ตอนที่ 61

บทที่ 61: สำนักและตระกูลใหญ่ ของดีแบบนี้มีจริงหรอ

ในห้องรับแขกของสำนักงานเทศมณฑล มณฑลจูเหอ

ซุยเฮ็งนั่งอยู่บนเก้าอี้ในขณะที่ซูเฟิงอันยืนอยู่ข้างหลังเขาราวกับเป็นผู้ติดตาม

หลิวหลี่เต๋าพาเฉียนคังมาที่นี่ด้วยและมองไปที่ซูเฟิงอัน เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายดูคุ้นเคยมาก แต่เขาก็จำไม่ได้ว่าเขาเคยพบอีกฝ่ายที่ไหนมาก่อน

จากนั้นความสนใจของเขาก็มุ่งเป้สไปที่ซุยเฮ็ง

ผู้ว่าการมณฑลจูเหอคนนี้ดูไม่มีความตั้งใจที่จะยืนขึ้นและโค้งคำนับเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่ได้ทำให้หลิวหลี่เต๋ารู้สึกไม่พอใจ

เขาหาที่นั่งว่างและนั่งลง เขาเริ่มบทสนทนาด้วยคำชมพร้อมกับรอยยิ้มอันจริงใจ “ ท่านผู้ว่าการซุย ท่านอายุยังน้อยและมีแววตาที่เฉียบแหลม ท่านเพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งได้เพียงไม่กี่วัน แต่ท่านก็สามารถจัดการกับมณฑลจูเหอทั้งมณฑลให้กลายเป็นระเบียบเรียบร้อยได้แล้ว ต้องขอบคุณท่านจริงๆ ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนถึงสามารถใช้ชีวิตกันได้อย่างสงบสุข”

“ ข้าก็แค่ทำตามหน้าที่” ซุยเฮ็งยิ้มและไม่ได้สนใจจะฟังคำชมอีกต่อไป เขาถามโดยตรงว่า “ ข้าขอทราบเลยได้ไหมว่าทำไมผู้ว่าการหลิวถึงมาที่นี่ในวันนี้?”

“ อะแฮ่ม!” เห็นได้ชัดว่าหลิวหลี่เต๋าไม่ได้คาดคิดเอาไว้ว่าซุยเฮ็งจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ หลังจากกระแอมไปสองสามครั้ง เขาก็พูดขึ้นว่า “ ในเมื่อท่านผู้ว่าการซุยกล่าวยกเรื่องนี้ขึ้นมา งั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป”

“ พูดตามตรง ก่อนหน้านี้ข้าก็ป่วยบ่อยและรู้สึกไม่ค่อยสบาย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับข้าที่จะจัดการกับงานต่างๆ ในมณฑลต่อไป ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงไม่สามารถเป็นผู้ว่าการมณฑลต่อไปได้อีก”

“ และในขณะเดียวกัน ข้าก็บังเอิญได้ยินมาว่าผู้ว่าการซุยนั้นสามารถเอาชนะกองทัพโจรหยานลงได้และสามารถแม้แต่จะฟื้นฟูความเป็นอยู่ของปวงประชาในมณฑลจูเหอให้กับกลับมามั่งมีได้ ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงอยากจะมาถามว่าท่านสนใจจะเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลลู่แทนข้าหรือไม่?”

หลังจากพูดจบ เขาก็สั่งให้เฉียนคังเปิดกระเป๋าและนำสิ่งของสามชิ้นที่อยู่ข้างในออกมา

“ ฮ่าฮ่า ผู้ว่าการหลิวเตรียมตัวมาดีจริงๆ” ซุยเฮ็งหัวเราะลั่นเมื่อเห็นสิ่งของทั้งสาม “ ท่านเตรียมมาแม้แต่จดหมายแนะนำด้วยซ้ำ”

สามสิ่งที่หลิวหลี่เต๋าได้นำออกมาก็คือตราประทับของผู้ว่าการมณฑลลู่, เครื่องแบบของผู้ว่าการมณฑลลู่และจดหมายแนะนำ

สองอย่างแรกมีความจำเป็นในการเป็นผู้ว่าการมณฑล

ส่วนจดหมายแนะนำนั้นเป็นเพียงหลักฐานการเปลี่ยนตัวผู้ว่าการ

จริงๆ แล้วกระบวนการโอนย้ายตำแหน่งผู้ว่าการนั้นก็ไม่ง่ายเลย

ตามระบบทางการของต้าจิน หากผู้ว่าการต้องการจะสละตำแหน่ง เขาก็ต้องหาคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขามาดำรงตำแหน่งแทน

และหลังจากที่ราชสำนักได้รับจดหมายแนะนำแล้ว พวกเขาก็จะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบคนที่ถูกแนะนำ

หลังจากที่ราชสำนักได้รับผลการตรวจสอบแล้ว พวกเขาก็จะรวบรวมเจ้าหน้าที่เพื่อหารือ และในท้ายที่สุด หลังจากที่พวกเขาอนุมัติและส่งจดหมายแต่งตั้งกลับไปยังผู้ว่าการแล้ว บุคคลที่ได้รับการแนะนำจึงจะได้เข้ารับตำแหน่ง

อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเพียงประเพณีโบราณ

เมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว ความแข็งแกร่งของต้าจินได้ลดลงอย่างมาก และการปกครองในดินแดนอันห่างไกลนั้นจึงอ่อนแอลงเรื่อยๆ และในท้ายที่สุด มันก็มาถึงจุดที่ใครก็ตามที่มีจดหมายแนะนำก็สามารถกลายเป็นผู้ว่าการได้

นี่เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบที่ถูกส่งมาโดยราชสำนักนั้นไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้เลย พวกเขามักจะถูกฆ่าโดยกลุ่มโจรก่อนการมาถึงตลอด ดังนั้นต่อมาราชสำนักจึงยกเลิกขั้นตอนนี้ลง

และในตอนนี้ โลกก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับราชสำนักที่จะเข้าถึงมณฑลรอบนอกได้อย่างสมบูรณ์ และแม้ว่าจดหมายแนะนำจะยังคงอยู่ แต่มันก็ลดระดับลงจนเหลือเป็นเพียงหลักฐานแล้ว

เขาไม่จำเป็นต้องส่งพวกมันไปที่นครหลวงแต่อย่างใด

เขาต้องทำเพียงแค่ตั้งแท่นบูชาและเผาจดหมายแนะนำไปในทิศทางของนครหลวง จากนั้นจึงก้มหัวถวายตามพิธีการ

และหลังจากจบพิธี ผู้ว่าการมณฑลคนใหม่ก็จะสามารถเข้ารับตำแหน่งได้โดยตรงเลย

มันเป็นเพียงการได้รับการอนุมัติจากความว่างเปล่า

ในตอนนี้ หลิวหลี่เต๋าก็ได้เตรียมจดหมายแนะนำมาแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบใดที่เขาเผาจดหมายแนะนำและโค้งคำนับไปทางนครหลวง ซุยเฮ็งก็จะกลายมาเป็นผู้ว่าการมณฑลลู่ที่ถูกต้องตามกฎหมายในทันที

เดิมทีซุยเฮ็งก็วางแผนที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลลู่อยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าผู้ว่าการมณฑลลู่คนนี้จะเป็นฝ่ายเดินมาเคาะประตูบ้านของเขาเอง แน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมทำให้เขาประหลาดใจ

อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้ตอบตกลงในทันที เขากลับส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ ผู้ว่าการหลิว เจ้าอยากจะสละตำแหน่งเพียงเพราะเจ้าป่วยบ่อยและไม่สามารถจัดการกับเรื่องการเมืองต่อไปได้จริงๆ หรอ? หรือมันเป็นเพราะเจ้ารู้สึกไม่สบายใจอยู่กันแน่?”

หากเป็นในอดีต เขาก็คงจะไม่สนใจเหตุผลที่หลิวหลี่เต๋ายอมสละตำแหน่งผู้ว่าการ

อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ยินคำพูดของซูเฟิงอัน เขาก็รู้สึกว่าเขาจำเป็นจะต้องฟังความจริงจากปากของผู้ว่าการหลิวก่อน

“ นี่…” หลิวหลี่เต๋าพูดไม่ออก

ในเวลาเดียวกัน เขาก็มองไปที่เฉียนคังที่อยู่ข้างๆ เขาด้วยความสับสนและถามว่า “ เจ้าไม่ได้บอกว่าผู้ว่าการมณฑลจูเหอคนนี้มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ว่าการมณฑลลู่หรอ? ทำไมเขาถึงถามคำถามมากมายเช่นนี้กัน?”

เฉียนคังเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ทำไมทัศนคติของเขาถึงแตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิงกัน?

เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะรับ “สารจากเบื้องบน” ผิดพลาด?

อย่างไรก็ตาม หลิวหลี่เต๋าก็เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม

หลังจากตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาก็ตระหนักได้ว่าซุยเฮ็งน่าจะรู้อะไรบางอย่าง เขาหันไปหาเฉียนคังและพูดว่า “ เจ้าออกไปก่อนได้ ข้ามีเรื่องต้องคุยกับท่านผู้ว่าการซุย”

“ รับทราบ” เฉียนคังรีบเดินออกไปในทันที

ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าในฐานะลูกปลาตัวเล็กๆ เขาก็ต้องตระหนักถึงจุดยืนของตัวเองเอาไว้ให้ดี

“ ดูเหมือนว่าผู้ว่าการหลิวจะมีเรื่องให้พูดนะ” ซุยเฮ็งยิ้ม

“ ข้าละอายใจเสียจริงๆ” หลิวหลี่เต๋ายิ้มอย่างขมขื่น เขามองไปที่ซูเฟิงอันด้านหลังซุยเฮ็งและลังเล “ นี่คือ…”

“ นี่คือผู้อาวุโสสูงสุดของศาลากระบี่ยู่หัว ซูเฟิงอัน” ซุยเฮ็งกล่าวแนะนำที่อีกฝ่ายอย่างเรียบง่ายและพูดด้วยรอยยิ้มต่อว่า “ ผู้ว่าการหลิวไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก เจ้าแค่พูดสิ่งที่เจ้าต้องการออกมาก็พอ”

“ ซูเฟิงอัน! ยอดฝีมือขอบเขตสัมผัสโลกา! หนึ่งในเก้ากระบี่ของโลก! เทพกระบี่หยกขาว?!” หลิวหลี่เต๋าอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะที่เขามองไปที่ซูเฟิงอันด้วยความตกใจ

ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูคุ้นเคย ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เคยพบกับอีกฝ่ายเมื่อสามปีก่อน

นี่เป็นตัวละครที่สามารถนั่งในระดับเดียวกันกับผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวได้!

แบบนั้นแล้วทำใมเขาถึงมาที่นี่?

นอกจากนี้ เขาก็ยังยืนอยู่ข้างหลังซุยเฮ็งราวกับเป็นผู้ติดตาม!

เมื่อดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน แม้ว่าข่าวลือเรื่องที่เขาสามารถเรียกลมพายุได้นั้นจะเป็นข่าวปลอม แต่ผู้ว่าการซุยคนนี้ก็จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!

อย่างไรก็ดี หลิวหลี่เต๋าก็ยังคงสงสัยเกี่ยวกับข่าวที่ว่าผู้ว่าการมณฑลจูเหอได้ทำลายกองทหาร 50,000 นายลงในพริบตา

เขาไม่แน่ใจนัก

ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งนี้ก็แปลกประหลาดเกินไป มันท้าทายสามัญสำนึกของทุกๆ คนโดยสิ้นเชิง

หากไม่ใช่เพราะมีสำนักใหญ่คอยกดดันอยู่เบื้องหลังและเฉาฉวนผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวก็เพิ่งจะถูกลอบสังหารลงไป เขาก็จะต้องตรวจสอบมันอย่างละเอียดก่อนจะตัดสินใจอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ดี เมื่อเขาเห็นซูเฟิงอันยืนอยู่ข้างหลังซุยเฮ็งด้วยความเคารพราวกับเป็นผู้ติดตาม เขาก็เชื่อในข่าวส่วนใหญ่เกี่ยวกับซุยเฮ็งในทันที

เพื่อที่จะสามารถยืนหยัดอยู่บนจุดสูงสุดของโลกยุทธ์ได้อย่างทรงเกียรติ เขาก็เพียงพอแล้วที่จะได้รับความเคารพในฐานะเซียน

เมื่อซุยเฮ็งได้ยินชุดสมญานามที่หลิวหลี่เต๋าอุทานออกมา เขาก็มองไปที่ซูเฟิงอันด้วยความประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าชายคนนี้จะยิ่งใหญ่ขนาดนั้น

“ มันก็เป็นเพียงฉายาที่พวกเด็กๆ ตั้งให้” ซูเฟิงอันพูดอย่างเชื่องช้า

ก่อนที่หลิวหลี่เต๋าจะเข้ามา ซุยเฮ็งก็ได้บอกเขาแล้วว่าอย่าเปิดเผยตัวตนของเขาและให้เรียกเขาว่าผู้ว่าการซุย

“ เอาล่ะผู้ว่าการหลิว ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาได้เลย” ซุยเฮ็งมองไปที่หลิวหลี่เต๋าอีกครั้ง

“ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” หลิวหลี่เต๋าเปลี่ยนวิธีพูดโดยไม่รู้ตัว เขาจัดระเบียบคำพูดของเขาและหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ ในเมื่อผู้อาวุโสซูก็อยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นข้าก็เชื่อว่าพวกท่านคงจะได้รู้ข่างเกี่ยวกับเหตุการณ์ร้อยปีแล้ว”

“ ตอนนี้ช่วงเวลา 100 ปีกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ดังนั้นเหล่าสำนักที่ไม่ได้อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกยุทธ์จึงเริ่มที่จะหมายเล็งตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ พวกเขาต้องการจะได้รับส่วนแบ่งจากสมบัติชิ้นใหญ่นี้ ผู้ว่าการรัฐเฉาเองก็น่าจะถูกฆ่าตายลงเพราะเหตุนี้”

“ อันที่จริง ก่อนที่ตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวจะว่างลง ทูตจากสำนักไท่ชง, สำนักกระบี่สวรรค์, ตระกูลเหอแห่งผิงชวน, สภากรรมและอารามหยกเขียวก็ได้มาหาข้าโดยต้องการจะผลักดันให้ข้าไปสู่ตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ”

“ ตอนแรกข้าคิดว่าพวกเขาแค่โม้และไม่ได้จริงจังกับมัน แต่หลังจากที่ท่านผู้ว่าการรัฐเฉาถูกลอบสังหาร ข้าก็ตระหนักได้ว่ามันเป็นไปได้มากที่พวกเขาจะมีเจตนาเช่นนั้นจริงๆ”

“ ตราบใดที่พวกเขาผลักดันข้าสำเร็จ ข้าก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดของพวกเขา พวกเขาจะสามารถแจกจ่ายของที่ริบมาได้โดยไม่ต้องกังวลใดๆ และพวกเขาก็จะไม่ต้องสนใจความคิดของข้าเลย…”

“ แม้ว่าพวกเขาจะต้องการแบ่งของที่ริบมาได้ แต่เจ้าเองก็กลายมาเป็นผู้ว่าการรัฐด้วยแล้วไม่ใช่หรอ?” ซุยเฮ็งยิ้ม “ นี่มันก็ดีสำหรับเจ้าด้วยไม่ใช่หรอ?”

“ ท่านผู้ว่าการซุย ท่านจะต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ” หลิวหลี่เต๋ากล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ พวกเขาไม่ใช่กลุ่มชั้นนำเพียงกลุ่มเดียวในเฟิงโจว ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะเป็นกลุ่มใหญ่ แต่พวกเขาก็ย่อมไม่ยอมแพ้ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐแน่”

“ นี่คือสถานการณ์วิกฤต ถ้าข้าไม่ระวัง ข้าก็อาจจะเสียชีวิตลงได้ ข้าเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้ว่าการรัฐเฉาแล้ว ดังนั้นข้าจึงต้องหวาดกลัวเป็นธรรมดา และเพราะแบบนี้เอง เขาจึงอยากจะ...”

เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ และเขาก็ไม่กล้าพูดอีกต่อไป

“ เจ้าอยากจะมอบตำแหน่งที่อันตรายนี้ให้กับข้าเพื่อเป็นแพะรับบาปแทนอย่างนั้นสินะ” ซุยเฮ็งแสร้งทำเป็นโมโห “ เจ้าคิดแบบนั้นใช่ไหม?”

“ ข้าน้อยมิกล้า! ข้าไม่กล้าคิดแบบนั้นแน่นอน!” หลิวหลี่เต๋าลุกลงมาจากบนเก้าอี้ด้วยความกลัว เขาหมอบลงกับพื้นและอธิบายให้ซุยเฮ็ง ฟังด้วยท่าทีที่ลุกลี้ลุกลนอย่างหาที่เปรียบมิได้ว่า “ ข้าแค่รู้สึกว่าท่านมีพลังพอจะต่อต้านคนพวกนั้นได้ก็เท่านั้นเอง นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าคิดแผนนี้ขึ้นมา ถ้าท่านผู้ว่าการซุยไม่ต้องการ ข้าก็จะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแน่นอน กรุณายกโทษให้ข้าด้วย!”

“ ถ้างั้นแล้วพวกสำนักใหญ่กับตระกูลเหล่านั้นจะจัดการกับเจ้าอย่างไร? พวกเขาจะใช้กำลังอย่างงั้นหรอ?” ซุยเฮ็งไม่ได้บอกว่าเขาต้องการจะรับตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลลู่หรือไม่ เขาแค่ถามคำถามอื่นแทน

“ มันคงจะดีถ้าพวกเขาแค่ใช้กำลังเฉยๆ” หลิวหลี่เต๋ากล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ ท่านผู้ว่าการซุย ท่านอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่พวกสำนักใหญ่กับตระกูลเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงยอดฝีมือชั้นยอดเท่านั้น พวกเขายังร่ำรวยมหาศาลและควบคุมหัวใจหลังของเมืองทั้งเมืองไว้ในมือ”

“ ตัวอย่างเช่นสำนักไท่ชง พวกเขาก่อตั้งขึ้นมาหลายร้อยปีแล้วและอยู่ในอุตสาหกรรมการค้าธัญพืชมาตลอดหลายร้อยปี นอกจากนี้ ในช่วงเริ่มต้นของการก่อตั้งต้าจิน เพื่อให้ประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้น สำนักไท่ชงจึงได้รับอภิสิทธิ์ในการขนส่งสินค้าต่างๆ ในเฟิงโจว”

“ และจนถึงทุกวันนี้ กิจการธัญพืชของสำนักไท่ชงในเฟิงโจวก็อาจกล่าวได้ว่ามีพลังเทียบเท่ากับเมฆและฝน ด้วยคำสั่งของพวกเขา พวกเขาก็สามารถแม้แต่จะตัดเสบียงอาหารทั้งหมดในมณฑลลู่ลง!”

“ นอกจากนี้ก็ยังมีสำนักกระบี่สวรรค์ นอกจากพวกเขาจะเป็นนิกายขนาดใหญ่ที่สืบทอดกันมานานหลายร้อยปีแล้ว พวกเขาก็ยังเชี่ยวชาญด้านหินแร่และถ่านหินเป็นหลัก หากท่านทำให้พวกเขาไม่พอใจ พวกเขาก็จะทำให้ผู้คนไม่มีถ่านที่จะใช้เผาในฤดูหนาว และเมื่อถึงเวลานั้น มันก็คงจะมีความโกลาหลวุ่นวายปรากฎขึ้นทั่วทุกหนทุกแห่งอย่างแน่นอน”

“ นอกจากนี้ก็ยังมีอารามหยกเขียว… ตระกูลเหอแห่งผิงชวน…”

หลังจากฟังคำอธิบายของหลิวหลี่เต๋า การแสดงออกของซุยเฮ็งก็แปลกมากขึ้นเรื่อยๆ ปรากฎว่าเส้นเศรษฐกิจของราชวงศ์ต้าจินนั้นถูกควบคุมโดยสำนักใหญ่และตระกูลต่างๆ

มันน่าขันมากที่ประเทศห่วยแตกปัญญาอ่อนแบบนี้สามารถอยู่รอดมาได้ถึง 200 ปี

“ ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ข้าต้องบอกท่าน ข้าคิดว่าข้าคงจะไม่สามารถปิดบังความจริงที่ว่าข้าหนีออกมาจากมณฑลลู่จากพวกสำนักและตระกูลใหญ่ได้”

“ คนส่วนใหญ่จะต้องเดาได้แล้วแน่ๆ ว่าข้าต้องการจะสละตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลเพื่อความปลอดภัย”

“ ดังนั้นหากท่านเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลลู่ ข้าก็เกรงว่าท่านจะต้องเผชิญหน้ากับเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ถูกสำนักและตระกูลใหญ่เหล่านี้กดขี่และมีชีวิตที่ยากลำบาก”

“ โอ้?” ดวงตาของซุยเฮ็งหดแคบลงเล็กน้อย

ของดีแบบนี้มีจริงหรอ?