ตอนที่ 211 - บทที่ 211 ยื่นประเมินการเป็นนักรบขอบเขตการกลั่นชีพจร!

บทที่ 211 ยื่นประเมินการเป็นนักรบขอบเขตการกลั่นชีพจร!

พลังปราณแท้จริง: 752/930 (+30%) 1,209

เมื่อเห็นค่าพลังแบบนี้ เฉินฟานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

930 คะแนนของพลังปราณดั้งเดิม, แต่เมื่อร่วมกับโบนัสคุณสมบัติยบำรุงปราณ 30%, จำนวนรวมของพลังปราณในร่างกายของเขาสูงถึง 1,209 คะแนน

บรรลุเงื่อนไขการเปิดใช้งานทักษะลูกธนูไล่ลมแล้ว

แน่นอนว่าเขาสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะใช้ทักษะนี้เป็นไพ่ตาย

และเขาก็มองต่อไป

ขอบเขต: ขั้นแรกของการกลั่นชีพจร (0/6 ล้าน)

คะแนนศักยภาพที่จำเป็นสำหรับการเปิดจุดชีพจรต่อไปเพิ่มขึ้นจาก 4.3 ล้านเป็น 6 ล้าน

เส้นลมปราณหยินเฉียวมีจุดชีพจรเก้าจุด หากเขาต้องการเปิดทุกจุด เขาจะต้องมีคะแนนศักยภาพอย่างน้อยๆ 54 ล้านแต้ม

เฉินฟานขมวดคิ้ว

นี่เป็นคะแนนศักยภาพจำนวนมาก

ต้องรู้ว่า 10 ล้านคะแนนศักยภาพนั้นเพียงพอสำหรับเขาในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายเพียงครั้งเดียว

แต่มันก็สมเหตุสมผลแล้ว เพราะสำหรับนักรบทั่วไปนั้นการทะลวงจุดชีพจรเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก

นอกเหนืออาจะล้มเหลวและจะต้องใช้พลังปราณจำนวนเพื่อทะลวงจุดแล้ว ที่สำคัญคือในระหว่างกระบวนการนี้ยังอาจจะต้องเผชิญกับความผิดปกติของพลังปราณย้อนกลับได้อีกด้วย และนั่นจะเข้าสู่สภาวะที่อันตรายอย่างยิ่ง อย่างเบาที่สุดก็จะสูญเสียพลังปราณในร่างกายอย่างไร้ประโยชน์ และอย่างเลวร้ายที่สุด เส้นลมปราณจะเสียหายจนทำให้พิการ และอาจอันตรายถึงแก่ชีวิตก็เป็นได้

ดังนั้น นักรบขอบเขตการกลั่นชีพจรที่เพิ่งทะลุผ่านของสมาคมมักมีนักรบการกลั่นชีพจรระยะกลางเมื่อพวกเขาทำการทะลวงเปิดจุดชีพจร เพราะหากมีอันตรายเกิดพวกเขาก็สามารถให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงที

ส่วนนักรบเหล่านั้นที่อยู่ในระยะกลางและระยะปลายของขอบเขตการกลั่นชีพจรจะต้องระมัดระวังมากขึ้นเมื่อทำการเปิดจุดชีพจรของพวกเขา เพราะถึงแม้จะมีคนรอช่วยเหลืออยู่รอบๆตัว แต่หากเกิดปัญหาที่ร้ายแรงจริงๆอีกฝ่ายก็จะไม่กล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เพราะหากความแข็งแกร่งไม่ได้แตกต่างกันและสถานการณ์ไม่ดีทั้งคู่จะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอาการบาดเจ็บภายใน

เมื่อพิจารณาด้วยวิธีการของเขานี้ แม้ว่าคะแนนศักยภาพจะถูกใช้ไปมาก แต่ก็คุ้มค่ามากที่จะรับประกันความสำเร็จด้วยการทะลวงเพียงครั้งเดียว

“ข้ายังมีคะแนนการบริจาคเหลืออยู่ 20 ล้านคะแนน หากข้าใช้ทั้งหมดเพื่อซื้อวัตถุดิบยาสำหรับการปรุงเม็ดยาพลังงานเลือดก็จะสามารถซื้อได้ 1,000 ชุด หากแต่ละชุดสามารถให้ 300,000 แต้ม คิดรวมก็จะเป็น 300 ล้านคะแนนศักยภาพ”

เฉินฟานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

300 ล้านคะแนนศักยภาพ นั้นจะใช้ 50 ล้านคะแนนเพื่อเปิดผ่านเส้นลมปราณเส้นที่ 4

จากนั้นก็ยังเหลืออีก 250 ล้านคะแนน ถ้าคำนวณคะแนนศักยภาพ 10 ล้านต่อหนึ่งจุดชีพจรนั้น ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ในการผ่านเส้นลมปราณที่ 5

แม้แต่เส้นที่ 6 ก็น่าจะเป็นไปได้

"เอาล่ะ ถ้าเป็นเม็ดยาพลังปราณจะคุ้มค่าแค่ไหนกันนะ"

เฉินฟานคิด

ราคาของวัสดุยาของเม็ดยาพลังปราณนั้นจะต้องสูงกว่าของเม็ดยาพลังงานเลือดอย่างมาก ดังนั้นอัตราส่วนราคา/ประสิทธิภาพจะต้องสูงกว่าของเม็ดยาพลังงานเลือดระดับสูงสุดอย่างแน่นอน

“พรุ่งนี้ ข้าต้องหาเวลาไปรับการประเมินของนักรบขอบเขตการกลั่นชีพจร หากเขาผ่าน เขาก็จะได้รับสิทธิ์ในการซื้อเม็ดยาพลังปราณ หรือสูตรปรุงยา และแม้แต่ศิลปะการต่อสู้ของขอบเขตการกลั่นชีพจร”

เฉินฟานกำหมัดแน่น

ตามที่ลุงจางได้พูดกับเขา เมื่อไม่กี่ปีก่อนนั้นผู้อเวคในเมืองอันชานไม่ต้องการปะทะกับสัตว์อสูรระดับหัวหน้าเว้นแต่พวกเขามีความจำเป็นต้องลงมือ

ตอนนี้เขามีความแข็งแกร่งในการยิงและฆ่าสัตว์อสูรระดับหัวหน้าแล้ว และถ้าเขาระเบิดพลังทั้งหมดที่มีออกมา เขาก็สามารถถอยกลับได้อย่างปลอดภัยถ้าถูกล้อม

อย่างไรก็ตามถึงจะเป็นอย่างนี้ ก็เป็นการดีกว่าที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาให้มากที่สุด

เมื่อดูเวลาก็เป็นเวลาแปดหรือเก้าโมงแล้ว จากนั้นเฉินฟานก็ทำความสะอาดห้องปรุงยา ปิดประตู และเดินไปที่ห้องทำงานของประธาน

เขาเคาะประตูสองครั้ง และหลังจากได้ยินคำเชิญของซุนเว่ยให้เข้ามา เฉินฟานก็ผลักประตูเปิดแล้วเดินเข้าไป

“น้องเฉิน เป็นไงบ้าง? กระบวนการปรุงยาเป็นไปด้วยดีหรือเปล่า? ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่ได้ออกมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว?”

ซุนเว่ยถามด้วยรอยยิ้ม

"ก็เรียบร้อยดี"

เฉินฟานคืนการ์ดเปิดประตูห้องปรุงยาให้กับอีกฝ่าย และยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ว่า "วัตถุดิบยาเกือบสิบชุดถูกใช้ไปแล้ว และไม่มีเม็ดยาแม้สักเม็ดเดียวที่ได้รับการควบแน่นขึ้นมาได้"

ที่เขาต้องพูดออกมาแบบนี้ เป็นเพราะยาทั้งหมดที่ได้รับการปรุงออกมาแล้วได้รับการกลืนกินโดยเขาทันที

"ฮ่าๆๆ"

ซุนเว่ยหัวเราะเสียงดัง “เป็นเรื่องปกติ..ทุกคนก็เป็นเช่นนี้ เช่นเดียวกับสหายของข้า ในช่วงหนึ่งหรือสองเดือนแรก เขาไม่สามารถแม้แต่จะปรุงยาขึ้นมาได้แม้แต่เม็ดเดียว แต่มันจะดีขึ้นในภายหลัง”

"อืม"

เฉินฟานพยักหน้า ลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า "ท่านประธานนอกจากนี้ ข้ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกท่าน"

"บอกมาสิ"

“ท่านประธาน ข้าอยากเข้าร่วมการประเมินเป็นนักรบขอบเขตการกลั่นชีพจร”

หลังจากสิ้นคำพูด ฝ่ายหลังก็แข็งค้างและอ้าปากกว้างพอที่จะยัดไข่ทั้งตะกร้าลงไปได้

เขาจ้องมองไปที่เฉินฟานโดยไม่กระพริบตาและถามว่า "เจ้า..เจ้าพูดว่าอะไรนะ? เจ้าต้องการที่จะเข้าร่วมการประเมินเป็นนักรบขอบเขตการกลั่นชีพจร เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าเป็นนักรบขอบเขตการกลั่นชีพจรแล้ว"

"น่าจะใช่.."

เฉินฟานเกาหัวแล้วพูดว่า "ข้ารู้สึกได้ถึงพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ซึ่งแตกต่างจากความรู้สึกพลังงานความแข็งแกร่งอย่างสิ้นเชิง"

“พลังที่ไหวเวียนงั้นเหรอ? พลังปราณ!”

ซุนเว่ยอุทานออกมา

"อืม"

เฉินฟานพยักหน้า

"..."

ซุนเว่ยก็พูดไม่ออกทันที

ต้องรู้ว่ามีสมาชิกเพียงยี่สิบหรือสามสิบคนในสมาคมนักรบทั้งหมดที่อยู่ในขอบเขตการกลั่นชีพจร และโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองขนาดกลางหรือขนาดใหญ่

แต่ในเมืองเล็กๆ เหมือนเมืองอันชานนี้ เจ้าสามารถนับนักรบขอบเขตการกลั่นชีพจรได้ด้วยมือเดียว

แล้วเฉินฟานล่ะ?

ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ "น้องเฉินนี่เจ้าไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่ไหม? เจ้ารู้สึกถึงพลังปราณภายในร่างกายจริงๆ งั้นหรือ?"

“ประธาน ท่านคิดว่าข้าจะล้อเล่นเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้งั้นหรือ?”

เฉินฟานไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ได้

"นั้นสินะ"

ซุนเว่ยตกตะลึงเมื่อเขาได้ยินคำพูด จากนั้นใบหน้าของเขาก็แสดงความตื่นเต้นและเขาก็พูดกับตัวเองว่า "ไม่คาดคิดว่าสาขาในเมืองอันชานของข้าได้สร้างนักรบขอบเขตการกลั่นชีพจร เป็นนักรบขอบเขตการกลั่นชีพจรที่แข็งแกร่ง”

สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นมากกว่าของเฉินฟานเสียอีก

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะติดต่อสำนักงานใหญ่ทันที ภายในสองหรือสามวัน สำนักงานใหญ่จะส่งคนมาประเมินเจ้า”

“สองสามวันงั้นหรือ?”

เฉินฟานขมวดคิ้วเล็กน้อย

เวลานี้มันนานเกินไปหรือเปล่า?

ซุนเว่ยเห็นสิ่งที่เฉินฟานคิดอยู่ในใจของเขา และพูดด้วยรอยยิ้มเบี้ยว "การประเมินนักรบขอบเขตการกลั่นชีพจรนั้นแตกต่างจากนักรบขอบเขตจิน หากเป็นนักรบขอบเขตจิน ประธานสาขาเช่นข้าสามารถทำได้ แต่การประเมินขอบเขตการกลั่นชีพจรนั้นจะต้องได้รับการอนุมัติจากคนจากสำนักงานใหญ่

แม้แต่เมืองขนาดกลางเช่นชิงเฉิงที่อยู่ใกล้เคียงก็เหมือนกัน ไม่ต้องพูดถึงเมืองอันชานแห่งนี้"

"อย่างนั้นหรือ"

เฉินฟานพยักหน้า แม้จะทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย แต่เขาก็เข้าใจได้

เพราะท้ายที่สุดแล้ว สำหรับสมาคม นักรบขอบเขตการกลั่นชีพจรเป็นกระดูกสันหลังของสมาคม และไม่มีอะไรผิดกับการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น

หากเป็นการประเมินนักรบขอบเขตหยวนแก่นแท้ ผู้ตรวจสอบอาจเป็นประธานของสมาคม

“น้องเฉิน ความก้าวหน้าของเจ้าเร็วมาก”

ซุนเว่ยพูดด้วยอารมณ์

เขายังคงจำได้ว่าตอนที่เฉินฟานเข้าร่วมสาขาเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาเป็นนักรบเห่ยจินเท่านั้น แต่วันรุ่งขึ้นเขาก็เป็นนักรบฮัวจิน แม้ว่าเขาจะบอกว่าเขาซ่อนมันไว้ก็ตาม แต่ด้วยวัยเท่านั้นมันก็ถือว่ารวดเร็วอย่างมาก

และตอนนี้เขาได้กลายเป็นนักรบขอบเขตการกลั่นชีพจรแล้ว

แต่มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ พลังการต่อสู้ของเฉินฟานที่อยู่ในขอบเขตฮัวจินนั้นแข็งแกร่งจนนับรบฮัวจินคนอื่นๆเทียบไม่ได้อย่างแน่นอน

การที่เขาทะลวงผ่านเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ ถ้าไม่นับเรื่องอายุของเขาล่ะนะ

หลังจากบอกลาซุนเว่ยแล้ว เฉินฟานก็ใช้ความคิดขณะเดินออกไป

ยังมีเวลาอีกสองหรือสามวันในการปลดล็อคสิทธิ์การซื้อ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตั้งความหวังไว้กับเม็ดยาพลังปราณได้

ทองคำในพรุ่งนี้จะไม่ดีเท่ากับการได้รับทองแดงในวันนี้ ดังนั้นเขาจึงซื้อวัตถุดิบปรุงยาอีกครั้ง เพื่อปรุงเม็ดยาพลังงานเลือด

เขาซื้อ 200 ชุดก่อน และน่าจะสามารถปรุงได้เสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ถึงสองวัน และคะแนนศักยภาพที่เขาจะได้รับคือ 60 ล้านคะแนน ซึ่งน่าจะเพียงพอที่จะสามารถทะลวงผ่านไปจนถึงระยะกลางของขอบเขตการกลั่นชีพจร

ตอนนี้ใช้ประโยชน์จากเวลาว่างเพื่อปรับปรุงค่าสถานะความคล่องตัวขั้นพื้นฐานดีกว่า

นอกจากนี้เขาอาจจะต้องกลับไปหมู่บ้านสักหน่อย เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาออกมาจากหมู่บ้านมาเกือบสามวันแล้ว ตามข้อตกลงผู้เฒ่าคนนั้นควรให้เทคนิคที่ไม่สมบูรณ์แก่เขา

สำหรับตอนนี้เขาวางแผนที่จะฝึกฝนความคล่องตัวเสียก่อน

และเมื่อเขามาถึงห้องซ้อมแล้ว

ภายในตู้ด้านทิศเหนือมีเสื้อผ้ารับน้ำหนักมากมาย

เสื้อผ้าเหล่านี้ทำจากวัสดุพิเศษและมีความหนาแน่นมาก น้ำหนักของมันมีตั้งแต่ไม่กี่ร้อยปอนด์ไปจนถึงหมื่นปอนด์

เฉินฟานเหลือบมองดูค่าสถานะกายภาพของเขา มันเกือบจะถึง 7,000 แต้ม และน้ำหนักสูงสุดที่เขารับได้คือ 70,000 ปอนด์

เขาเดินไปที่เสื้อที่มีน้ำหนัก 10,000 ปอนด์ และใส่ไว้บนตัวของเขาอย่างง่ายดาย

ครั้งสุดท้ายที่เขาฝึกฝนความคล่องตัวคือในเฉินเจียเป่า ในเวลานั้นน้ำหนักของเขาที่รับได้ก็เพียงประมาณ 5,000 ปอนด์เท่านั้น คราวนี้เขาเพิ่มเป็นสองเท่าโดยตรง

เมื่อเขากำลังจะหยิบอีกชิ้นหนึ่ง เขาก็พบว่ามันมีชิ้นเดียวที่มีน้ำหนัก 10,000 ปอนด์

นี่ทำให้เขาตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อลองคิดดูแล้วแม้แต่นักรบในระยะแรกของขอบเขตการกลั่นชีพจรก็ยังมีค่าสถานะทางกายภาพมากกว่าหนึ่งพันคะแนนต้นๆเท่านั้น และพวกเขาารับน้ำหนักสูงสุดได้ประมาณ 10,000 ปอนด์

โชคดีที่หลังจากติดต่อกับซุนเว่ยแล้ว เขาก็นำเสื้อหนัก 10,000 ปอนด์มาจากห้องฝึกที่เหลือมาให้เขาได้

หลังจากสวมเสื้อสี่ตัวบนร่างกายของเขา ในที่สุดเขาก็รู้สึกถึงความกดดัน ราวกับว่ามีภูเขาหลายลูกกดลงบนร่างกายของเขา

"พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน"

เฉินฟานคิดในใจว่า เมื่อเขาคุ้นเคยกับน้ำหนักนี้แล้ว และเมื่อความเชี่ยวชาญด้านทักษะร่างกายขั้นพื้นฐานจะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ถึงตอนนั้นมันก็ยังไม่สายเกินไปที่จะเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น……

…….…