ตอนที่ 277 อาณาจักรคนแคระ

เมื่อ หลิน ยู กลับมาถึงดินแดนมันก็เป็นเวลาช่วงกลางดึกเข้าไปแล้ว

เขาใช้เวลากว่าครึ่งวันในการเดินทางและต่อสู้ภายในอาณาจักรลับ

ด้วยการกลับมาของเหล่าราชัน ข่าวเกี่ยวกับอาณาจักรลับขนาดใหญ่ก็เป็นดั้งพายุเฮอริเคน มันแพร่กระจายไปทั่วเมืองศักดิ์สิทธิ์และอาณาจักรต่างๆ

"บัดซบ!! คนที่เข้าร่วมอาณาจักรลับนั้นล้วนแต่ได้รับวัตถุศักดิ์สิทธิ์กองทัพระดับ SSS กันหมด!?"

"บ้าเอ้ย! ถ้าข้ารู้ตัวเร็วกว่านี้ ข้าคงต้องรีบไปยังที่นั้นอย่างแน่นอน!"

"อ๊า ข้าเกียจตัวเองเป็นบ้า! ข้าเกือบจะได้เข้าไปในอาณาจักรลับอยู่แล้ว แต่ก็ไปไม่ทัน"

"ข้าก็เหมือนกันมาถึงตอนที่ทางเข้าปิดแล้ว "

"วัตถุศักดิ์สิทธิ์กองทัพระดับ SSS นี้มันมีค่าแค่ไหนกัน ป่านนี้พวกที่ได้คงรู้สึกราวกับอยู่ในความฝัน"

"นี้มันไม่เกินไปหน่อยไหม? พวกเขาสามารถเข้าไปอยู่ในอันดับ 9 ท่ามกลางเหล่าราชันทั้งหมื่นโลกเนี้ยนะ?"

"ข้าได้ยินมาว่า ที่พวกเขาได้รางวัลนั้นเป็นเพราะมีราชันผู้แข็งแกร่ง 3 คนเป็นผู้นำให้กับพวกเขา"

อารมณ์ของราชันโลกดึกดำบรรพ์ได้ตอนนั้นสามารถอธิบายได้อย่างเดียว

พวกเขาเต็มไปด้วยความเสียดาย

หากได้เข้าสู่อาณาจักรลับนั้น พวกเขาก็ได้รับวัตถุศักดิ์สิทธิ์กองทัพระดับ SSS รวมถึงแก่นแท้ดินแดนระดับ 7 10 อัน

หากเป็นก่อนหน้านี้ มันเป็นทรัพยากรขนาดใหญ่ที่แม้แต่พวกเขาก็ไม่อาจจินตนาการถึงมันได้

เพราะมันคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์กองทัพระดับ SSS เลยนะ

อาจเป็นไปได้ที่จะได้รับกับโดยการเคลียร์อาณาจักรลับในระดับเดียวกัน หรือ สังหารมอนสเตอร์ราชัน

คงจะนึกออกซินะว่ามันยากขนาดไหนกว่าจะได้มันมา

แม้กระทั่งตอนนี้ ราชันหลายคนก็ยังคงใช้วัตถุศักดิ์สิทธิ์กองทัพที่มีระดับต่ำกว่า C ส่วนระดับ A นั้นพวกเขาไม่กล้าคิดเกี่ยวกับมัน แล้วนับประสาอะไรกับระดับ SSS?

ในไม่ช้าภายในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอาณาจักรลับก็เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง

เหล่าราชันที่ร่ำรวยต่างป่าวประกาศออกมา ต้องการขอซื้อวัตถุศักดิ์สิทธิ์กองทัพระดับ SSS มาไว้ในมือ หรือเพียงแค่สอบถามเกี่ยวกับที่อยู่ของคนที่ออกมาจากอาณาจักรลับขนาดใหญ่นั้น

สำหรับจะใช้วิธีใดเพื่อให้ได้วัตถุศักดิ์สิทธิ์กองทัพมาไว้ในมือนั้นพวกเขาก็ยังไม่ทราบ

