บทที่ 69 ผู้อเวคระดับ s
ความทรงจำในช่วงเวลานี้ในจิตใจของเจ้าของเดิมนั้นคลุมเครือมาก เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมไม่สนใจหรือเพราะเหตุผลอื่น
“ลุงจาง เรื่องนี้เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?”
เขาถามอย่างเร่งรีบ
สำหรับสัตว์อสูรที่ทรงพลังเช่นนี้ ในบรรดาอาวุธของมนุษย์ดูเหมือนว่ามีเพียงอาวุธนิวเคลียร์เท่านั้นที่จะจัดการกับมันได้ใช่ไหม?
“ต่อมาหลังจากการวางแผนหลายปี ในที่สุดเจ้าหน้าที่ระดับสูงในเวลานั้นก็ตัดสินใจใช้หัวรบนิวเคลียร์หลายพันลูก ซึ่งมันมีพลังมากพอที่จะกวาดล้างประเทศขนาดกลางได้เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น สัตว์อสูรระดับจักรพรรดิที่เหลือก็ตอบโต้พวกเขาไปทั่วประเทศ ทำให้วิธีการนี้ไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป "
“จากนั้นพวกผู้อเวคก็ลงมืองั้นหรอ?”
จางเหรินพยักหน้า "ถ้าจะพูดให้ถูก มันเป็นกลุ่มผู้อเวคที่แข็งแกร่งที่สุดที่ลงมือ ด้วยความแข็งแกร่งของประเทศหยานในที่สุดพวกเขาก็สามารถให้กำเนิดผู้อเวคระดับ S สามคนนั้นคือ จักรพรรดิสายฟ้า จักรพรรดิน้ำแข็ง และจักรพรรดิเทพสงคราม
ทั้งสามผนึกกำลังและต่อสู้อย่างดุเดือดเป็นเวลาสิบวันสิบคืน กับสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิสามตัวที่บุกรุกเข้ามาในดินแดนต้าหยานของเราในเวลานั้น ก่อนที่พวกมันจะถูกผลักให้ถอยกลับไป ทำให้คลื่นของสัตว์ร้ายลดน้อยลง และผู้อเวคระดับ S สามคนซึ่งแต่ละคนก็ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าเมือง นั้นคือเมืองใหญ่พิเศษสามเมืองซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศหยาน ที่มีประชากรมากกว่า 10 ล้านคน "
เฉินฟานพยักหน้า แน่นอนว่าด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาเหมาะที่นั่งในตำแหน่งเจ้าเมืองที่มีประชากรมากกว่าสิบล้านคนจริงๆ
“การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้ประเทศหยานของเราสงบสุขในช่วงเวลาสั้น ๆ นอกจากเมืองขนาดใหญ่พิเศษสามเมืองแล้ว เมืองขนาดใหญ่ เมืองขนาดกลาง และเมืองขนาดเล็กก็ผุดขึ้นตามสถานที่ต่างๆ เช่นกัน และยังทำให้เกิดผู้อเวคอันทรงพลังที่ประจำการอยู่ภายในเมือง ทำให้มันดึงดูดผู้รอดชีวิตจากทั่วทุกมุมโลกให้เข้ามาอยู่อาศัย
แน่นอนว่าผู้ที่สามารถเข้าไปได้มีน้อยมาก และผู้คนจำนวนมากสามารถอยู่นอกเมืองได้เท่านั้น ทำให้อาณาเขตบ้านของพวกเขาทอดยาวหลายร้อยไมล์ พวกเขาจะยืนที่ประตูบ้านทุกวัน และมองไปทางกำแพงเมืองเพื่อรอวันที่พวกเขาจะสามารถเข้าไปภายในเมืองได้"
“เหมือนกับเมืองอันซานงั้นเหรอ?”
"ใช่ เหมือนกับเมืองอันซาน"
เฉินฟานเงียบ เขาสามารถจินตนาการถึงสถานการณ์ในปัจจุบันได้
มีพระภิกษุมากเกินไปและมีวัดและวิหารน้อยเกินไป และมีที่พำนักที่อยู่ห่างไกลทำให้แน่นอนว่าอาหารย่อมไม่เพียงพอ
คนธรรมดาจะเข้าเมืองได้ยากแม้จะมันจะเป็นเมืองขนาดเล็กก็ตาม
กลางคืนเป็นอันตรายเกินไปสำหรับคนธรรมดา ดังนั้นเนื่องจากระยะทางไกลเกินกว่าจะเร่งรีบ พวกเขาจึงสามารถอยู่ในหมู่บ้านเพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น
เขาเกรงว่าจะมีเฉพาะผู้อเวคเท่านั้นที่สามารถอยู่ในเมืองอย่างอิสระได้
จางเหรินถอนหายใจ "นี่คือสิ่งที่ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่แค่ประเทศหยานของเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอีกด้วย และปัจจุบันมากกว่าเก้าในสิบประเทศที่เคยมีอยู่ก็ถูกทำลายไปแล้ว
โดยรวมแล้ว ตอนนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราเสียเปรียบและสามารถทำได้เพียงปกป้องตัวเองอย่างอดทนเท่านั้น ถึงกระนั้นก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมืองขนาดเล็กและขนาดกลางจำนวนมากถูกทำลายล้างจนราบคาบโดยฝูงสัตว์อสูร"
ฟังดูเหมือนเป็นสิ่งที่กระทบต่อความมั่นใจอย่างมาก แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับมันให้ได้ เพราะมันคือความจิรงของทุกสิ่งที่เป็นอยู่
สถานที่มีรวมตัวของเผ่าพันธุ์มนุษย์ขนาดใหญ่เหล่านั้นปลอดภัย แต่ก็เป็นสถานที่ที่สามารถดึงดูดสัตว์อสูรที่ทรงพลังได้มากที่สุดเช่นกัน
ส่วนพวกที่อาศัยอยู่นอกเมืองและรอวันที่สามารถเข้าเมืองในสักวันหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าในวันถัดไปพวกเขาจะกลายเป็นอาหารของพวกสัตว์อสูรหรือป่าว
คนที่กระจัดกระจายไปทั่วเพื่อปกป้องตัวเองเหมือนพวกเขาก็ยังสามารถทำได้อยู่ เพราะตราบใดที่พวกเขาไม่ฆ่าตัวตายด้วยการวิ่งเข้าหาอันตราย การพบกับสัตว์อสูรระดับสูงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
แน่นอนว่าเมื่อพวกเขาตกเป็นเป้าหมายของพวกสัตว์อสูร พวกเขาก็จะหายไปในชั่วข้ามคืนได้เช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้น ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเราอยู่ในช่วงที่มีความสมดุลที่ละเอียดอ่อนกับสัตว์อสูร เพราะเมื่อมีจักรพรรดิอสูรตัวที่สี่ปรากฏตัวในหมู่สัตว์อสูร หรือมีผู้อเวคระดับ S คนที่สี่ปรากฏในประเทศหยานของเรา ความสมดุลคงจะถูกทำลายลงในไม่ช้าก็เร็ว!”
เสียงของเฉินฟานดังขึ้น
“อืม แต่อย่างน้อยๆตอนนี้ก็ยังดีอยู่”
น้ำเสียงของจางเหรินก็พูดออกมาอย่างทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อยเช่นกัน
เฉินฟานสูดหายใจเข้าลึกๆ
ความสงบก่อนเกิดพายุหรือบางทีพายุที่ใหญ่กว่ากำลังก่อตัวอยู่ก็เป็นได้ไม่ใช่หรือ?
"ไม่ต้องคิดมาก"
ในมุมมองของจางเหริน “แค่ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเจ้าให้ดีที่สุดก็พอ”
เพราะท้ายที่สุดแล้วแม้จะมีความแข็งแกร่งของเขา แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย สิ่งเดียวที่เขาทำได้คืออธิษฐานขอให้มีผู้อเวคระดับ A สักคนสามารถฝ่าทะลวงระดับไปได้โดยเร็วที่สุดและกลายเป็นผู้อเวคระดับ S คนที่สี่
อย่างไรก็ตามหากเจ้าลองคิดดู เจ้าาจะรู้ว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น ในตอนแรกมีเพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถกำเนิดขึ้นมาได้ แม้จะอาศัยอำนาจของทั้งประเทศ
"อืม"
เฉินฟานได้ตอบกลับ
ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ของเผ่าพันธ์ุมนุษย์ในตอนนี้เลวร้ายอย่างมาก
หากเขาเป็นคนธรรมดา เขาคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับชะตากรรมของเขาหลังจากได้ยินเรื่องนี้
แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่
สัตว์อสูรระดับจักรพรรดินั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ แค่การโจมตีที่ปล่อยออกมาแบบไม่ใส่ใจแต่ก็สามารถสร้างผลกระทบที่น่าสะพรึงกลัวราวกับระเบิดจำนวนหลายพันตัน
แต่เขาเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วเขาก็สามารถทำได้อย่างนั้นเหมือนกัน
จางเหรินถือคันธนูยาวแน่นและนำตะกร้าลูกธนูมาสะพาย
ลูกธนูในตะกร้าเหล่านี้มีขนาดใหญ่กว่าลูกธนูก่อนหน้า เมื่อพิจารณาจากน้ำหนักของมันแล้วจะต้องอยู่ที่ 150 กรัมโดยประมาณ
เมื่อเฉินฟานกำลังจัดระเบียบอาวุธของตัวเอง จากนั้นเขาก็เห็นจางเหรินถอดคันธนู 300 ปอนด์ออกมา
“ลุงจาง..?”
เขามองหน้าจางเหรินด้วยความงงงวย
“โอ้ ข้าเองก็ตั้งใจจะฝึกยิงธนูด้วยเหมือนกัน”
จางเหรินพูดอย่างใจเย็น "ทุกวันนี้มีคนในหมู่บ้านมากขึ้นเรื่อยๆ และมีคนอยากฝึกศิลปะการต่อสู้มากขึ้น ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการฝึกทักษะหอกเหรอใช่ไหม?"
เฉินฟานเข้าใจเจตนาของเขา และมุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย
นี่เป็นสิ่งที่ดีจริงๆ
ถ้าลุงจางสามารถเรียนรู้การยิงธนูด้วยระดับพลังยุทธ์ของเขา การยิงธนูของเขาก็คงไม่เลวร้ายไปกว่านักรบในจ้าวเจียเป่าอย่างแน่นอน
แม้ว่าจะมีธนูที่แข็งแกร่งกว่านี้ แต่เขาก็ไม่สงสัยเลยว่าด้วยความสามารถของลุงจาง เขาก็สามารถน้าวมันได้
ทั้งสองเดินออกไปทีละคน ในขณะนี้มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบจากไกลที่กำลังใกล้เข้ามา
เขาคือ กู่เซ่อ
หลังจากที่เขาถามเฉินกัวตง เขาก็แทบรอไม่ไหวที่จะรีบมาที่นี่ เมื่อคิดถึงการฝึกฝนอย่างหนักของเฉินฟาน แต่เขาก็ต้องเดินไปรอบๆ กับทุกคน เขารู้สึกรอไม่ได้ในใจ
และในที่สุดเขาก็มาถึงแล้ว เขาได้กวาดตาผ่านฝูงชนและเห็นเฉินฟานเพียงแวบเดียวเท่านั้น
แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็ตกตะลึงโดยสิ้นเชิง
“หือ? กู่เซ่อ?”
เฉินฟานเห็นเขาเช่นกัน และเขาประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นจึงแนะนำให้เขารู้จักกับทุกคนอย่างกระตือรือร้น
“เขาคือกู่เซ่อคนนั้นนะหรือ!”
หวังปิงคิดกับตัวเอง จ้องมองไปที่คันธนูในมือของคู่ต่อสู้โดยไม่มีข้อยกเว้น
เขากลับใช้คันธนูที่มีแรงน้าวแค่ 80 ปอนด์เองงั้นเหรอ?
แต่ตามที่เฉินฟานพูดก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งและเป็นอัจฉริยะอย่างมากไม่ใช่หรือ?
“กู่เซ่อ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ?”
“ใช่แล้วพวกพ่อของเจ้าล่ะ?
ดูเหมือนกู่เซ่อจะไม่ได้ยิน และพูดอย่างสั่นเทาว่า
“จะ..เจ้าถือธนูอะไร..?”
ขณะที่เขาพูด สายตาของเขาดูเหมือนจะเชื่อมกับธนูคันนั้น เขาจำได้ชัดเจนมากว่าธนูที่เฉินฟานใช้ก่อนหน้านี้นั้นไม่ได้ใหญ่โตขนาดนี้
หลังจากพูดสิ่งนี้ ดวงตาของคนอื่นก็จ้องไปที่จุดเดียวกันทั้งหมด
“นี่คือธนู 200 ปอนด์ไม่ใช่เหรอ?”
ดวงตาของหวังปิงราวกับกำลังจะโผล่ออกมาจากเบ้า เขาอ้าปากกว้างแล้วอุทานว่า
“พี่ฟาน ท่านสามารถน้าวคันธนู 200 ปอนด์ได้แล้วหรือ”
“คันธนู 200 ปอนด์?”
“ 200 ปอนด์!”
คนอื่นๆต่างก็หายใจไม่ออก
“200 ปอนด์?! นี่เป็นธนูที่มีแรงน้าว 200 ปอนด์งั้นเหรอ?”
กู่เซ่อส่งเสียงพึมพำอย่างนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ล้อข้าเล่นหรือป่าว? ไม่ใช่ว่าผู้ชายคนนี้ใช้ธนู 100 ปอนด์ก่อนหน้านี้งั้นเหรอ? นี่มันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในคืนเดียวเลยไม่ใช่เหรอ?
แน่นอนว่าเจ้าคือผู้อเวคใช่ไหม?
"ข้าแค่อยากลองดูเท่านั้นแหละ"
เฉินฟานพูดพร้อมหัวเราะออกมา
"อยากลองดู…?!"
ทุกคนพูดไม่ออก
จากความเข้าใจของพวกเขาที่มีต่อเฉินฟาน หากเขาอยากลองดู 90% ก็คือเขาสามารถทำได้อย่างแน่นอน
ทันใดนั้นหวังปิงก็อุทานอีกครั้ง โดยชี้ไปที่คันธนูในมือของจางเหริน
“ดูดีๆ คันธนูในมือของลุงจางไม่ใช่คันธนูที่แรงน้าว 300 ปอนด์งั้นหรอกเหรอ?”
ทุกคนมองอีกครั้ง
“ล..ลุงจาง ท่าน…”
ผู้ชายที่อยู่ข้างๆเขาพูดติดๆขัดๆ
พวกเขารู้ว่าจางเหรินนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดนี้
"ข้าก็อยากลองดูเหมือนกัน"
จางเหรินหัวเราะสองครั้ง
ทำให้พวกเขาหลายคนพูดไม่ออกเลย
กู่เซ่อยืนงงงวย ร่างกายของเขาแข็งทื่อราวกับหิน
เฉินเจี่ยไจ้แข็งแกร่งขนาดนี้เลยเหรอ?
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved