ตอนที่ 284

บทที่ 283: ผู้สร้าง

“ ท่าน... ท่านคือ?!”

เจ้าสำนักตำหนักกาฬโรคมองไปที่ชายหนุ่มข้างๆ เขาด้วยความเหลือเชื่อ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน

กลิ่นอายของซุยเฮ็งยังไม่กระจายหายไป

เพียงนิดเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ปราชญ์กลัวจนหมดปัญญา และทำให้เขาหมดอารมณ์ที่จะต่อต้าน

ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเพิ่งคว้าใครบางคนจากระยะไกลหลายหมื่นลี้เลย

ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าสำนักตำหนักกาฬโรคก็เป็นปราชญ์และได้รับความเคารพมานับพันปี แต่กระนั้นเขาก็ยังแทบจะไม่สามารถรักษาความสงบเอาไว้ได้

ไม่นาน อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนเป็นรู้สึกยินดีอย่างยิ่งและรีบโค้งคำนับให้กับเทพดวงดาวชงหยางที่อยู่ข้างๆ เขา “ ท่านเทพดวงดาว ท่านเองก็อยู่ที่นี่ด้วย”

เจ้าสำนักตำหนักกาฬโรครู้จักเทพดวงดาวชงหยาง

ในหัวใจของเขา นี่ก็คือผู้ที่ยืนอยู่เหนือปราชญ์ทุกคน

ไม่ว่าชายหนุ่มผู้ที่จับตัวเขามานั้นจะทรงพลังเพียงใด แต่เขาก็ควรจะอยู่ในระดับเดียวกันกับเทพดวงดาวชงหยาง

ตราบใดที่เทพดวงดาวชงหยางสามารถพูดแทนเขาได้ เขาก็น่าจะปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับที่เจ้าสำนักตำหนักกาฬโรคต้องการจะเข้าใกล้เทพดวงดาวชงหยางต่อไป เทพดวงดาวชราก็รีบโบกมือและพูดว่า “ ปราชญ์จู ท่านเซียนผู้สูงส่งก็อยู่ที่นี่ด้วย เจ้าไม่จำเป็นต้องคำนับเทพน้อยอย่างข้าหรอก”

เจ้าสำนักตำหนักกาฬโรคมีชื่อว่าจูคังเชิง เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเทพดวงดาวชงหยาง เขาก็ตกตะลึงในทันที เขาหันไปมองซุยเฮ็งด้วยความตกใจและสับสน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

เซียนผู้สูงส่ง?

เทพน้อย?

ข้าบ้าไปแล้วหรอ?

ข้าได้ยินไม่ผิดใช่ไหมว่าเทพดวงดาวชงหยางกำลังเรียกตัวเองว่าเทพน้อย?!

เป็นไปได้ไหมว่าชายหนุ่มที่จับตัวเขามาจะเป็นผู้ดำรงอยู่ที่ทรงพลังซึ่งในขอบเขตอาราธนา?!

นี่คือ... การดำรงอยู่ในขอบเขตที่เจ็ดของโลกเซียน?

แต่สิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไร? นับตั้งแต่การล่มสลายของสวรรค์ มันจะยังมีผู้ที่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตที่เจ็ดของโลกเซียนได้อยู่อีกหรอ?!

มันไร้สาระเกินไป!

กี่ปีแล้วที่ผู้สร้างปรากฏตัวในจักรวาลอันกว้างใหญ่และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว?

กระนั้น ตอนนี้มันก็มีคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอย่างนั้นเหรอ?

ซุยเฮ็งเห็นจูคังเชิงกระสับกระส่ายและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเจ้า ข้าแค่อยากจะถามเจ้าบางอย่าง”

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยกมือขึ้นและชี้ไปข้างหน้า เขาสร้างศาลาลอยได้ขึ้นจากอากาศเปล่าและเดินนำจูคังเชิงไป

“ เราหาที่นั่งคุยกันดีกว่า”

ซุยเฮ็งไม่ได้มีเจตนาร้ายต่ออีกฝ่าย

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ประทับใจในตัวอีกฝ่ายเช่นกัน

มิฉะนั้นแล้ว เขาก็คงจะไม่ใช้วิชาคว้าเซียนเทียนเพื่อเชิญอีกฝ่ายมา

อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ถึงขนาดที่เขาจะต้องการปลิดชีวิตอีกฝ่าย

“ สร้างสรรพสิ่งจากความว่างเปล่า!” จูคังเชิงอุทานในขณะที่เขามองไปที่ศาลาลอยได้ด้วยความตกใจ

ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เชื่อโดยสมบูรณ์แล้ว

ผู้สร้าง!

เขาเป็นผู้สร้างจริงๆ!

ดวงตาของจูคังเชิงกะพริบในขณะที่ความคิดมากมายปรากฏขึ้นในใจของเขา

ในท้ายที่สุด เขาก็ทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น “ ข้าเข้าใจแล้ว ท่านคือผู้สร้างที่ต้องการจะมาถามข้าใช่ไหม? ผีดิบเหล่านี้เป็นผลมาจากการวิจัยของเราในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”

“ โอ้?” ซุยเฮ็งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ คำตอบของจูคังเชิงนั้นเหนือความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง และมันก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างคาดไม่ถึง เขายิ้มและพูดว่า “ ว่าต่อไป”

“ ครั้งก่อนราชาปราชญ์ก็ลงมา มาครั้งนี้ก็เป็นผู้สร้างอีก นี่มัน…” จูชางเชิงดูเหมือนจะเลิกดิ้นรนและพูดอย่างหดหู่ว่า “ มันก็ผ่านมา 120,000 ปีแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังหนีไม่พ้น”

“ ถึงอย่างนั้น ก่อนที่ข้าจะตาย ข้าก็อยากจะถามว่าทำไมท่านถึงถ่ายทอดวิธีการฝึกตนโดยมีแก่นแท้เซียนเป็นแกนหลักให้กับเรา ท่านต้องการเก็บเกี่ยวเราเป็นวัตถุดิบจริงๆ หรอ?”

“ แต่สวรรค์ก็ได้พังทลายลงไปนานแล้ว อดีตสวรรค์ราชันสุริยันเองก็ได้กลายเป็นอาณาจักรราชันสุริยันในปัจจุบันไปแล้ว มันไม่มีเรื่องของคำสั่งจากเซียนแห่งสวรรค์อีกต่อไปแล้ว และราชาปราชญ์ก็ไม่มีที่ที่จะขึ้นไปอีกต่อไปแล้ว วิธีการฝึกตนนี้ไม่ได้มีคุณค่าอีกต่อไปแล้ว”

“ แบบนั้นแล้วทำไมเราถึงยังไม่สามารถเผยแพร่วิธีการฝึกตนที่แท้จริงได้อีก? หรือมันต้องใช้วัตถุดิบอะไรอีก? ท่านผู้สร้าง ข้าอยากถามว่าทำไม?!”

ในตอนท้าย เขาก็ดูกระวนกระวายมาก

“…” คราวนี้ซุยเฮ็งเงียบลง

ชุดข้อมูลที่จูคังเชิงเปิดเผยออกมาในทันใดนั้นเป็นทุกสิ่งที่เขาได้สัมผัสมาแต่ก็ยังไม่เข้าใจ

นี่เป็นสมบัติล้ำค่า!

สมแล้วที่เป็นมรดกโบราณที่คงอยู่มา 120,000 ปี

เขาหยิบได้สมบัติแล้ว!

หลังจากจูคังเชิงระบายเสร็จ เขาก็เห็นว่าซุยเฮ็งไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถามต่อ

ปฏิกิริยานี้เป็นสิ่งที่เขาคาดเอาไว้แล้ว

เหตุใดผู้สร้างผู้สูงส่งและยิ่งใหญ่จึงสนใจปราชญ์เช่นเขา

ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงหลับตาและพูดอย่างเฉยเมยว่า “ ผีดิบเหล่านี้เป็นสินค้าที่มีข้อบกพร่องจากการสกัดกายาเซียน พวกเขาสามารถพึ่งพา เครื่องมือปราชญ์เพื่อดำรงอยู่ได้เท่านั้น”

“ คนเดียวที่เราประสบความสำเร็จในการเลี้ยงดูขึ้นมามากที่สุดก็คือเก๋าโชวซินซึ่งกำลังต่อสู้อยู่ นี่คือแกนหลักของการวิจัยตลอด 120,000 ปีของเรา เขาเป็นปราชญ์ที่ไม่มีแก่นแท้เซียนผสม…”

จูคังเชิงพูดต่อไปอีกมากมาย

ดูเหมือนว่าเขาจะสิ้นหวังแล้วอย่างสมบูรณ์ เมื่อเผชิญหน้ากับผู้สร้างขอบเขตที่เจ็ด เขาก็ไม่สามารถต้านทานได้เลย

ความแตกต่างนั้นมีมากเกินไป

ซุยเฮ็งฟังอย่างเงียบๆ ที่ด้านข้าง ในเวลาเดียวกัน เขาก็แยกแยะข้อมูลสำคัญและเปรียบเทียบกับข้อมูลที่เขาได้เรียนรู้มาจากเทพดวงดาวชงหยาง

เดิมทีตำหนักกาฬโรคไม่ใช่สำนักอิสระ แต่เป็นสาขาของสำนักที่ใหญ่กว่า

นานมาแล้ว สำนักนี้ได้ค้นพบว่ามีปัญหาเกี่ยวกับวิธีการฝึกตน

นับจากนั้นเป็นต้นมา ตำหนักกาฬโรคก็ได้อยู่ภายใต้คำสั่งของเจ้าสำนักใหญ่เพื่อศึกษาวิธีการหลีกเลี่ยงการใช้แก่นแท้เซียน

ช่วงเวลานี้อาจย้อนกลับไปได้ตั้งแต่ก่อนการล่มสลายของสวรรค์

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเวลาได้ผ่านมานานเกินไป สำนักหลักของตำหนักกาฬโรคจึงถูกฝังอยู่ในซากฝุ่นของประวัติศาสตร์มาช้านานแล้ว

ตำหนักกาฬโรคเองก็เคยได้ประสบกับภัยพิบัติเมื่อ 120,000 ปีก่อน มรดกของพวกเขาเกือบจะถูกตัดขาดอย่างสมบูรณ์ มันมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่หนีรอดออกมาได้

ด้วยเหตุนี้เอง ประวัติและความสำเร็จในการวิจัยก่อนหน้านี้จึงยากที่จะตรวจสอบ

หลังจากมาถึงดาวชงหยาง ตำหนักกาฬโรคก็ยังคงศึกษากายาเซียนต่อไป ในตอนแรก พวกเขาก็ทำตามกฎบางอย่างด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม เมื่ออิทธิพลของคนรุ่นเก่าเจือจางลง การวิจัยนี้ก็ยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม วิธีการวิจัยที่บ้าคลั่งนี้ก็ทำให้ตำหนักกาฬโรคได้ค้นพบโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ

ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ใช้การต่อสู้นั้นเพื่อกระโดดออกจากศูนย์กลางของความขัดแย้งและศึกษาเป็นเวลา 3,000 ปีก่อนที่จะพบวิธีการหลีกเลี่ยงการใช้แก่นแท้เซียน

นั่นคือการแก้ไขชีวิตในสภาพที่ตายแล้ว แต่ให้คนตายยังคงมีสติปัญญาและจิตวิญญาณที่สมบูรณ์

สิ่งนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของร่างกาย ในขณะเดียวกันวิญญาณก็จะต้องถูกจองจำในร่างคนตาย บนพื้นฐานนี้ พลังแห่งความตายก็จะถูกใช้เป็นการเชื่อมต่อระหว่างร่างกายและวิญญาณ และในที่สุด ทั้งสามก็จะถูกหลอมรวมเข้าไว้ด้วยกันด้วยเคล็ดวิชาลับเพื่อทำให้ร่างกายและวิญญาณมีเสถียรภาพขณะที่อยู่ในสภาวะที่ตายแล้ว

ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าร่างกายของเขาจะแตกเป็นเสี่ยงๆ และวิญญาณของเขาก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ เขาก็จะยังสามารถกลับสู่สภาพคงที่นี้ได้ และอาจถือได้ว่าเป็นร่างกายที่เป็นอมตะอีกประเภทหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม หากกายาเซียนประเภทนี้ต้องการจะดำรงอยู่ต่อไป มันก็จะต้องการกระแสของพลังแห่งความตายอันไร้ที่สิ้นสุด ซึ่งมันกีคือผีดิบจำนวนนับไม่ถ้วนที่เก๋าโชวซินนำมาด้วย

โดยพื้นฐานแล้ว ผีดิบเหล่านี้ก็ถูกดัดแปลงมาจากศพ แต่วิญญาณของพวกมันก็ถูกกักขังไว้ในเครื่องมือปราชญ์ “พิษเซียน” เพื่อเชื่อมต่อกับผีดิบ

ตราบใดที่เครื่องมือปราชญ์ยังไม่ถูกทำลาย ผีดิบเหล่านี้ก็จะไม่ถูกทำลายลงไปด้วย นอกจากนี้ พวกมันก็ยังสามารถใช้พลังแห่งความตายเพื่อรักษาร่างกายของเก๋าโชวซินได้ตลอดอีกด้วย

ด้วยกายาเซียนนี้ เขาก็เพียงต้องฝึกฝนต่อไปทีละขั้นตอน

นี่คือสาระสำคัญของ “เต๋าศพ” ของเก๋าโชวซิน

อย่างไรก็ตาม ตำหนักกาฬโรคก็ยังค้นพบว่าวิธีการฝึกตนนี้ก็ยังมีข้อบกพร่องเช่นกัน

แม้ว่าเขาจะสามารถมองข้ามแก่นแท้เซียนไปได้ แต่แหล่งที่มาของปราณมรณะก็ยังเป็นอีกปัญหาหนึ่ง

มีพิษเซียนเพียงอันเดียวและมันก็ใช้เพื่อสนับสนุนปราณมรณะของปราชญ์ได้เท่านั้น

การวิจัยของพวกเขามาถึงทางตันอีกครั้ง

ด้วยเหตุนี้เอง ในตอนต้นจูคังเชิงจึงกล่าวว่าเก๋าโชวซินคือ "การทดลองที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของพวกเขา ... "

มันใช้งานได้ แต่ไม่สมบูรณ์

นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่จูคังเชิงสารภาพโดยไม่แม้แต่จะดิ้นรนปิดบัง

ตำหนักกาฬโรคได้ทำการวิจัยมาหนักมากและได้ทำร้ายสิ่งมีชีวิตไปนับไม่ถ้วน

แต่ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้รับกลับมาเพียงความสำเร็จที่ไม่สมบูรณ์

มันน่าสิ้นหวังเกินไป

หลังจากที่ซุยเฮ็งได้ยินทั้งหมดนี้ เขาก็เงียบไปเป็นเวลานาน

อันที่จริง ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าการสร้างเส้นทางใหม่นั้นค่อนข้างยาก แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่ามันจะยากขนาดนี้

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเต๋ากายายุทธ์ของเป่ยฉิงซู แก่นแท้วิญญาณทองของหลี่หมิงเฉียง หรือเต๋าแห่งเซียนราชัน พวกมันทั้งหมดก็ล้วนถูกสร้างขึ้นโดยเขาภายในช่วงเวลาสั้นๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว นี่ก็เป็นเพียงเพราะเขายืนอยู่บนไหล่ของยักษ์ เคล็ดวิชาเซียนขั้นต้น

เขาเข้าใจแก่นแท้ของเนื้อแท้เซียนทองมานานแล้ว และเขาก็ยังรู้วิธีการฝึกฝนที่ถูกต้องและเป็นธรรมชาติที่สุด

อย่างไรก็ดี ตำหนักกาฬโรคนั้นก็แตกต่างออกไป นี่เป็นการสำรวจที่แท้จริงตั้งแต่เริ่มต้น

มันยากเกินไป

แม้ว่าคำอธิบายของจูคังเชิงจะไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูลลับอะไรมากมาย เช่นผู้สร้างและขอบเขตที่เจ็ดที่ซุยเฮ็งให้ความสนใจ แต่ผลการวิจัย ทิศทาง และความพยายามต่างๆ ที่เขาอธิบายมาก็ยังคงทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่ไม่รู้ได้อย่างมากมาย

ผลตอบรับที่มาจากสิ่งลึกลับเหล่านี้ไม่น้อยไปกว่าการได้เห็นการถือกำเนิดของเส้นทางใหม่ มันทำให้ตัวอ่อนวิญญาณของเขาพัฒนาขึ้นอย่างมาก

ถ้าเขายังสามารถถามอีกฝ่ายเกี่ยวกับตำแหน่งของสวรรค์และผู้สร้างได้ เขาก็อาจจะได้รับกำไรเพิ่มมากขึ้น

“ ข้าพูดจบแล้ว ท่านมีอะไรจะถามอีกไหม?” จูคังเชิงหลับตาและดูเหมือนคนกำลังรอความตาย เห็นได้ชัดว่าเขาพร้อมที่จะตายแล้ว

“ ข้ายังมีอีกหนึ่งคำถาม” ซุยเฮ็งยิ้ม

“ ถามมาเลย” จูคังเชิงกล่าวอย่างเฉยเมย ณ จุดนี้ มันก็ไม่มีคำถามใดที่จะทำให้หัวใจของเขาสั่นคลอนได้อีกต่อไป

“ ถ้าข้าบอกว่าข้าไม่ใช่ผู้สร้าง ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อถามเจ้า แต่ข้าแค่มาเพื่อถามเจ้าว่าทำไมผีดิบเหล่านี้ถึงฟื้นคืนชีพได้…” ซุยเฮ็งหัวเราะเล็กน้อย “ เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?”

“ อะไรนะ?!” จูคังเชิงเบิกตาขึ้นกว้างในทันที