลลู่เพื่อไปเยี่ยมซุยเฮ็ง

หลังจากมาถึงมณฑลลู่ เขาก็ไม่ได้ไปทักทายเขาโดยตรง

เหมือนกับที่โจวหงอี้ทำก่อนหน้านี้ เขาหาที่พักก่อนและวางแผนที่จะทำจิตใจและร่างกายให้บริสุทธิ์ก่อนที่จะไปเข้าพบ

“ เจ้าลักพาตัวผู้ว่าการเขตฉางเฟิงมาที่นี่หรอ!” เมื่อซุยเฮ็งได้ยินข่าวนี้ เขาก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา เขามองดูข่าวนี้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ ข้าไม่นึกเลยว่าผู้ชายคิ้วหนาตาโตอย่างเจ้าจะรู้จักวิธีการลักพาตัวกับเขาด้วย”

“…” ฮุ่ยฉีไม่เข้าใจเรื่องตลกนี้และอธิบายด้วยความสับสน “ นายท่าน ท่านอู๋เป็นฝ่ายยืนกรานที่จะติดตามข้ามาเอง ดูเหมือนว่าเขาจะชื่นชมวิธีการบริหารของท่านมาก”

“ แล้วสถานการณ์ในเขตฉางเฟิงเป็นยังไงบ้าง?” ซุยเฮ็งถามอย่างเป็นกันเอง เขาต้องการจะยืนยันว่าผู้ว่าการคนนี้ทำงานจริงหรือไม่

“ ชีวิตของประชาชนไม่ถือว่าดีนัก แต่มีสัญญาณของการปกครองที่เหมาะสม” ฮุ่ยฉีอธิบายข้อมูลที่เขาได้รับมาจากผู้คนในเขตฉางเฟิง

“ ในกรณีนี้ ผู้ว่าการรัฐคนก่อนของเฟิงโจวก็สมควรตายแล้วจริงๆ” ซุยเฮ็งพยักหน้าเห็นด้วย เขานึกถึงความสามารถของอู๋หยินและยิ้มขึ้นในทันที “ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เจ้ารู้แล้วหรือยังว่าใครเป็นคนลอบสังหารเฉาฉวน?”

“ ข้ายังไม่เคยได้ยินข่าวใดๆ เลย นอกจากนี้ มันก็ดูเหมือนมันจะไม่มีใครสนใจเรื่องนี้” ฮุ่ยฉีกล่าวพร้อมกับส่ายศีรษะ “ ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็กำลังต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ ดังนั้นแล้วใครมันจะไปสนใจว่าคนก่อนจะตายอย่างไร”

“ นั่นก็จริง อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ยินคำอธิบายของเจ้าเกี่ยวกับผู้ว่าการอู๋ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่า…” ซุยเฮ็งหัวเราะเบาๆ “ บางทีเฉาฉวนอาจจะตายเพราะฝีมือของผู้ว่าการอู๋คนนี้หรืออะไรทำนองนั้น”

“ เขาเนี่ยหรอ?” ดวงตาของฮุ่ยฉีเบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ นั่นเป็นไปไม่ได้ เขารู้เกี่ยวกับวรยุทธ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกอย่าง เขาก็ยังอยู่แค่ขอบเขตปรับกายาเท่านั้น”

“ เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้วรยุทธ์เพื่อฆ่าคน” ซุยเฮ็งยิ้มและไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเปลี่ยนหัวข้อและพูดว่า “ ยังไงก็ตาม เจ้าเพิ่งบอกว่าผู้ว่าการมณฑลลั่วอันได้แบ่งส่วนภาษีของพวกเขากันแล้วใช่ไหม?”

“ ใช่แล้วนายท่าน” ฮุ่ยฉีพยักหน้า “ ผู้คนในมณฑลลั่วอันต่างก็ทุกข์ยากจนเกินจะจินตนาการ เหรินหยวนคุยวางแผนที่จะใช้ภาษี 90% ของรัฐเฟิงโจวเพื่อแลกกับการสนับสนุนในการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ”

“ เขากำลังรนหาที่ตายชัดๆ” ซุยเฮ็งหัวเราะเยาะ “ หลังจากที่ข้ากลายเป็นผู้ว่าการรัฐเมื่อไหร่ จงไปที่มณฑลลั่วอันภายในนามของข้าและประหารหัวไอ้สารเลวนี่ซะ สถานที่แรกที่จะเริ่มบังคับใช้นโยบายใหม่จะเป็นมณฑลลั่วอัน”

เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็หยุดชั่วขณะก่อนที่จะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้มันก็เท่ากับการตบหน้าเหรินหยวนคุยต่อนหน้าทุกคน แบบนั้นแล้วมันไม่มีใครมาเอาเรื่องเจ้าบ้างหรอ?”

“ เขาคงไม่กล้าหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ได้ยินการคาดเดาของพวกเขาเกี่ยวกับท่านมาแล้ว” ฮุ่ยฉีบอกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เหรินหยวนคุยและเว่ยเซียงพูดคุยกันว่าซุยเฮ็งนั้นเป็นเพียงหมากของตำหนักเต๋าอี้เท่านั้น

แม้ว่าเหรินหยวนคุยและเว่ยเซียงจะกำลังคุยกันอยู่ในห้องโถงด้านใน แต่ฮุ่ยฉีก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนเทียนแล้ว ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาเฉียบคมมาก ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับเขาที่จะได้ยินการสนทนาของพวกเขา

“ สรุปแล้วพวกเขาก็มองข้าเป็นเพียงหมากเบี้ยของตำหนักเต๋าอี้เองสินะ” ซุยเฮ็งยิ้ม ด้วยความคิด เขาก็เคาะโต๊ะเบาๆ แล้วพูดว่า “ ไปเชิญนักพรตโจวมา”

“ ตามท่านบัญชา” ฮุ่ยฉีระงับรอยยิ้มและตำหนิตัวเองในใจ

….

ในปัจจุบัน โจวหงอี้ก็ถูกจัดให้อยู่ในที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานเทศมณฑล

ท้ายที่สุดแล้ว มันก็สะดวกสำหรับเขาที่จะไปเข้าพบซุยเฮ็ง

นักพรตเต๋าผู้นี้มักจะคอยมองหาซุยเฮ็งอยู่ทุกๆ วัน

นับตั้งแต่กองกำลังพันธมิตรของตระกูลหวังและตระกูลเซี่ยถูกทำลายลง เขาก็ได้พิจารณาแล้วว่าซุยเฮ็งนั้นเป็นเทพเซียน การดำรงอยู่สูงสุดที่เข้าใจถึงเต๋าอันยิ่งใหญ่

ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงมักขอร้องให้ซุยเฮ็งสอนสิ่งต่างๆ ให้กับเขา

ตามความคิดของเขา เขาก็กำลังฟังเสียงของเต๋าอันยิ่งใหญ่และกำลังเข้าใกล้มันทีละนิด

แน่นอนว่าซุยเฮ็งเองก็ไม่ได้ปฏิเสธคำขอเล็กน้อยเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังบอกเป็นนัยเป็นครั้งคราวว่าเขามีเคล็ดวิชาเซียนที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านี้ แต่จางซูหมิงก็ต้องมาหาเขาเองเป็นการส่วนตัว

ในความเป็นจริง หลังจากที่โจวหงอี้ได้รับคำแนะนำจากซุยเฮ็ง วรยุทธ์ของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าเขากำลังจะทะลวงไปสู่ขอบเขตที่สูงขึ้น

สิ่งนี้ทำให้เขาโหยหาเคล็ดวิชาเซียนระดับสูงมากยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากทำลายกองกำลังพันธมิตรของตระกูลหวังและตระกูลเซี่ยไปได้ไม่นาน โจวหงอี้จึงได้ส่งข้อความถึงอาจารย์ของเขา จางซูหมิง โดยขอให้เขารีบมาที่มณฑลลู่เพื่อทำความเข้าใจความหมายของเต๋าอันยิ่งใหญ่

นอกจากนี้ เขาก็ยังบอกให้จางซูหมิงเตรียมของขวัญติดไม้ติดมือมาด้วย

ท้ายที่สุดแล้ว คำสอนของเต๋าก็ไม่สมควรที่จะถูกส่งต่อมาโดยง่ายๆ แล้วนับประสาอะไรกับความเข้าใจในเต๋าอันยิ่งใหญ่ที่สามารถทำได้เพียงเสี่ยงโชคเพื่อเรียนรู้ได้เท่านั้น?

พวกเขาไม่สามารถมามือเปล่าได้อย่างแน่นอน!

พูดง่ายๆ โจวหงอี้ก็ได้ให้ความเคารพต่อซุยเฮ็งเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เอง ใครๆ จึงสามารถจินตนาการได้ถึงปฏิกิริยาของเขาหลังจากได้ยินคำอธิบายของฮุ่ยฉี

“ อะไรนะ?!”

โจวหงอี้กระโดดขึ้นมาด้วยความตกใจ เขาเกือบจะเอาหัวโขกคานบ้าน และสิ่งที่ตามมาก็คือความตื่นตระหนกอย่างมาก “ ท่านเฉิน ท่านเทพเซียนไม่ได้ตำหนิข้าใช่ไหม?”

เขาตื่นตระหนกมากจริงๆ เขาแทบจะก้มลงกราบและพูดกับฮุ่ยฉีด้วยความเคารพ

“ อย่ากังวลไป นายท่านแค่หยอกล้อท่านก็เท่านั้นเอง” ฮุ่ยฉีพูดด้วยรอยยิ้ม “ ไปกันเถอะ ท่านผู้ว่าการกำลังรอท่านอยู่”

“ ดีดีดี!” โจวหงอี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจากไปพร้อมกับฮุ่ยฉี เขาก็ได้สั่งหลิวจื่อเจินว่า “ จื่อเจิน เขียนจดหมายแทนข้าที บอกเขาว่าให้เขารีบมาเร็วๆ ได้แล้ว”

และหลังจากพูดเสร็จ เขาก็รีบวิ่งตามฮุ่ยฉีออกไปในทันที

“ เอ่อ ข้า…” หลิวจื่อเจินเปิดปากพูด แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าโจวหงอี้ได้หายตัวไปนานแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะกลอกตา “ เขากำลังจะฆ่าข้า! ข้าจะต้องเขียนบอกท่านเจ้าสำนักยังไงล่ะเนี่ย!”

แม้ว่าโจวหงอี้และจางซูหมิงจะเป็นศิษย์อาจารย์กัน แต่พวกเขาก็มีปฏิสัมพันธ์กันเหมือนเพื่อนเก่า ดังนั้นโดยปกติแล้ว พวกเขาจึงมักจะพูดอย่างเป็นกันเองซะมากกว่า และนอกเหนือจากความเคารพที่จำเป็นแล้ว พวกเขาก็แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากเพื่อนกันเลย

เมื่อนึกถึงการเขียนถึงท่านเจ้าสำนักด้วยสำเนียงของหงอี้ หลิวจื่อเจินก็กระวนกระวายเล็กน้อย

….

“ นักพรตโจวมาถึงแล้วสินะ?” ซุยเฮ็งหันมองไปที่โจวหงอี้ด้วยรอยยิ้มมุมปาก

“ ท่านเทพเซียน ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์!” โจวหงอี้รีบอธิบาย “ อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของคนนอก ตำหนักเต๋าอี้ของข้าไม่มีวันจะ…”

“ ตกลง ข้าจะไม่ถือสาเรื่องนี้” ซุยเฮ็งโบกมือและส่ายหัว “ ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่เพื่อถามอะไรเจ้าบางอย่าง จางชูหมิงผู้สมบูรณ์แบบจะมาถึงเมื่อใด?”

“ ตราบเท่าที่จดหมายส่งถึงท่านอาจารย์ เขาก็น่าจะมาถึงโดยเร็ว” โจวหงอี้เองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นเพราะเขาไม่แน่ใจว่าจดหมายของเขาจะส่งไปถึงเมื่อใด

ท้ายที่สุดแล้ว มณฑลลู่ก็อยู่ห่างจากภูเขาบุหงาบูรพาค่อนข้างไกล

“ เข้าใจแล้ว” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อย

จากนั้น จู่ๆ เขาก็หยิบกล่องเคลือบเงาที่สวยงามออกมาจากแขนเสื้อของเขาและพูดกับโจวหงอี้และฮุ่ยฉีว่า “ เนื่องจากผู้สมบูรณ์แบบจางยังไม่สามารถมาที่นี่ได้ในขณะนี้ ดังนั้นข้าจึงมีบางอย่างที่จะให้พวกเจ้าก่อน ลองเปิดดูสิ”

กล่องเคลือบเงานี้มีขนาดเท่าฝ่ามือและมีการออกแบบที่สวยงาม มันดูเหมือนกับว่ามันถูกใช้เพื่อเก็บของหายากบางอย่าง

โจวหงอี้และฮุ่ยฉีมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เข้าใจว่าซุยเฮ็งหมายถึงอะไร

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าไปพร้อมกันเพื่อเปิดกล่องเคลือบเงา

จากนั้นทั้งสองคนก็ตกตะลึง

โดยเฉพาะฮุ่ยฉี เขามองดูสิ่งของภายในกล่องเคลือบเงาขณะที่ปากของเขาอ้าค้างและอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ นี่คือพระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์?! พระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์ในตำนาน?!”

ภายในกล่องเคลือบเงามีกระดูกหยกสีขาวโปร่งแสงเป็นประกายวางอยู่ นอกจากนี้ มันก็ยังมีพลังแห่งความเมตตาและแสงสว่างที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งแผ่ออกมาจากภายใน มันทำให้รู้สึกราวกับว่ามันเป็นแสงแห่งพุทธในตำนาน

โจวหงอี้เป็นคนที่มีความรู้ เมื่อเขาเห็นพระธาตุหยกขาวในกล่องเคลือบเงา เขาก็ไม่สามารถซ่อนความตกใจเอาไว้ได้และพึมพำว่า “ พระธาตุหยกพระโพธิสัตว์... นี่เทียบได้กับซากศพของเซียนปฐพี!”

“ ถ้ายอดฝีมือขอบเขตเทพได้รับมันมา เขาก็จะสามารถปรับแต่งจนกลายเป็นพระอรหันต์ได้ และถ้าใครได้รับมันในขอบเขตอรหันต์ พวกเขาก็จะสามารถปลดปล่อยพลังของขอบเขตโพธิสัตว์ได้!”

พวกเขาสองคนรู้สึกว่าจิตใจของพวกเขากำลังตกอยู่ในความยุ่งเหยิง และพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดซุยเฮ็งจึงนำสมบัติชิ้นนี้ออกมา

“ จะเกิดอะไรขึ้นหากสมบัติชิ้นนี้ปรากฏขึ้นในหยูโจว?” ซุยเฮ็งถามด้วยรอยยิ้ม

“ นายท่านจะต้องล้อเล่นแน่ๆ” ดวงตาของฮุ่ยฉีเต็มไปด้วยความประหลาดใจในขณะที่เขากล่าวว่า “ ไม่ต้องพูดถึงหยูโจวเลย ตราบใดที่สมบัติชิ้นนี้ปรากฏขึ้น ไม่ว่าใครจะอยู่ที่ใด แม้แต่ในทุ่งหญ้า, ถิ่นทุรกันดารทางใต้ หรือดินแดนรกร้างทางตะวันตกนอกต้าจิน มันก็จะ ดึงดูดคนทั้งโลกให้มาต่อสู้เพื่อมันอย่างแน่นอน”

“ อืม” ทันใดนั้นซุยเฮ็งก็ยืนขึ้นและพูดกับพวกเขาทั้งสองว่า “ อีกสักครู่หนึ่ง พวกเจ้าจะต้องนำพระธาตุกล่องนี้ไปส่งที่ชายแดนของหยูโจว พวกเจ้าจะต้องอยู่ห่างจากภูเขาแสงทองเอาไว้ มิฉะนั้นหากพวกเขาได้รับมัน มันก็คงจะไม่ส่งผลดีแน่”

“ เอ่อ?!” ฮุ่ยฉีเกือบจะคิดว่าเขาได้ยินผิดเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครืออย่างเหลือเชื่อว่า “ นายท่าน ท่านกำลังจะโยนพระธาตุหยกของพระโพธิสัตว์นี้ทิ้งไปหรอ?”

“ …” โจวหงอี้เองก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาเกือบจะคิดว่าเขาเห็นภาพหลอน แม้แต่ตำหนักเต๋าอี้ซึ่งมีรากฐานมากว่า 10,000 ปีก็ยังไม่มีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้

แต่นี่เขากลับกำลังจะโยนมันทิ้งไปอย่างงั้นหรอ?!

“ ข้ายังมีงานต้องทำ และข้าก็ไม่ต้องการให้ใครมารบกวนข้า” ซุยเฮ็งมองไปที่ทั้งสองคนอย่างใจเย็นและพูดว่า “ ทำตามที่ข้าบอกก็พอ”

ภายใต้การจ้องมองของซุยเฮ็ง หัวใจของฮุ่ยฉีและโจวหงอี้ก็สั่นสะท้าน พวกเขารู้สึกได้ถึงออร่าความเย็นยะเยือกที่พุ่งตรงมาที่หัวใจของพวกเขา

จากนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าเพราะความตกใจอย่างมากของพวกเขา พวกเขาจึงเกือบจะเสียสติไปแล้ว

“ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของท่าน ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน!”

ทั้งสองคนกล่าวพร้อมกันและเดินออกจากห้องไป

“ สมบัติพระอรหันต์?”

ซุยเฮ็งหัวเราะเบาๆ

จากนั้นเขาก็หยิบกล่องอาหารออกมาจากใต้โต๊ะ

ข้างในเป็นกองกระดูกไก่ที่ถูกทิ้งไว้จนแห้ง

เขาหยิบกระดูกไก่ขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วเขย่ามันเบาๆ

ในชั่วพริบตา พระธาตุหยกพระโพธิสัตว์อีกชิ้นหนึ่งก็ได้ปรากฎขึ้น!