แต่อย่างไรก็ตาม

เหล่าราชันที่รอดชีวิตหลายสิบคนที่โชคดีพอจะได้รับผลประโยชน์ครั้งยิ่งใหญ่นี้ได้บอกเล่าเรื่องราวของพวกเขา

จากปากต่อปาก

ชื่อของ หลิน ยู ค่อยๆ แพร่กระจายออกไปท่ามกลางเหล่าราชันระดับ 7

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่าเขากำราบคนเถื่อนภายในอาณาจักรลับได้แถมยังต่อสู้กับราชันทุกคนโดยไม่แพ้ซักครั้ง ข่าวลือนี้ทำให้เกิดความโกลาหลในทันที

นอกจากนี้ยังมีการคาดเดาจากสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับการปรากฏตัวของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมาก ข่าวลือนี้กระจายไปทั่วเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งอาณาจักรลับและหมู่เกาะลอยฟ้า

แต่

ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ หลิน ยู แม้แต่น้อยในตอนนี้

หลังจากที่กลับมายังดินแดน เข้ารีบไปยังฐานทัพเพื่อใส่วัตถุศักดิ์สิทธิ์อันใหม่บนแท่นของมอสชีวภาพ

จากนั้นก็ใช้ แก่นแท้ดินแดนที่ เขาเพิ่งได้รับมาเพื่ออัพเกรด ดอกไม้แห่งการกลืนกินที่มีสกิลอาณาจักรแห่งความตาย ให้ขึ้นเป็นระดับ 8

ทันใดนั้น เขาก็มีทหารพืชระดับ 8 2 ตัวยกเว้นทหารพืชราชวงศ์

เหตุผลที่ทำไมเขาถึงอัพเกรดดอกไม้แห่งการกลืนกินเป็นอันดับแรกเพราะกองทัพดอกไม้อมตะนั้นไม่สามารถมีระดับได้เกินระดับของตัวทหารที่อัญเชิญออกมา

หากเขาต้องให้เรียกดอกไม้อมตะระดับ 8 เขาก็อัพเกรดดอกไม้แห่งการกลืนไปยังระดับ 8 ซะก่อน

สิ่งนี้สามารถเพิ่มพลังต่อสู้ให้กับเขาได้อย่างมหาศาล

จากนั้นเขาก็มองไปยังแก่นแท้ดินแดนที่เหลืออยู่ 8 อัน ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากการสังหารราชันภายในอาณาจักรลับก่อนหน้านี้

แม้แต่พลังเวทย์ก็เพิ่งมากขึ้นถึง 17 ล้าน ซึ่งถือว่ามันช่วยเขาได้เยอะเลยทีเดียว

โดยทั่วไป

การเก็บเกี่ยวในการเดินทางไปยังอาณาจักรลับขนาดใหญ่ในครั้งนี้ของเขานั้น ถือว่าสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว

ยกเว้นมือยักษ์ที่โผล่ออกมาจากในดินแดนลับของวิหารทะเลทราย..

"มันถูกขังเอาไว้งั้นเหรอ"

หลิน ยู ขมวดคิ้ว ดวงตาของเขากลายเป็นเคร่งขรึม

แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ช่วงพริบตา

แต่เขาก็ยังประเมินขนาดของมือยักษ์นั้นได้จากระยะสายตา อย่างน้อยตัวของมันต้องสูงหลายหมื่นเมตร

เพียงแค่เขาเหลือบมองมัน เลือดในกายของเขาถึงกับพลุ่นพล่านในทันที มันทำให้เขาเกือบจะล้มลงกับพื้น

แม้แต่กับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เขาก็ยังไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้

เพียงแค่พริบตาเดียว

มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าของมือนั้นน่ากลัวขนาดไหน เกรงว่าเพียงแค่มันโบกมือก็สามารถทำลายโลกได้แล้ว

แน่นอน

นี้เป็นเพียงการเดาสู่มโดย หลิน ยู เท่านั้น

ตัวเขายังห่างไกลจากระดับนั้นอีกมาก ยิ่งเขาพัฒนาความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งมองเห็นความอ่อนแอตัวเองมากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกว่าตัวเองไร้ซึ่งอำนาจในการต่อกร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับปิศาจสวรรค์ตัวเป็นๆในวันนี้ ความรู้สึกได้ขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ปิศาจสวรรค์อันดับ 10 ใน 72 ปิศาจสวรรค์ มันสามารถสะกดข่มจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่มากมายได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าแม้แต่ขยับตัวเมื่อยืนต่อหน้ามัน

แล้วอันดับที่สูงกว่านี้จะน่ากลัวขนาดไหนกัน

ตัวเขาไม่สามารถจินตนาการความแข็งแกร่งของพวกมันได้เลย

"นายท่าน ท่านอยู่ด้านในหรือไม่ขอรับ?"

ในขณะนั้น มีเสียงเรียกของ ซู จง ดังออกมาจากด้านนอกของดินแดน ขัดจังหวะความคิดของเขา

"เข้ามา!"

หลิน ยู มองไปรอบๆ ขอให้ ชิง ถัง เปิดทางให้กับเขา

หลังจากนั้นไม่นาน ซู จง ก็รีบเดินเข้าไปในดินแดนกับสมุดบันทึกของเขา

"ข้าน้อย ทำความเคารพนายท่าน"

"มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ?"

หลิน ยู ถามตรงๆ

"เป็นเรื่องเปิดเส้นทางการบินขอรับ" ซู จง ตอบเขาด้วยความเคารพว่า "ช่วงเที่ยงของวันนี้ มีราชันหลายคนได้ส่งคนของเขามายังอาณาเขต โดยบอกว่าพวกเขาต้องการให้เราเปิดเส้นทางการบินให้กับพวกเขา"

"โอ้? แล้วราชันเหล่านั้นอยู่ที่ไหนกัน"

"ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นราชันที่อยู่ในเส้นทางใกล้เคียง แต่มีคนแปลกหน้าอ้างว่ามาจากอาณาจักรคนแคระ"

"อาณาจักรคนแคระ?" หลิน ยู ถึงกับผละไป

เขาถามอีกครั้ง

"ใช่แล้วขอรับ อาณาจักรคนแคระคล้ายๆกับอาณาจักรเอลฟ์ มันถูกสร้างขึ้นบนภูเขาหินสีดำที่ปกคลุมไปด้วยภูเขาไฟ ที่พวกเขามาในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อเส้นทางการบิน แต่พวกเขามาหาเหล่าคนแคระที่อยู่ในอาณาเขตของเรา"

"มาหามากอร์นและคนอื่นๆงั้นเหรอ?"

หลิน ยู ขมวดคิ้วทันที

อาณาจักรเอลฟ์นั้นเป็นศูนย์กลางของโลก

อย่างไรก้ตามจักรวรรดิเซิ่งเหยา นั้นอยู่ในกับดินแดนรกร้างตะวันตก

เขาเดินทางมาไกลขนาดนั้น ความแข็งแกร่งต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หรือว่าเขาจะใช้การเทเลพอร์ตระยะไกล

ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็มีค่าใช้จ่ายสูงทั้งนั้น

เป็นไปได้ไหมว่าชนเผ่าเหล่านี้มาเพื่อนแก้แค้น หรือเพื่อนำมากอร์นและคนของเขากลับสู่อาณาจักร

ใช่แล้ว

มากอร์นได้เคยกล่าวไว้

ค้อนเทพสงครามนั้นเป็นดั่งตัวแทนเจตจำนงของเทพแห่งสงคราม และจะปรากฏออกมาได้ครั้งละ 1 อันเท่านั้น

เมื่อเจ้าของคนเก่าสิ้นลง เทพแห่งสงคราม จะเรียกพลังของเขากลับคืนมาเพื่อรอผู้สร้างคนต่อไป

เป็นไปได้ไหมว่าอีกฝ่ายต้องการค้อนเทพสงคราม เพื่อถึงอำนาจแห่งราชา?

นั้นมันก็เป็นไปได้!

"คนแคระพวกนั้นพูดอะไรอีกบ้าง"

หลิน ยู ถามอีกครั้ง

"อืม.. ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพูดว่าพวกเขาอยู่ในอาณาจักรแคระ พวกเขามาจากเผ่าหอกทมิฬ"

เผ่าหอกทมิฬ?

หลิน ยู รู้สึกมึนงง

เขาเคยได้ยินจาก มากอร์น มาก่อนว่าอาณาจักรคนแคระนั้นถูกปกครองโดย เผ่าเหล็กทมิฬ ซึ่งปกครองอยู่ในตอนนี้

เผ่าหอกทมิฬคือเผ่าที่เป็นฝ่ายสนับสนุนในอาณาจักรคนแคระเท่านั้น ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเผ่าทั้งหมด

แม้แต่เผ่าอื่นๆก็มึจุดแข็งของตัวเอง

ยกตัวอย่างเช่น ความสามารถในการตีเหล็กของเผ่าค้อนสงคราม ของมากอร์น เผ่าอื่นๆนั้นไม่สามารถเทียบกับเขาได้

หากเป็น เผ่าเหล็กทมิฬที่เป็นคนปกครองอาณาจักรคนแคระเขาก็คงพอเข้าใจได้

แต่ทำไมถึงเป็นเผ่า หอกทมิฬกัน?

"ไป รีบพาข้าไปดู"

ทันใดนั้น หลิน ยู ก็ขอให้ซู จง นำทาง เขารีบออกจากดินแดนทันที มุ่งหน้าไปยังเมืองหวงซา

ผ่านไปไม่นาน

เขาก็มาถึงโถงรับรองภายในเมือง แน่นอนว่าในระยะไกลนั้น เขาเห็นกลุ่มคนแคระกลุ่มใหญ่ที่มีอาวุธควบครันถทอหอกยืนอยู่ด้านนอกโดย มีกลุ่มคนขนาดใหญ่ยืนอยู่ข้างๆ

เมื่อเดินผ่านฝูงชนเข้าไปในโถงรับรอง เขาได้ยินเสียงของมากอร์นดังออกมาจากด้านใน

"เจ้าหมายความว่าไงนะในตอนนี้เผ่าเหล่านั้นเริ่มก่อความไม่สงบอีกครั้งงั้นเหรอ?"

ดูเหมือนว่ามากอร์น จะได้รับข่าวและนำหน้าเขาไปก้าวหนึ่งแล้ว

แต่ดูเหมือนว่าบรรยากาศจะไม่ได้ตึงเครียดอย่างที่เขาคิด แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ดีด้วยเช่นกัน

หลิน ยู เดินเข้าไปโดยไม่คิดมากนัก

เมื่อเดินเข้าไป เข้าได้เห็น เซียว ฉางกุ้ย และ มากอร์น ยืนอยู่ฝั่งเดียวกัน ฝั่งตรงข้ามมีเหล่าคนแคระประหลาดที่ดูแก่กว่า มากอร์น เล็กน้อยพวกเขามีหอกอยู่ด้านหลัง

"นายท่าน!"

เมื่อ เซียว ฉางกุ้ย เห็น หลิน ยู เขาก็รีบทำความเคารพทันที

ทั้งมากอร์นและเหล่าคนแคระต่างจ้องมองมาที่เขาด้วยเช่นกัน

"โอ้ หลิน ยู เจ้ามาได้ทันเวลาพอดีเลย" มากอร์นเห็น หลิน ยู เดินเข้ามาหาเข้า "ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก นี้คือเพื่อนของข้า เรเซอร์ ดาร์จสเปียร์ ซึ่งตอนนี้เขาเป็นหัวหน้านักรบของเผ่า หอกทมิฬ"

"กลายเป็นว่าเพื่อนของ มากอร์นนี้เอง ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ"

เมื่อ เรเซอร์ ดาร์จสเปียร์ ได้ยินคำพูดนั้น เขาก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ "เจ้าคือราชาของที่นี้งั้นหรือ?"

"เป็นข้าเอง" หลิน ยู พยักหน้า "ข้าสงสัยทำไมเจ้าที่มาจากอาณาจักรคนแคระถึงได้มุ่งหน้ามายังที่นี้"

"คือเขาต้องการนำเผ่า ค้อนสงคราม ของพวกเรากลับไปยังอาณาจักรคนแคระ"

มากอร์นแทรกขึ้นมาทันที

จริงด้วย

สำหรับเรื่องนี้

ดูเหมือนว่าเขาจะเดาถูกนะ

หลิน ยู อดรู้สึกตกตะลึงไม่ได้ แต่การแสดงออกของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก "แล้วเจ้าละ เจ้ามีแผนยังไงบ้าง"

แม้ว่าเผ่าค้อนสงครามจะเป็นเป้าหมายของพวกเขา แต่เขาก็ไม่อยากแทรกแซงอีกฝ่าย

ยิ่งไปกว่านั้น เขาและมากอร์นยังเป็นเพื่อนกันอีกด้วย หากมากอร์น ต้องการจากไปจริงๆ เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ขัดขวาง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ จู่ๆ มากอร์น ก็พูดออกมาอย่างเย็นชา "ข้าไม่อยากกลับไป พวกเจ้าไม่ได้คิดต่อเรามานานหลายร้อยปีแล้ว แต่กลับวิ่งมาหาข้า ตอนที่ข้ามีค้อนเทพสงครามเนี้ยนะ?"

นอกจากนี้ยังมีเผ่าเล็กๆมากมายในเผ่าคนแคระ

เผ่าของมากอร์นคือฝ่ายที่พ่ายแพ้ในการแย่งชิงอำนาจ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องออกจาอาณาจักรคนแคระไปอาศัยอยู่ที่อื่น

ไม่คาดคิดว่าการจากไปในครั้งนั้นจากผ่านมานานหลายร้อยปี

เขาคิดว่าอาณาจักรแครคงจะลืมเผ่าของพวกเขาไปแล้ว?

หากเป็นอย่างที่คิดนี้อาจเป็นสาเหตุที่ มากอร์น โกรธ

หากไม่ใช่เพราะเขาประสบความสำเร็จในการสร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าคนแคระ ค้อนเทพสงคราม อาณาจักรแคระคงจะไม่นึกถึงพวกเขาด้วยซ้ำ นับประสบอะไรกับการส่งคนมาหา

"มากอร์น เจ้าคงจะรู้ถึงความของสำคัญของ ค้อนเทพสงคราม ที่มีต่อเผ่าคนแคระของเรา" เรเซอร์ กล่าวออกมาอย่างกังวล

"ตอนนี้อาณาจักรของเขาขัดแย้งกันอย่างหนัก หากปราศจากสิ่งนี้ เผ่าใหญ่คงไม่สามารถรวมมือกันได้ และไม่มีใครสามารถปกครองพวกเขาได้ เจ้าคงไม่ต้องการเห็นคนในเผ่าพันธุ์เดียวของเจ้าเสียชีวิตจำนวนมากจากสงครามหรอกใช่ไหม?"

"นี้มัน..."

มากอร์น เปิดปากของเขาออกมาดูลังเล

เผ่า ค้อนสงคราม ของพวกเขานั้นชื่นชอบการตีเหล็ก แต่ไม่ชอบการต่อสู้ และพวกเขาไม่ต้องการที่จะเห็นคนในเผ่าพันธุ์เดียวกันตาย

แต่หากพวกเขากลับไปทั้งแบบนี้ พวกเขาต้องรู้สึกเสียใจต่อบรรพชพของเผ่าที่โดยเนรเทศออกจากอาณาจักรอย่างแน่นอน

สุดท้ายแล้ว เขาจงขอความช่วยเหลือจาก หลิน ยู

หลิน ยู รับรู้โดยธรรมชาติว่าเขาต้องการพูดอะไร ดังนั้นเขาจึงยิ้มออกมา "เจ้าต้องตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินไรอย่างไร ข้าจะสนับสนุนเจ้า"

จากการสนทนาระหว่างทั้งสอง เขาสามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดของเรื่องรี้ได้ เขาก็รู้สึกโล่งใจ

เพราะไม่ว่า มากอร์น จะอยู่หรือไป มันก็ดีสำหรับเขาทั้งนั้น

หาก มากอร์น สามารถเป็นราชาแห่งอาณาจักรคนแคระได้ในอนาคตจริงๆ เขาก็สามารถสร้างพันธมิตรระยะยาวกับอาณาจักรคนแคระได้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาอาณาเขตของเขาในอนาคต