บทที่ 283: ผู้สร้าง
“ ท่าน... ท่านคือ?!”
เจ้าสำนักตำหนักกาฬโรคมองไปที่ชายหนุ่มข้างๆ เขาด้วยความเหลือเชื่อ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน
กลิ่นอายของซุยเฮ็งยังไม่กระจายหายไป
เพียงนิดเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ปราชญ์กลัวจนหมดปัญญา และทำให้เขาหมดอารมณ์ที่จะต่อต้าน
ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเพิ่งคว้าใครบางคนจากระยะไกลหลายหมื่นลี้เลย
ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าสำนักตำหนักกาฬโรคก็เป็นปราชญ์และได้รับความเคารพมานับพันปี แต่กระนั้นเขาก็ยังแทบจะไม่สามารถรักษาความสงบเอาไว้ได้
ไม่นาน อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนเป็นรู้สึกยินดีอย่างยิ่งและรีบโค้งคำนับให้กับเทพดวงดาวชงหยางที่อยู่ข้างๆ เขา “ ท่านเทพดวงดาว ท่านเองก็อยู่ที่นี่ด้วย”
เจ้าสำนักตำหนักกาฬโรครู้จักเทพดวงดาวชงหยาง
ในหัวใจของเขา นี่ก็คือผู้ที่ยืนอยู่เหนือปราชญ์ทุกคน
ไม่ว่าชายหนุ่มผู้ที่จับตัวเขามานั้นจะทรงพลังเพียงใด แต่เขาก็ควรจะอยู่ในระดับเดียวกันกับเทพดวงดาวชงหยาง
ตราบใดที่เทพดวงดาวชงหยางสามารถพูดแทนเขาได้ เขาก็น่าจะปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับที่เจ้าสำนักตำหนักกาฬโรคต้องการจะเข้าใกล้เทพดวงดาวชงหยางต่อไป เทพดวงดาวชราก็รีบโบกมือและพูดว่า “ ปราชญ์จู ท่านเซียนผู้สูงส่งก็อยู่ที่นี่ด้วย เจ้าไม่จำเป็นต้องคำนับเทพน้อยอย่างข้าหรอก”
เจ้าสำนักตำหนักกาฬโรคมีชื่อว่าจูคังเชิง เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเทพดวงดาวชงหยาง เขาก็ตกตะลึงในทันที เขาหันไปมองซุยเฮ็งด้วยความตกใจและสับสน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
เซียนผู้สูงส่ง?
เทพน้อย?
ข้าบ้าไปแล้วหรอ?
ข้าได้ยินไม่ผิดใช่ไหมว่าเทพดวงดาวชงหยางกำลังเรียกตัวเองว่าเทพน้อย?!
เป็นไปได้ไหมว่าชายหนุ่มที่จับตัวเขามาจะเป็นผู้ดำรงอยู่ที่ทรงพลังซึ่งในขอบเขตอาราธนา?!
นี่คือ... การดำรงอยู่ในขอบเขตที่เจ็ดของโลกเซียน?
แต่สิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไร? นับตั้งแต่การล่มสลายของสวรรค์ มันจะยังมีผู้ที่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตที่เจ็ดของโลกเซียนได้อยู่อีกหรอ?!
มันไร้สาระเกินไป!
กี่ปีแล้วที่ผู้สร้างปรากฏตัวในจักรวาลอันกว้างใหญ่และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว?
กระนั้น ตอนนี้มันก็มีคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอย่างนั้นเหรอ?
ซุยเฮ็งเห็นจูคังเชิงกระสับกระส่ายและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเจ้า ข้าแค่อยากจะถามเจ้าบางอย่าง”
ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยกมือขึ้นและชี้ไปข้างหน้า เขาสร้างศาลาลอยได้ขึ้นจากอากาศเปล่าและเดินนำจูคังเชิงไป
“ เราหาที่นั่งคุยกันดีกว่า”
ซุยเฮ็งไม่ได้มีเจตนาร้ายต่ออีกฝ่าย
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ประทับใจในตัวอีกฝ่ายเช่นกัน
มิฉะนั้นแล้ว เขาก็คงจะไม่ใช้วิชาคว้าเซียนเทียนเพื่อเชิญอีกฝ่ายมา
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ถึงขนาดที่เขาจะต้องการปลิดชีวิตอีกฝ่าย
“ สร้างสรรพสิ่งจากความว่างเปล่า!” จูคังเชิงอุทานในขณะที่เขามองไปที่ศาลาลอยได้ด้วยความตกใจ
ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เชื่อโดยสมบูรณ์แล้ว
ผู้สร้าง!
เขาเป็นผู้สร้างจริงๆ!
ดวงตาของจูคังเชิงกะพริบในขณะที่ความคิดมากมายปรากฏขึ้นในใจของเขา
ในท้ายที่สุด เขาก็ทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น “ ข้าเข้าใจแล้ว ท่านคือผู้สร้างที่ต้องการจะมาถามข้าใช่ไหม? ผีดิบเหล่านี้เป็นผลมาจากการวิจัยของเราในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”
“ โอ้?” ซุยเฮ็งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ คำตอบของจูคังเชิงนั้นเหนือความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง และมันก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างคาดไม่ถึง เขายิ้มและพูดว่า “ ว่าต่อไป”
“ ครั้งก่อนราชาปราชญ์ก็ลงมา มาครั้งนี้ก็เป็นผู้สร้างอีก นี่มัน…” จูชางเชิงดูเหมือนจะเลิกดิ้นรนและพูดอย่างหดหู่ว่า “ มันก็ผ่านมา 120,000 ปีแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังหนีไม่พ้น”
“ ถึงอย่างนั้น ก่อนที่ข้าจะตาย ข้าก็อยากจะถามว่าทำไมท่านถึงถ่ายทอดวิธีการฝึกตนโดยมีแก่นแท้เซียนเป็นแกนหลักให้กับเรา ท่านต้องการเก็บเกี่ยวเราเป็นวัตถุดิบจริงๆ หรอ?”
“ แต่สวรรค์ก็ได้พังทลายลงไปนานแล้ว อดีตสวรรค์ราชันสุริยันเองก็ได้กลายเป็นอาณาจักรราชันสุริยันในปัจจุบันไปแล้ว มันไม่มีเรื่องของคำสั่งจากเซียนแห่งสวรรค์อีกต่อไปแล้ว และราชาปราชญ์ก็ไม่มีที่ที่จะขึ้นไปอีกต่อไปแล้ว วิธีการฝึกตนนี้ไม่ได้มีคุณค่าอีกต่อไปแล้ว”
“ แบบนั้นแล้วทำไมเราถึงยังไม่สามารถเผยแพร่วิธีการฝึกตนที่แท้จริงได้อีก? หรือมันต้องใช้วัตถุดิบอะไรอีก? ท่านผู้สร้าง ข้าอยากถามว่าทำไม?!”
ในตอนท้าย เขาก็ดูกระวนกระวายมาก
“…” คราวนี้ซุยเฮ็งเงียบลง
ชุดข้อมูลที่จูคังเชิงเปิดเผยออกมาในทันใดนั้นเป็นทุกสิ่งที่เขาได้สัมผัสมาแต่ก็ยังไม่เข้าใจ
นี่เป็นสมบัติล้ำค่า!
สมแล้วที่เป็นมรดกโบราณที่คงอยู่มา 120,000 ปี
เขาหยิบได้สมบัติแล้ว!
หลังจากจูคังเชิงระบายเสร็จ เขาก็เห็นว่าซุยเฮ็งไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถามต่อ
ปฏิกิริยานี้เป็นสิ่งที่เขาคาดเอาไว้แล้ว
เหตุใดผู้สร้างผู้สูงส่งและยิ่งใหญ่จึงสนใจปราชญ์เช่นเขา
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงหลับตาและพูดอย่างเฉยเมยว่า “ ผีดิบเหล่านี้เป็นสินค้าที่มีข้อบกพร่องจากการสกัดกายาเซียน พวกเขาสามารถพึ่งพา เครื่องมือปราชญ์เพื่อดำรงอยู่ได้เท่านั้น”
“ คนเดียวที่เราประสบความสำเร็จในการเลี้ยงดูขึ้นมามากที่สุดก็คือเก๋าโชวซินซึ่งกำลังต่อสู้อยู่ นี่คือแกนหลักของการวิจัยตลอด 120,000 ปีของเรา เขาเป็นปราชญ์ที่ไม่มีแก่นแท้เซียนผสม…”
จูคังเชิงพูดต่อไปอีกมากมาย
ดูเหมือนว่าเขาจะสิ้นหวังแล้วอย่างสมบูรณ์ เมื่อเผชิญหน้ากับผู้สร้างขอบเขตที่เจ็ด เขาก็ไม่สามารถต้านทานได้เลย
ความแตกต่างนั้นมีมากเกินไป
ซุยเฮ็งฟังอย่างเงียบๆ ที่ด้านข้าง ในเวลาเดียวกัน เขาก็แยกแยะข้อมูลสำคัญและเปรียบเทียบกับข้อมูลที่เขาได้เรียนรู้มาจากเทพดวงดาวชงหยาง
เดิมทีตำหนักกาฬโรคไม่ใช่สำนักอิสระ แต่เป็นสาขาของสำนักที่ใหญ่กว่า
นานมาแล้ว สำนักนี้ได้ค้นพบว่ามีปัญหาเกี่ยวกับวิธีการฝึกตน
นับจากนั้นเป็นต้นมา ตำหนักกาฬโรคก็ได้อยู่ภายใต้คำสั่งของเจ้าสำนักใหญ่เพื่อศึกษาวิธีการหลีกเลี่ยงการใช้แก่นแท้เซียน
ช่วงเวลานี้อาจย้อนกลับไปได้ตั้งแต่ก่อนการล่มสลายของสวรรค์
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเวลาได้ผ่านมานานเกินไป สำนักหลักของตำหนักกาฬโรคจึงถูกฝังอยู่ในซากฝุ่นของประวัติศาสตร์มาช้านานแล้ว
ตำหนักกาฬโรคเองก็เคยได้ประสบกับภัยพิบัติเมื่อ 120,000 ปีก่อน มรดกของพวกเขาเกือบจะถูกตัดขาดอย่างสมบูรณ์ มันมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่หนีรอดออกมาได้
ด้วยเหตุนี้เอง ประวัติและความสำเร็จในการวิจัยก่อนหน้านี้จึงยากที่จะตรวจสอบ
หลังจากมาถึงดาวชงหยาง ตำหนักกาฬโรคก็ยังคงศึกษากายาเซียนต่อไป ในตอนแรก พวกเขาก็ทำตามกฎบางอย่างด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เมื่ออิทธิพลของคนรุ่นเก่าเจือจางลง การวิจัยนี้ก็ยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม วิธีการวิจัยที่บ้าคลั่งนี้ก็ทำให้ตำหนักกาฬโรคได้ค้นพบโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ
ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ใช้การต่อสู้นั้นเพื่อกระโดดออกจากศูนย์กลางของความขัดแย้งและศึกษาเป็นเวลา 3,000 ปีก่อนที่จะพบวิธีการหลีกเลี่ยงการใช้แก่นแท้เซียน
นั่นคือการแก้ไขชีวิตในสภาพที่ตายแล้ว แต่ให้คนตายยังคงมีสติปัญญาและจิตวิญญาณที่สมบูรณ์
สิ่งนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของร่างกาย ในขณะเดียวกันวิญญาณก็จะต้องถูกจองจำในร่างคนตาย บนพื้นฐานนี้ พลังแห่งความตายก็จะถูกใช้เป็นการเชื่อมต่อระหว่างร่างกายและวิญญาณ และในที่สุด ทั้งสามก็จะถูกหลอมรวมเข้าไว้ด้วยกันด้วยเคล็ดวิชาลับเพื่อทำให้ร่างกายและวิญญาณมีเสถียรภาพขณะที่อยู่ในสภาวะที่ตายแล้ว
ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าร่างกายของเขาจะแตกเป็นเสี่ยงๆ และวิญญาณของเขาก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ เขาก็จะยังสามารถกลับสู่สภาพคงที่นี้ได้ และอาจถือได้ว่าเป็นร่างกายที่เป็นอมตะอีกประเภทหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หากกายาเซียนประเภทนี้ต้องการจะดำรงอยู่ต่อไป มันก็จะต้องการกระแสของพลังแห่งความตายอันไร้ที่สิ้นสุด ซึ่งมันกีคือผีดิบจำนวนนับไม่ถ้วนที่เก๋าโชวซินนำมาด้วย
โดยพื้นฐานแล้ว ผีดิบเหล่านี้ก็ถูกดัดแปลงมาจากศพ แต่วิญญาณของพวกมันก็ถูกกักขังไว้ในเครื่องมือปราชญ์ “พิษเซียน” เพื่อเชื่อมต่อกับผีดิบ
ตราบใดที่เครื่องมือปราชญ์ยังไม่ถูกทำลาย ผีดิบเหล่านี้ก็จะไม่ถูกทำลายลงไปด้วย นอกจากนี้ พวกมันก็ยังสามารถใช้พลังแห่งความตายเพื่อรักษาร่างกายของเก๋าโชวซินได้ตลอดอีกด้วย
ด้วยกายาเซียนนี้ เขาก็เพียงต้องฝึกฝนต่อไปทีละขั้นตอน
นี่คือสาระสำคัญของ “เต๋าศพ” ของเก๋าโชวซิน
อย่างไรก็ตาม ตำหนักกาฬโรคก็ยังค้นพบว่าวิธีการฝึกตนนี้ก็ยังมีข้อบกพร่องเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะสามารถมองข้ามแก่นแท้เซียนไปได้ แต่แหล่งที่มาของปราณมรณะก็ยังเป็นอีกปัญหาหนึ่ง
มีพิษเซียนเพียงอันเดียวและมันก็ใช้เพื่อสนับสนุนปราณมรณะของปราชญ์ได้เท่านั้น
การวิจัยของพวกเขามาถึงทางตันอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้เอง ในตอนต้นจูคังเชิงจึงกล่าวว่าเก๋าโชวซินคือ "การทดลองที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของพวกเขา ... "
มันใช้งานได้ แต่ไม่สมบูรณ์
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่จูคังเชิงสารภาพโดยไม่แม้แต่จะดิ้นรนปิดบัง
ตำหนักกาฬโรคได้ทำการวิจัยมาหนักมากและได้ทำร้ายสิ่งมีชีวิตไปนับไม่ถ้วน
แต่ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้รับกลับมาเพียงความสำเร็จที่ไม่สมบูรณ์
มันน่าสิ้นหวังเกินไป
หลังจากที่ซุยเฮ็งได้ยินทั้งหมดนี้ เขาก็เงียบไปเป็นเวลานาน
อันที่จริง ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าการสร้างเส้นทางใหม่นั้นค่อนข้างยาก แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่ามันจะยากขนาดนี้
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเต๋ากายายุทธ์ของเป่ยฉิงซู แก่นแท้วิญญาณทองของหลี่หมิงเฉียง หรือเต๋าแห่งเซียนราชัน พวกมันทั้งหมดก็ล้วนถูกสร้างขึ้นโดยเขาภายในช่วงเวลาสั้นๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว นี่ก็เป็นเพียงเพราะเขายืนอยู่บนไหล่ของยักษ์ เคล็ดวิชาเซียนขั้นต้น
เขาเข้าใจแก่นแท้ของเนื้อแท้เซียนทองมานานแล้ว และเขาก็ยังรู้วิธีการฝึกฝนที่ถูกต้องและเป็นธรรมชาติที่สุด
อย่างไรก็ดี ตำหนักกาฬโรคนั้นก็แตกต่างออกไป นี่เป็นการสำรวจที่แท้จริงตั้งแต่เริ่มต้น
มันยากเกินไป
แม้ว่าคำอธิบายของจูคังเชิงจะไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูลลับอะไรมากมาย เช่นผู้สร้างและขอบเขตที่เจ็ดที่ซุยเฮ็งให้ความสนใจ แต่ผลการวิจัย ทิศทาง และความพยายามต่างๆ ที่เขาอธิบายมาก็ยังคงทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่ไม่รู้ได้อย่างมากมาย
ผลตอบรับที่มาจากสิ่งลึกลับเหล่านี้ไม่น้อยไปกว่าการได้เห็นการถือกำเนิดของเส้นทางใหม่ มันทำให้ตัวอ่อนวิญญาณของเขาพัฒนาขึ้นอย่างมาก
ถ้าเขายังสามารถถามอีกฝ่ายเกี่ยวกับตำแหน่งของสวรรค์และผู้สร้างได้ เขาก็อาจจะได้รับกำไรเพิ่มมากขึ้น
“ ข้าพูดจบแล้ว ท่านมีอะไรจะถามอีกไหม?” จูคังเชิงหลับตาและดูเหมือนคนกำลังรอความตาย เห็นได้ชัดว่าเขาพร้อมที่จะตายแล้ว
“ ข้ายังมีอีกหนึ่งคำถาม” ซุยเฮ็งยิ้ม
“ ถามมาเลย” จูคังเชิงกล่าวอย่างเฉยเมย ณ จุดนี้ มันก็ไม่มีคำถามใดที่จะทำให้หัวใจของเขาสั่นคลอนได้อีกต่อไป
“ ถ้าข้าบอกว่าข้าไม่ใช่ผู้สร้าง ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อถามเจ้า แต่ข้าแค่มาเพื่อถามเจ้าว่าทำไมผีดิบเหล่านี้ถึงฟื้นคืนชีพได้…” ซุยเฮ็งหัวเราะเล็กน้อย “ เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?”
“ อะไรนะ?!” จูคังเชิงเบิกตาขึ้นกว้างในทันที
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved